“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จับตา 5 เสือ กกต.กล้าฟัน “ทั่นยุทธ” ตามมติ อนุฯ หรือไม่ พร้อมจี้เคลียร์คดีเก่าที่ยังคั่งค้างอีกเพียบ เหน็บ “จักรภพ” บีบรายการ “เจิมศักดิ์” พ้นคลื่น 105 แทรกแซงสื่อ แต่ไม่กล้ารับ พิสูจน์ชัดเรียกร้องสิทธิ์ให้ “พีทีวี” แค่ของปลอม
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศจากเอเอสทีวี คืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ โดยช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยอมรับถูกอบรมให้พูดจาระมัดระวังมากขึ้น เพราะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า เป็นสัญญาณที่ดี แต่จะสายไปหรือไม่คงตอบแทนไม่ได้ เนื่องจากการสัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยระบุว่า มีเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวแค่ 1 คน ได้สร้างความไม่พอใจแก่บรรดาผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ และญาติของผู้เสียชีวิต อีกทั้งประชาชนก็เริ่มมองว่า นายสมัคร นั้นกำลังพูดโกหกบิดเบือนประวัติศาสตร์
จากนั้นผู้ดำเนินรายการได้นำคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลญะซีเราะห์ของนายสมัครมาเปิดเผย โดยเฉพาะการตอบคำถามผู้สื่อข่าวประเด็นเหตุการณ์ตากใบ ซึ่งนายสมัคร ถึงกับแสดงอากัปกิริยาเหมือนกำลังตกใจ พร้อมกับย้อนถามผู้สื่อข่าวสาวว่า รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ
ทั้งนี้ ไม่ขอวิจารณ์การพูดภาษาอังกฤษของนายสมัคร แต่เป็นห่วงเรื่องคำอธิบาย ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่แปลกหากเกิดความผิดพลาด เนื่องจากเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร ยังไม่มีบทบาท การตอบคำถามประเด็นจึงสุ่มเสียงอยู่พอสมควร แต่ครั้นเมื่อถึงวินาทีที่จะต้องมาอธิบายกับคำถามที่มีความเสี่ยง นายสมัคร ก็มาอธิบายในฐานะนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ มองว่า กรณีที่แกนนำพรรคพลังประชาชนออกมาเตือนนายสมัคร ให้ระมัดระวังการพูดจากนั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างน้อยนายสมัคร ยังได้ฟังข้อติเตียน ได้ตระหนักว่าควรหรือไม่ควร พร้อมทั้งจะต้องระมัดระวังถนอมคำพูด ซึ่งอาจจะไม่ใช่เฉพาะการพูดในเวทีต่างประเทศ แต่ในประเทศนายสมัคร ก็ต้องระวังด้วย โดยเฉพาะคนเดือนตุลาฯ ที่อยู่ในพรรคพลังประชาชน ก็อย่าได้ปล่อยให้การพูดของนายสมัครผ่านเลยไป ต้องแสดงความรู้สึกให้นายสมัครเห็น และต้องระวังคำพูอะไรบ้าง
**เชื่อเหตุ “ยุทธ” ซีด หวั่นกระทบพรรคหลังรู้เจอใบแดง
ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงคณะอนุกรรมการชุดสืบสวนสอบสวนกรณีทุจริต จ.เชียงราย มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากมีหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งที่ชัดเจนว่า หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นด้วยกับข้อสรุปของคณะอนุกรรมการฯ ก็จะส่งคำร้องไปที่ศาลฎีกา และเมื่อศาลรับคำร้อง เท่ากับว่า สถานภาพการเป็นประธานสภาฯ ของนายยงยุทธ ต้องสิ้นสุดลง
ขณะเดียวกัน กรณีของนายยงยุทธยังสร้างความกังวลกับพรรคพลังประชาชนโดยตรง เนื่องจากขณะที่ทำผิดนั้นนายยงยุทธ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรค หากศาลมีคำวินิจฉัยพร้อมทั้งชี้ว่า นายยงยุทธ มีความความผิด พรรคพลังประชาชนอาจถูกยุบได้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกที่เห็นสีหน้าตกใจของนายยงยุทธ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถามถึงประเด็นนี้
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังฝากถึง กกต.ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีพยานในคดีซื้อเสียงที่ จ.เชียงราย มาร้องเรียนถูกคุกคาม รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมือง และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ตนไม่อยากเห็น กกต.ชุดนี้ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยเฉพาะคดีของนายยงยุทธ ที่เชื่อว่ามีพยานหลักฐานครบถ้วน ดังนั้นต้องทำหน้าที่ คิดและไตรตอรงพร้อมทั้งตระหนักว่า ประชาชนจับจ้องการทำหน้าที่อยู่
**จับตา กกต.กล้า-ไม่กล้าเชือด “พลังแม้ว”
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีคณะอนุกรรมการฯ มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่า ทำให้สถานภาพของพรรคพลังประชายคลอนแคลนพอสมควร และเป็นการให้ใบแดง ทั้งๆ ที่มีการเปลี่ยนกรรมการสอบตามคำขอของผู้ถูกร้อง ซึ่ง กกต.ยอมให้หมด ขอดูเอกสารก็ได้ดู ขอเพิ่มพยานก็ให้เพิ่ม ซึ่งจะเห็นว่า คณะอนุกรรมการฯ เปิดโอกาสให้มากกว่าหลายๆ คดี เพราะก่อนหน้านี้ บางคดี ไม่ต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ก็ยังประกาศให้ใบแดงได้ ดังนั้นจึงอยากให้สร้างมาตรฐานในการทำงานด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ต้องจับตามองไปที่ กกต.ทั้ง 5 คนว่าจะมีมติเกี่ยวกับคดีนี้อย่างไร รวมทั้งต้องมองย้อนไปตั้งแต่ กรณีที่ กกต.ชุดเก่าทำผิด จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งการกระทำผิดถือเป็นนคดีอาญา แล้ว กกต.ชุดนี้มีหน้าที่เอาคนผิดมาลงโทษ ได้ดำเนินการอะไรหรือยัง จึงอยากให้นายสุทธิพล ทีวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ออกมาแถลงว่า กกต.ชุดนี้ยังดำเนินการเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษอยู่
นอกจากนี้ยังมีคดีหลายคดีที่ค้างอยู่ เช่น คดียุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ไปใฟห้ปากคำแล้ว คดียุบพรรคชาติไทยได้เรียกนายบรรหาร ศิลปอาชาเข้าชี้แจงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนคดียุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย จะเรียนเข้าชี้แจงในสัปดาห์หน้า
** อัด “เพ็ญ” แอบแทรกแซงสื่อ - ไม่ใช่ลูกผู้ชาย
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงคำชี้แจงของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่อ้างว่าไม่ได้เป็นคนสั่งถอดรายการของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกจากคลื่น 105 เมกะเฮิตซ์ วิสดอม เรดิโอ และอ้างว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายเข้าไปแทรกแซงสื่อ และอาจจะมีมือมีเท้าที่มองไม่เห็นเข้าไปกลั่นแกล้งว่า เรื่องนี้ต้องฟังจากปากของคนที่ถูกกระทำ คือนายเจิมศักดิ์เอง เพราะคนที่เป็นรัฐมนตรีคงไม่มีใครที่จะยอมว่าเป้นคนสั่งถอดรายการ เพราะเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ทำให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
ทั้งนี้ นายเจิมศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ทางรายการ NEWS HOUR ของเอเอสทีวี ว่า วิธีการแทรกแซงสื่อนั้น เขาไม่ต้องเอามือไปแตะ แต่สามารถทำให้คนที่ทำสื่อเซ็นเซอร์ตัวเองได้ โดยทำให้ผู้บริหารสื่อจะต้องนึกถึงกระเป๋าตัวเอง ซึ่งบุคคลพวกนี้น่าเห็นใจมาก จะมีกี่คนที่บอกว่าเจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย จะยืนหยัดตามหลักการ แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปแล้ว เขาก็มีจรรยาบรรณทางธุรกิจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า เพื่อความอยู่รอด เพื่อกำไร เพื่อรายได้ ซึ่งก็น่าเห็นใจ มันก็เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง สำหรับนายจักรภพนั้น น่าเสียใจที่เคยอยู่กระทรวงการต่างประเทศ เคยทำสื่อ มีท่าทีเหมือนนายพิชัย วาศนาส่ง คิดว่านายพิชัยคงจะเป็นแม่แบบที่ดี
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า การที่นายจักรภพเคยทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ น่าจะเข้าใจสายตาของต่างประเทศที่มองประเทศไทย แต่นายจักรภพก็เปลี่ยนไปหลังจากที่ไปเป็นโฆษกรัฐบาลให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องแทรกแซงสื่อ ก็เปลี่ยนไปเป็นให้การสนับสนุน
หลังจากการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย.2549 นายจักรภพออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับพีทีวี อ้างว่าพีทีวีเป็นการรวมตัวของกลุ่มคนทำสื่อที่ถูกปิดกั้น ทำให้ต่างชาติมองรัฐบาลขณะนั้นในทางที่ไม่ดี และมองว่าการเคลื่อนไหวของนายจักรภพเป็นอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อนำประชาธิปไตยกลับคืนมา ซึ่งในช่วงนั้น ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถูกนายจักรภพโทรศัพท์หาบ่อยมาก เพื่อแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ คืนมา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะรัฐบาลและ คมช.ในตอนนั้นอ่อนด้อยในเรื่องภาพลักษณ์ต่างประเทศกว่า นปก.หลายเท่า
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า วันนี้เมื่อนายจักรภพมาเป็นรัฐมนตรี และมีหน้าที่ควบคุมสื่อ ก็ประกาศจะจัดระเบียบสื่อ ซึ่งได้มีการเตือนว่าจะแทรกแซงสื่อหรือไม่ แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันรายการของนายเจิมศักดิ์ก็ถูกถอดจากคลื่น 105 ดังนั้น เมื่อเข้ามาสู่อำนาจรัฐแล้ว ทำการแทรกแซ.สื่อเสียเอง ก็แสดงว่า การเคลื่อนไหวของนายจักรภพที่ผ่านมานั้นไม่ใช่ของจริง นายจักรภพเป็นของปลอม มีการแทรกแซงสื่อแล้วไม่ยอมรับ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย เพราะทำอะไรก็แอบๆ ทำ
ในช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการกวดขันของเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันวาเลนไทน์ เพื่อไม่ให้วัยรุ่นไปมั่วสุมตามโรงแรมม่านรูดว่า เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วง 1 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว หลายคนก็คาดหวังว่าจะเป็นรัฐบาลที่น่าจะสร้างคุณธรรม ปลุกจิตสำนึกเพื่อบ้านเพื่อเมือง แต่ก็ไม่ได้ทำ มาถึงวันนี้ วันดีคืนดี ก็เห็นแต่นักการเมืองที่ไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม วันดีก็เห็นนักการเมืองจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )