ปธ.สภายอมถอดหัวโขน หลังตกที่นั่งลำบากเจอ กกต.แจกใบแดง ไม่ขอขึ้นบัลลังก์โดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล อ้างไม่เคยยึดติดอำนาจ แต่ยังร่ายยาวถูกไอ้โม่งจัดฉากหวังล้มพลังแม้ว ลั่นผมไม่ใช่คนชั่ว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ยงยุทธ ติยะไพรัช แถลงเปิดใจหลัง กกต.ให้ใบแดง
วันนี้ (26 ก.พ.) นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ แถลงข่าวในช่วงการประชุมส.ส.พรรคพลังประชาชน ว่า การให้ใบเหลืองใบแดงนั้น รัฐธรรมนูญฉบับเดิมกำหนดว่า หากมีมติพรรคและพรรคมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะยุบพรรคได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดว่า สมาชิกพรรคที่เป็นผู้บริหารพรรคคนใดกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก็นำไปสู่การยุบพรรคได้ ตนเรียนประชาชนไปแล้วว่าจะไม่ออกความเห็นจนกว่าผลการวินิจฉัยของกกต.จะออกมา วันนี้ตนจะพูดครั้งเดียว หากพูดต่อไปเกรงว่าจะกดดันการทำงานของกกต. วันนี้ตนยืนยันไปแล้วว่าไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นบวกหรือลบ ตนก็จะมาชี้แจง วันนี้ตนต้องชี้แจงหากไม่ชี้แจงก็จะกลายเป็นจำเลยของสังคม มันจะไม่เป็นธรรมกับตน
นายยงยุทธกล่าวว่า ตนเล่าไปหลายครั้งว่า หลังการยึดอำนาจการปกครอง ตนโดนจับกุมโดยไม่มีข้อกล่าวหาสองสัปดาห์ จนฮิวแมนไรท์วอทช์เอเชียทำหนังสือถึงหัวหน้ารัฐบาลระดับต่างๆในช่วงนั้นว่าและขอให้ปล่อยตนและพวก เพราะการจับกุมคุมขังโดยไม่มีข้อหาไม่สามารถทำได้เกินกว่าหนึ่งสัปดาห์ และผิดกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เมื่อตนโดนปล่อยตัวแล้ว ก็โดนคุกคามติดตามจากฝ่ายความมั่นคง ตนบอกว่าหากหวาดระแวงว่าจะเกิดความไม่มั่นคงของคมช.แล้วนั้น ตนจะออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
“พวกท่านจะได้บริหารประเทศได้อย่างสบาย เมื่อผมออกไปแล้ว คำสั่งคมช.ที่ห้ามอดีตรัฐมนตรีออกนอกประเทศ หากจะไปต้องขออนุญาตคมช.ก่อน ผมจึงโทรศัพท์ไปหน้าห้องพลเอกวินัย ภัธทิยะกุล เลขาธิการคมช.ในขณะนั้น แต่พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคมช. รับสายแทน และได้พูดคุยกันว่าต้องมีการแจ้งคมช.ด้วย แต่พลเอกสมเจตน์กลับไปบอกสื่อว่า ผมมางอนง้อและจำพี่ไม่ได้หรือ ทั้งๆที่ผมไม่รู้จักพลเอกสมเจตน์ และเรื่องนี้เกี่ยวพันกับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่มีปัญหาด้วย เมื่อผมกลับมา เพื่อนๆจากพรรคเดิม(พรรคไทยรักไทย)ไม่มีที่ยืน และส่วนใหญ่ก็ไม่มีบทบาททางการเมืองคืออยู่บ้านเลขที่ 111 ผมกลับมามาช่วยบริหารพรรคนี้(พลังประชาชน)และประกาศชัดว่าอยากให้บ้านเมืองมีความปรองดองและมีความรัก ความผูกพัน เพราะความขัดแย้งมัแต่จะทำให้บ้านเมืองอ่อนแอ เป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศด้วยซ้ำ”นายยงยุทธกล่าว
นายยงยุทธกล่าวว่า กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งหลายควรที่จะมีกติกาที่ยอมรับร่วมกัน หากไม่พอใจรัฐบาลชุดใดก็ควรรอการเลือกตั้งแล้วไม่ต้องไปเลือก แต่การรัฐประหารจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ไหม วันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าหลังปฏิวัติความขัดแย้งทางสังคมยังมีอยู่ ตนขออาสาจากหลายฝ่ายว่าขอเป็นกลไก ตั้งแต่ลาออกจากส.ส.,ประธานสภาฯ,และลาออกจากการเป็นนักการเมือง เพื่อไปเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ใครสักคนที่เป็นที่ยอมรับได้ มาจัดที่จัดทาง มาหวาดระแวงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกรงว่าจะมามีอำนาจอีก ก็คุยกันว่าจะเอาอย่างไร หวาดระแวงว่าพันธมิตรฯจะมีปัญหาก็มาคุยกัน ว่าจะทำอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องเป็นธรรมและยุติธรรม ทำจุดยืนให้ทุกฝ่ายยืนร่วมกันในสังคมได้ บ้านเมืองจะเดินหน้าได้ มันคือความฝันที่ตนเคยพูดไว้
นายยงยุทธกล่าวว่า แต่ผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกตนว่า อยากทำจังเลย แต่สังคมไทยบางส่วนไม่ค่อยให้ความร่วมมือที่ดีต่อกัน แต่ไม่ใช่ทั้งประเทศ เพราะหมายความว่า ใครนำหน้าก่อนก็จะอิจฉาตาร้อน รอให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ตนบอกไปว่าลักษณะการป้องกันแบบนี้หากไม่เกิดขึ้นก็จะเสียหาย ตนคิดว่า น่าจะร่วมมือร่วมใจ ตนพยายามแสดงจุดยืนให้ทุกฝ่ายมีที่ยืนร่วมกัน
นายยงยุทธกล่าวว่า วันที่18ต.ค.2550 พรรคนำโดยนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคไปปราศรัยหาเสียงที่จ.เชียงราย วันนั้นมีการตั้งด่านสกัดกั้นประชาชนที่จะมาฟังการปราศรัย ในที่สุดก็มีการเจรจาขอให้ยกเลิกด่านดังกล่าวจนเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ และเชื่อมต่อมายังวันที่25ต.ค.ซึ่งเป็นวันประกาศกฤษฎีกาการเลือกตั้ง วันนั้นตนไม่ได้ปราศรัยเพราะมีคนปราศรัยเยอะ และเหตุที่เกิดขึ้นกับตนนั้นเพราะมีการอ้างกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านจ.เชียงราย10คนและรวมทั้งนายกเทศมนตรีมาเยี่ยมตนที่พรรค วันนั้นยังไม่ใช่วันรับสมัครเลือกตั้ง และในวันนั้นตนเลิกประชุมสองทุ่มเศษ พวกนั้นก็รอ จนเจ้าหน้าที่โรงแรมมาบอกตนว่า พวกนั้นมารอ ตนก็เดินไปหาและบอกติดตลกว่า วันนี้ออกใจดำ เลี้ยงข้าวยังไม่ได้ เพราะกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาแล้ว คุยด้วยไม่ได้ เดี๋ยวผิดกฎหมายเลือกตั้ง เอาไว้กลับจ.เชียงรายแล้วค่อยคุยกันเพราะวันนั้นตนติดอีกงานหนึ่งและกลับออกไป
นายยงยุทธกล่าวว่า หลังจากนั้นมีขบวนการถ่ายวีดีโอ ซึ่งไม่ได้ถ่ายตามที่ตนพูด ขณะที่กำนันเดินทางจากจ.เชียงรายมายังกทม. เจ้าหน้าที่บางฝ่ายถ่ายวีดีโอทั้งขาไปและขากลับ หลังจากนั้นช่วงกลางเดือนพ.ย.ตนไปจ.เชียงรายไปรับนายสุธรรม แสงประทุม อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทยที่สนามบินจ.เชียงราย มีกำนันอ.แม่สายมาดักพบและบอกตนว่า ลูกน้องของทหารถ่ายรูปกำนันที่ไปพบตนขึ้นและลงเครื่องบินเพื่อแจกใบแดงให้ตน ตนบอกไปว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะตนยังไม่ได้หมายเลขเลย เอากันแบบนี้เลยหรือ แต่ตนก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังและยังหัวเราะเลย
นายยงยุทธกล่าวว่าจากนั้นประมาณวันที่20พ.ย. นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัครส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย แจ้งกกต.ว่ากำนันกลุ่มนั้นมารับเงินกับตนคนละ20000บาทพร้อมตั๋วเครื่องบิน และหนึ่งในนั้นคือนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ คือนกต่อที่ออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเอง จากนั้นเมื่อกลับจ.เชียงรายมีทหารไปรอพบกับคนกลุ่มนี้ที่ร้านแจ่วฮ้อน และยังพบเจ้าของบ่อนคาสินโนสามเหลี่ยมทองคำด้วย และหลังจากที่นายวิจิตรแจ้งว่าตนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง สันติบาลไปเอาเทปที่ทหารถ่ายไว้ก่อนหน้ามาประกอบและบอกว่าตนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การสอบสวนของสันติบาลนั้น สันติบาลบางคนบอกว่า สอบสวนโดยมิชอบ เพราะอ้างว่าเดินทางไปสามคน สอบสวนครบองค์ประกอบทางกฎหมาย เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าบางคนไม่ได้ไปแล้วมาเซ็นรับที่กทม.แล้วนำเรื่องเหล่านี้เป็นพยานหลักฐาน
นายยงยุทธกล่าวว่า การจ่ายเงินนั้น กำนันที่มาทั้งหมด10คน 9คนยืนยันไม่ใช่เรื่องจริง แต่นายชัยวัฒน์อ้างว่าพาคนเหล่านี้มาทวงเงินค่าขุดลอกคูคลองจากนายชูชาติ จันทะวาลย์ อดีตส.จ.แม่จันและยังลงสมัครส.ส.ด้วย เพราะนายชูชาติไม่จ่ายเงิน กำนันกลุ่มนั้นหวังว่าตนจะช่วยทวงเงินให้ แต่ตนบอกทำไม่ได้ หลังจากนั้นก็นำสิ่งไม่เป็นจริงมาเป็นพยานหลักฐานกล่าวร้ายตน แต่กำนันกลุ่มนั้นไม่เคยให้ถ้อยคำกลับคำตามที่มีข่าวรั่วจากกกต.เลย และไม่มีจริง สำนวนบางเล่มสอบ3-4ครั้ง ก่อนถึงมือกกต. และมีการตั้งสันติบาลชุดนี้ไปสอบสวนในวันที่18ต.ค. แต่การติดต่อของสันติบาลกับนายชัยวัฒน์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่3พ.ย.แล้ว สันติบาลยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลย ตนเล่าให้ฟังว่าตนไม่ใช่คนชั่ว วิธีหาเสียงของพรรคนี้ ประชาชนทางเหนือและอีสานรู้ดี คนโนเนมที่สุดก็ยังได้รับเลือกตั้งเพราะมันเป็นกระแสความรู้สึกของประชาชน และตนเป็นผู้สมัครส.ส.สัดส่วนเบอร์1 จะเอาเงินไปแจกหนึ่งตำบลในเก้าจังหวัด หากใช้วิจารณญาณแล้วจะพบว่า มันจะไม่มีประโยชน์ การชักชวนคนเหล่านั้นมารับเงินที่กทม.นั้น กำนันบางคนร้องไห้บอกว่าบ้านติดกันหากจะไปเอาเงินก็ไม่ต้องมากทม.หรอก
นายยงยุทธกล่าวว่า ผมเล่าความจริงให้ฟัง สิ่งที่หนักหนาสาหัสมากกว่าคือปล่อยข่าวว่าผมเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่ดี มีอิทธิพล กักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่คุกคามพยานคือนายชัยวัฒน์ วันที่กกต.ไปสอบปากคำ เจ้าหน้าที่กกต.คนหนึ่งที่ไปสอบสวนด้วยได้ยินกับหูว่า ไปคุมตัวมา ซึ่งพยานนั้นถูกคุมตัวยิ่งกว่าผู้ต้องหาอีก และทำไมนายชัยวัฒน์กล่าวร้ายตน ตนส่งสำนวนให้กกต.และตำรวจว่า นายชัยวัฒน์เคยมีปัญหาก่อนรัฐประหาร เพราะเคยโดยอดีตส.จ.และตำรวจไปรีดเงินเพราะเพื่อนนายชัยวัฒน์โดนจับยาบ้าล้านเม็ด นายชัยวัฒน์เอาเงิน7แสนบาทให้ตำรวจ ต่อมามาร้องว่าเสียดายเงิน ไม่มีเงิน ขอต่อรอง ลดหน่อยได้ไหม และมาพบตน ตนจึงแจ้งผกก.สภ.แม่จันและมีหลักฐานในขณะนั้นว่า ขอให้นำเงินคืนหากไม่ผิด หากผิดก็ดำเนินการ และนายชัยวัฒน์เคยเข้าบำบัดยาเสพติดและฟื้นฟูอบรมในฐานะผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติด โดยตนส่งหลักฐานให้กกต.แล้ว และนายชัยวัฒน์ยังไม่ปรากฏอาชีพการงาน วันนี้ก็แสดงฐานะการเงิน ปลูกบ้านใหม่ราคาไม่ต่ำกว่า2.5ล้านบาท ตนไม่ได้ปรักปรำ แต่มันเกิดก่อนหน้าที่จะมีเรื่อง คนๆนี้ คือนกต่อของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางฝ่ายที่เป็นตัวล่อ ตัวล่อนั้นตั้งสมมติฐานว่า สงสัยว่าตนซื้อเสียง จ่ายเงิน และใช้กำนันผู้ใหญ่บ้าน เมื่อถึงเวลาจะได้เอาใบแดงกับตน แต่ตอนนั้นตนไม่ได้กลับบ้าน ทำงานที่พรรค เหตุนี้เกิดขึ้น3-4วันหลังกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ ก็วางแผนนี้กัน
นายยงยุทธกล่าวว่าวันที่ทหารเรียกกำนันไปสอบสวน ตนดูวีดีโอเทปของกกต.ที่จะนำไปเป็นหลักฐานในศาลด้วยนั้น ระบุว่าตนเป็นคนชั่ว จะไปเลือกทำไม และพรรคพลังประชาชนแจกซีดีเกลื่อนเมืองแล้วต่อไปจะโดนยุบพรรค จะไปเลือกทำไม มีปัญหานะ และพวกนี้ยังอ้างสถาบันเบื้องสูงด้วย เพื่อทำให้คนเข้าใจผิด สำคัญที่สุดคือกล่าวร้ายตนนั้นขัดกับกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 57 ส่วนเหล่านี้กกต.ไม่เคยเอามาคิด เอามาพูด แล้วกำนันผู้ใหญ่บ้านหากทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีด้วยไม่ใช่แค่เชื่อว่า เข้าใจว่า แล้วเล่นงานผม อย่างนี้ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่มาปฏิเสธหรือจนมุมด้วยหลักฐาน แต่นี่คือความจริงที่มาเล่าให้ฟัง
“ผมเป็นส.ส.สิบกว่าปี ชาวบ้านรู้ว่าตนชอบช่วยเหลืออย่างไร ทำงานอย่างไร ตนคงไม่ทำเกินเลยตามที่โดนกล่าวหา ที่เล่าให้ฟังเพื่อเชื่อมไปยังขบวนการของบางพรรคและนักการเมืองที่จะยุบพรรคพลังประชาชน ก่อนหน้านี้ตนเคยเขียนแผ่นชาร์จว่า ไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังวางแผนใช้ตำรวจและทหาร รวมหัวจัดฉากจะแจกใบแดงให้ส.ส.พรรคและตนคือเป้าหมายหลักที่ต้องดำเนินการเช่นนั้น และยังมีพล.ต.ท.คนหนึ่งไปข่มขู่พ.ต.ท.สุพจน์ แสงเพชร ที่วันนี้โดนย้ายไปภาคใต้ โดยมีการสั่งให้พ.ต.ท.สุพจน์ปรักปรำตนอย่างไรก็ได้ว่า ในยุคปราบยาเสพติด หากทำได้จะเลื่อนให้เป็นผกก. หากไม่ทำจะส่งไปภาคใต้ แต่พ.ต.ท.สุพจน์ไม่ยอมให้ความร่วมมือจนโดนย้ายไปภาคใต้ ฉะนั้นเหตุที่เกิดกับตนและพรรคนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ”นายยงยุทธกล่าว
นายยงยุทธกล่าวว่า วันนี้แม้คดีและข้อกล่าวหาจะสิ้นสุด ตนยังโดนพลเอกสมเจตน์ฟ้องร้องและกกต.รับเรื่องไว้ว่าตนปราศรัยว่าทหารคุกคาม ทัศนคติของพลเอกสมเจตน์เป็นปฏิปักษ์กับตนและพรรคโดยตรง ตนพยายามไม่กล่าวในที่นี้ตั้งแต่ต้น เพราะอยากให้บ้านเมืองสงบสุข แต่วันนี้ตนต้องปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรี เพื่อให้สังคมไทยรู้ว่าหากปล่อยให้วันนี้มีการใช้กลไกพิเศษบางอย่างมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน บ้านเมืองก็ไม่สงบสุข และวันนี้คดีต่างๆที่กกต.ยังไม่จบ เพราะยังมีอีกหลายคดี ตนไม่โดนแค่คดีเดียว ยังมีหลายคดี แม้แต่การปราศรัยก็ยังพยายามเล่นงานตน
“ผมเล่าในวันนี้ ผมไม่ทะเยอทะยาน ไม่หวังมากอบโกยหรือสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเองและพวกพ้อง เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ แม้กระบวนการวันนี้ยังไม่จบ เพราะต้องนำคำวินิจฉัยส่งศาล หากศาลรับเรื่อง ผมต้องยุติการทำงานหน้าที่จนกว่าศาลจะพิพากษาไปในทางหนึ่งทางใด แต่ผมอยู่สภามานานและรักสภา รักศักดิ์ศรีส.ส. ผมจะไม่ยอมเป็นประธานสภาที่ถูกกล่าวหาในช่วงนี้เด็ดขาด เมื่อเช้านี้ผมทราบเรื่องแล้วก็มอบงานให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์และพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯปฏิบัติหน้าที่แทนผม ฉะนั้นช่วงนี้ผมจะไม่นั่งบนบัลลังก์ จะไม่ใช่อำนาจหน้าที่การเป็นประธานสภาฯมาต่อสู้เพื่อปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีของผม แต่ผมจะใช้ความเป็นคนไทย หวังและรักความยุติธรรมและประกาศให้สังคมรู้ว่าความยุติธรรมยังมีอยู่”นายยงยุทธกล่าว
นายยงยุทธกล่าวว่า ขอเรียนว่ากกต.ต้องตอบคำถามตนด้วยว่า 1. ได้มีพลเอกคนหนึ่งเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วได้ขอร้องให้กกต.ลาออก เพื่อให้การเลือกตั้งมีปัญหา เพราะการให้ใบเหลืองใบแดงเหล่านั้นมีจริงหรือไม่ สิ่งนี้กกต.รู้อยู่แก่ใจ 2.พลเอกอีกคนหนึ่งไปวิ่งเต้นเล่าเรื่องต่างๆให้กกต.ฟัง เพื่อเล่นงานตนโดยตลอด ตรงนี้จริงหรือไม่ หากไม่มีจริง ตนจะยินดีเพราะตนจะไม่เคารพกกต.อีกต่อไป เพราะถือว่าสิ่งที่กกต.พูดนั้นเป็นเรื่องโกหก และเรื่องแบบนี้มันโกหกกันไม่ได้เพราะมันรู้กันหมด ตนจึงเล่าให้ฟังว่า ความไม่โปร่งใสและไม่เที่ยงธรรมในเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ ใครทำต้องรับผิดชอบ เพราะการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา236 และการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติการเลือกตั้ง ตนก็ต้องต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การกระทำของกกต.บางคนกระทำการละเมิดต่อกระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย และใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตนขาดการได้รับความเป็นธรรมและตนจะต่อสู้โดยไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ แต่จะใช้ความเป็นมนุษย์คนหนึ่งต่อสู้เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น ตนหวังว่าคงไม่มีใครใช้กระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยเฉพาะทางศาลมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างคนและพรรคอีกต่อไป ตนเชื่อว่า สังคมไทยจะน่าอยู่ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ต่อไป ตนไม่ใช่คนชั่วอย่างที่หลายฝ่ายพยายามตั้งข้อกล่าวหา ขอบคุณ
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าขณะนี้ยังไม่คิดลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรใช่หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนยังไม่ลาออก ขณะนี้เพียงแต่มอบภารกิจให้กับรองประธานฯ ทั้ง 2 คนทำงานแทนไปก่อน เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์ขณะนี้อย่างไร เนื่องจากมีการส่งเรื่องให้กับศาลพิจารณาในช่วงที่มีกระแสข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดเรื่องนี้แล้วกัน เมื่อถามอีกว่า จะเดินทางไปร่วมประชุมสภาวันที่27 ก.พ.หรือไม่ นายบยงยุทธ กล่าวว่า ตนคงจะดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ และคงจะไปร่วมประชุมสภาในฐานะส.ส. เมื่อถามย้ำว่า คิดจะลาออกหรือไม่ นายยยงยุทธ กล่าวว่า ยังไม่ลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ มีส.ส.และอดีตผู้สมัครส.ส.ของพรรคประมาณ 20 คนมายืนให้กำลังใจระหว่างที่นายยงยุทธแถลงข่าวด้วย อาทิ นส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.แม่ฮ่องสอน นายสมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และนายสุรชัย เบ้าจรรยา อดีตผู้สมัครส.ส.ระบบสัดส่วน เป็นต้น โดยภายหลังจากที่นายยงยุทธแถลงข่าวเสร็จสิ้น ต่างปรบมือและเดินล้อมเข้ามาเพื่อให้กำลังใจ ก่อนที่จะเดินขึ้นลิฟท์อาคารที่ทำการพรรค
คลิกอ่าน! รายงานพิเศษ : ย้อนรอย “ยงยุทธ”ทุจริตเชียงราย!!
คลิก! เพื่อชมรายการ NEWS HOUR สนทนา “ใบแดงยุทธตู้เย็น” พร้อมภาพวีซีดีหลักฐานซื้อเสียง (56k) | (256K)