อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
แม้ขณะนี้จะมีหลายพรรคโดนใบแดงไปแล้ว มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป แต่ดูเหมือนว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ที่โดนใบแดงจะออกอาการมากสุด โดยเฉพาะที่ “บุรีรัมย์” ที่ไม่เพียงมีการก่อม็อบประท้วงขับไล่ กกต.จังหวัด แต่ยังมีการแจ้งความดำเนินคดี ไปจนถึงการ “ข่มขู่” ขณะที่ล่าสุดกรณีส่อทุจริตที่เชียงรายของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แห่งพรรค พปช.ที่ไม่เพียงอาจโดนใบแดง แต่อาจถึงขั้นถูกยุบพรรคด้วย ก็ทำเอามือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นี้ ต้องงัดสารพัดวิธีที่จะดิ้นหนีความผิดครั้งนี้ให้ได้ ท่ามกลางความกังขาของสังคมว่า มี กกต.บางคนในชุดนี้ เป็น “หนอนบ่อนไส้” แอบช่วยเหลือ พปช.อยู่หรือไม่?
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
หากมองปฏิกิริยาของพรรคการเมืองต่อการโดนใบเหลือง-ใบแดง ตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.เป็นต้นมา คงจะไม่มีพรรคไหนเกินหน้า “พรรคพลังประชาชน (พปช.)” เพราะทันทีที่ กกต.มีมติ (4:1) ให้ใบเหลือง (ไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแต่ให้มีการเลือกตั้งใหม่) แก่ว่าที่ ส.ส.นครราชสีมา เขต 3 พรรคพลังประชาชน 3 คน (นายบุญเลิศ ครุฑขุนทด-นายประเสริฐ จันทรรวงทอง-นางลินดา เชิดชัย) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.จากกรณีหัวคะแนนเตรียมจ่ายค่ารถขนคนไปฟังการปราศรัยของว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว ต่อด้วยกรณีที่ กกต.มีมติ (4:1) เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ให้ใบแดง (เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) แก่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน ประกอบด้วย นายประกิจ พลเดช, นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน จากกรณีหัวคะแนนจ่ายเงินให้ประชาชนที่ไปฟังปราศรัยของว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว ปรากฏว่า แค่โดนใบเหลือง 3 ใบและใบแดง 3 ใบเท่านั้น ก็ทำเอาหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อย่าง นายสมัคร สุนทรเวช อยู่ไม่เป็นสุข ต้องรีบล็อกพรรคเล็กอย่าง “รวมใจไทยชาติพัฒนา-มัชฌิมาธิปไตย-ประชาราช” ออกมาแถลงประกาศจัดตั้งรัฐบาลอย่างรีบด่วน 254 เสียง (ยังไม่หัก 6 เสียงที่โดนใบเหลือง-ใบแดง) เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่ตั้งไว้ในวันที่ 4 ม.ค.ที่ต้องการรอการแถลงเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินในวันที่ 2 ม.ค.ก่อน
นอกจากรีบจัดตั้งรัฐบาลเพราะกลัวสถานการณ์พลิกจากเสียงที่หดหายจากใบเหลืองใบแดงแล้ว ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ ของพรรคพลังประชาชน ไม่เฉพาะผู้ที่โดนใบแดง 3 คนเท่านั้น แต่ทั้งหมด 9 คน ที่ได้รับเลือกทั้ง 4 เขตของ จ.บุรีรัมย์ ยังออกอาการไม่ยอมรับใบแดงดังกล่าว โดยนอกจากจะมีการนำชาวบ้านชุมนุมประท้วงขับไล่ นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ออกจากพื้นที่ โดยอ้างว่า นายเกษม วางตัวไม่เป็นกลางแล้ว ยังได้มีการเข้าแจ้งความต่อ สภ.เมืองบุรีรัมย์ (เมื่อ 4 ม.ค.) ให้ดำเนินคดีนายเกษม และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน โดยอ้างว่า นายเกษม และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ใส่ร้ายและสร้างหลักฐานเท็จเสนอ กกต.กลางให้แจกใบแดงพวกตน
ขณะที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน พูดถึงการชุมนุมขับไล่กล่าวหา กกต.บุรีรัมย์ไม่เป็นกลาง ว่า เป็นเรื่องปกติ และว่า อยากให้ กกต.เห็นใจชาวบ้านและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกประชาชนหลังการเลือกตั้งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกของชาวบ้านจริงๆ!?!
ทั้งนี้ แม้ประธาน กกต.บุรีรัมย์ จะเคยชี้แจงยืนยันแล้วว่า ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชนเขต 1 นั้น กกต.บุรีรัมย์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบถึง 2 ชุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด ซึ่งผลการสอบก็ปรากฏการกระทำผิดที่ชัดเจน กกต.บุรีรัมย์ จึงได้ส่งผลสอบไปยัง กกต.กลาง เพื่อพิจารณา แต่นอกจากคำชี้แจงของประธาน กกต.บุรีรัมย์ดังกล่าวจะไม่สามารถทำให้ความไม่พอใจยุติลงได้แล้ว ยังได้เกิดการข่มขู่ประธาน กกต.บุรีรัมย์และ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของบุรีรัมย์ตามมา
และแม้ กกต.กลาง จะยืนยันว่า กกต.จังหวัดไม่ได้เป็นผู้ให้ใบเหลือง-ใบแดง และว่า กระบวนการให้ใบแดงยังไม่ยุติ ขอให้ม็อบรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนว่าจะเห็นเหมือน กกต.หรือไม่ ซึ่งแม้สุดท้าย คณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีมติว่า กระบวนการพิจารณาให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน 3 ใบของ กกต.เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนพอสมควรแล้ว แต่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนก็ยังไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ดี โดย นายประกิจ พลเดช ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 บอก หลังทราบคำวินิจฉัยดังกล่าว ได้มีชาวบุรีรัมย์จำนวนมากโทรศัพท์มาให้กำลังใจ พร้อมบอกจะชุมนุมประท้วงใหญ่อีกครั้ง แต่ตนได้ขอร้องไว้ว่าอย่าเพิ่งมาชุมนุม เพราะจะถูกมองว่าเป็นการกดดัน กกต.กลาง และขณะนี้ประเทศก็อยู่ในช่วงถวายความอาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ด้วย
แม้จะยังไม่ชุมนุมใหญ่ แต่ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 ทั้ง 3 คนก็พยายามดิ้นให้พ้นใบแดง ด้วยการเข้าร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง (เมื่อ 8 ม.ค.) หวังให้เพิกถอนคำสั่งของ กกต.ที่ให้ใบแดงพวกตน พร้อมขอให้ศาลสั่งระงับประกาศของ กกต.ที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 1 บุรีรัมย์ในวันที่ 17 ม.ค.ด้านศาลได้รับคำร้องไว้และนัดฟังคำสั่งในวันที่ 11 ม.ค.นี้
ได้เห็นปฏิกิริยาของว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน ที่โดนใบแดง แต่ไม่ยอมรับ แถมมีการนำชาวบ้านชุมนุมประท้วงขับไล่และแจ้งความดำเนินคดีประธาน กกต.บุรีรัมย์ และ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของบุรีรัมย์แล้ว ลองมาฟังความรู้สึกของผู้ที่ตกที่นั่งลำบากอย่าง กกต.บุรีรัมย์ กันบ้างว่าถูกข่มขู่จริงหรือไม่? และเริ่มถอดใจแล้วหรือยัง?
พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รอง ผบก.สถานีตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของบุรีรัมย์ ยอมรับว่า ถูกข่มขู่จริง แต่ไม่สะทกสะท้าน เพราะตนปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยสำนึกอยู่เสมอว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนถ้าม็อบยังไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าใบแดงดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว และยังคงชุมนุมกดดันตนและประธาน กกต.บุรีรัมย์ ก็เป็นเรื่องของม็อบ ซึ่งคนไทยทั้งประเทศจะได้รู้กันไปเลยว่า คนบุรีรัมย์ไม่เคารพกฎหมาย
“เราปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องและชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ไม่มีอะไรหนักใจเลย (ถาม-คิดว่าม็อบจะยุติมั้ย เมื่อกฤษฎีกายืนยันว่าใบแดงชอบด้วยกฎหมายแล้ว?) ไม่เคยสะทกสะท้านเลย ไม่ยุติก็เรื่องของเขา ถ้าเขาไม่เคารพกฎหมายก็เรื่องของเขา จังหวัดบุรีรัมย์มันเป็นอย่างนี้ก็ปล่อยมันไป เป็นอย่างนี้ ก็ให้คนทั้งประเทศไทยรู้เลยว่าบุรีรัมย์มันไม่เคารพกฎหมาย (ถาม-พรรคพลังประชาชนเขาบอกว่า(การชุมนุม) นั่นมันเป็นความรู้สึกชาวบ้าน?) ถามว่าชาวบ้านมีความรู้สึกจริงมั้ย ต้องถามอย่างนั้น ชาวบ้านที่มานี่มาเพราะอะไร ลองถามเขาดู ...การมีม็อบแต่ละครั้ง การปราศรัยใหญ่แต่ละครั้ง ต้องดูที่มาที่ไปนะ อันนี้ผมไม่พูดว่าเป็นยังไง (ถาม-ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านใช่มั้ย มีว่าที่ ส.ส.มาไฮปาร์คด้วยใช่มั้ย?) ถูกต้อง ก็ไม่เป็นไร เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ อะไรที่ผิดกฎหมาย เดี๋ยวผมก็ว่ากันตามกฎหมาย”
“(ถาม-มีถูกข่มขู่บ้างมั้ย ข่มขู่จากม็อบหรืออะไร?) มี ก็ธรรมดา มันก็ขู่ บอกว่า “ระวังนะ เดี๋ยวจะถูกย้ายนะ” ก็ว่าไป (ถาม-เราก็เฉยๆ ไม่ใส่ใจ?) ผมจะไปสนอะไร เป็นตำรวจมันก็ต้องเจียมตัว ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่ไว้วางใจ จะต้องถูกย้าย ก็โอเค ก็ว่าไป แต่ถ้าหากว่าเราย้ายไปในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เราก็ลาออก เราก็เป็น กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร (ถาม-ทั้งท่านสังวรณ์และท่านเกษม (ประธาน กกต.)ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งนั้น?) อย่าไปกลัว ห้ามกลัว (ถาม-อะไรทำให้เรารู้สึกไม่กลัว ทำให้เราทำงานตรงนี้ได้อย่างมั่นคง?) มี”ในหลวง” ผมเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ด้าน ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ อดีตเลขาธิการ กกต.พูดถึงกรณีว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนไม่ยอมรับใบแดง และมีการชุมนุมประท้วงของชาวบุรีรัมย์บางส่วน ว่า การไม่ยอมรู้แพ้รู้ชนะเป็นพฤติกรรมของนักเลือกตั้ง ส่วนกองเชียร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ยิ่งเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง มีหัวคะแนนเป็นหลักเป็นฐาน ก็ยิ่งสามารถระดมคนมาเป็นกองเชียร์ได้ง่าย
“ยิ่งเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง ก็มีหัวคะแนนเป็นหลักเป็นฐาน การระดมคนก็ง่ายนะ ระดมคนมาเพื่อแสดงพลังว่า มีคนเชียร์เขา หนุนเขาก็ง่าย แต่เนื้อหาที่เขามารวมพลังนั้น ประเด็นใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่า อ้างว่า กกต.บุรีรัมย์ไม่เป็นกลาง ไม่ชอบธรรม ขับไล่ แต่ผลก็ออกมาแล้วว่า การทำงานของ กกต.บุรีรัมย์ เนี่ยก็ถือว่าเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา และที่เห็นชัดก็คือ กกต.กลางก็มีมติโดยฟังข้อมูลพยานหลักฐานที่ทางบุรีรัมย์เขาส่งไปให้พิจารณา และเมื่อให้ใบแดง ตามหลักก็มีเครื่องกรอง ก็คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา ประธานคณะกรรมการก็จะมาพิจารณาว่า ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เห็นพ้องด้วยหรือไม่ ก็ปรากฏแล้วว่า เห็นพ้องด้วยที่ กกต.ลงมติให้ใบแดง เพราะฉะนั้นก็ถือว่า การดำเนินงานหรือขั้นตอนต่างๆ ที่ผ่านมานั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว”
ด้าน นายวรินทร์ เทียมจรัส เลขานุการมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และอดีต กกต.กทม.พูดถึงม็อบประท้วงขับไล่ กกต.ที่บุรีรัมย์ ว่า เป็นม็อบที่ผิดปกติ ซึ่งตั้งใจชุมนุมเพื่อกดดัน กกต.เพราะรู้ว่าใบแดงจะมีมากกว่านี้แน่ และพรรคพลังประชาชนจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะคนที่โดนใบแดงเป็นคนของพรรคพลังประชาชน และว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยแนะนำ กกต.แล้วว่า ให้แจ้งข้อหาคนที่ออกมากดดันการทำงานของ กกต.ฐานขัดขวางการดำเนินการเลือกตั้ง แต่ กกต.ก็ไม่กล้า ทั้งที่มีอำนาจ
“ผมแนะนำให้ กกต.แจ้งข้อหาสำหรับคนที่ออกมากดดันว่าขัดขวางการดำเนินการเลือกตั้งของ กกต.ตามกฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้น กกต.ยังไม่ได้รับรองผลการเลือกตั้งทั้งหมด ตอนนี้ใครไปทำ ก็คือกดดันไม่ให้ กกต.ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่ …ผมแนะนำเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว ทาง กกต.เองเขาไม่กล้า เป็นอำนาจของ กกต. กกต.เล่นเป็นหรือไม่เป็นเท่านั้นเอง คือ ถ้าปล่อยบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ผมพูดตลอดเสมอนะว่า วันนี้ยังไม่มีใครที่จะมีสิทธิพูดเรื่องการตั้งรัฐบาล เพราะผลการเลือกตั้งยังไม่ได้มีการรับรองทั้งหมดถึง 95% ...จริงๆ แล้วมันมีใบแดงเต็มเลยอีสานเนี่ย แต่ปรากฏว่าองค์กรกลางไม่ได้ทำงาน แล้วองค์กรที่เขาจ้างมาทำ มันไม่กล้าทำ มือมันไม่ถึงน่ะ แล้วเครือข่ายของเจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้า เขากลัวไง ผมบอกกลัวได้ไง คุณมีหน้าที่น่ะ หลักฐานก็พอ เครือข่ายของผมก็ยืนยันน่ะ จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องทำ แล้วคุณไม่ทำ คุณปล่อยไว้ได้ไง บ้านเมืองระส่ำระสายหมด”
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน และบรรดากองเชียร์จะไม่ยอมรับใบแดงของ กกต.และไม่ยอมรับในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ยังมีรายงานว่า ขณะนี้เริ่มมีการปลุกระดมชาวบ้านให้ประท้วง กกต.ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ ด้วยการไม่ต้องออกไปใช้สิทธิ หรือถ้าออกไปใช้สิทธิ ก็ให้กาเลือกว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ของพรรคพลังประชาชนที่โดนใบแดงทั้ง 3 คน เพื่อให้บัตรเลือกตั้งดังกล่าวเป็นบัตรเสีย!
นี่ยังไม่รวมกรณีที่ นายประแสง มงคลศิริ อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุทัยธานี พรรคพลังประชาชน ที่ท้าทาย กกต.ด้วยการเดินสายแจกซีดีทักษิณ และ กกต.ยังไม่สามารถนำตัวมาดำเนินคดีอาญาและแจ้งข้อหาทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ ล่าสุด (7 ม.ค.) นายประแสง ก็ยังเดินหน้าสร้างความปั่นป่วนด้วยการไปตระเวณแจกซีดี”เปิดใจทักษิณ”ที่บุรีรัมย์ ทั้งๆ ที่รู้ว่า บุรีรัมย์ เขต 1 จะต้องเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 ม.ค.นี้
นอกจากพฤติกรรมต่อต้านใบแดง โดยว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชนแล้ว ยังมีปฏิกิริยาของว่าที่ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน อย่าง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่พยายามจะดิ้นให้พ้นใบเหลืองใบแดง และการถูกยุบพรรค หลังถูก นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคชาติไทย ร้องเรียน กกต.ว่า มีการนำกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 10 คนนั่งเครื่องบินสายการบินไทยแอร์เอเชียมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 ต.ค.50 จากนั้นมีรถตู้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)มารับไปส่งยังที่ทำการพรรคพลังประชาชน ต่อมา รถคันดังกล่าวก็รับกำนันทั้งหมดไปส่งที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยนอนพัก 1 คืน ก่อนจะเดินทางกลับเชียงรายในวันที่ 29 ต.ค.
ซึ่งจากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน มีทั้งวัตถุพยานและพยานเอกสารที่บ่งชี้ว่า กำนันทั้ง 10 คน เดินทางไปพบนายยงยุทธที่พรรคพลังประชาชนจริง โดยเป็นวีซีดีบันทึกภาพการเดินทางของกำนันที่สนามบินเชียงราย 1 แผ่น อีก 1 แผ่นเป็นการบันทึกภาพตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิไปยังพรรคพลังประชาชนและโรงแรมเอสซีปาร์ค นอกจากนี้ยังมีอีก 2 แผ่นที่บันทึกภาพระหว่างที่ กอ.รมน.จังหวัดเชียงรายเชิญกำนันทั้ง 10 คนมาซักถามข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางดังกล่าว
ทั้งนี้ ในสำนวนการสอบสวน พยานยอมรับว่า ได้เดินทางมาพบบางบุคคลจริง และได้รับการขอร้องให้ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตและสัดส่วน โดยได้รับค่าตอบแทนเบื้องต้น 2 หมื่นบาท
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของนายยงยุทธ อาจเข้าข่ายจูงใจให้ช่วยเหลือเรื่องเลือกตั้ง ถือว่าผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. และเนื่องจากนายยงยุทธ เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 และเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนด้วย ดังนั้นหากพบว่าผิดจริง อาจไม่ใช่แค่ความผิดเฉพาะตัว แต่ถือว่าพรรคร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วย อาจถึงขั้นถูกยุบพรรคได้
หลังถูกแจ้งข้อกล่าวหา นายยงยุทธ ได้ขอเลื่อนการเข้าชี้แจง กกต.จากวันที่ 29 ธ.ค.เป็นวันที่ 8 ม.ค.โดยอ้างว่าติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ (แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด) เมื่อถึงกำหนดเข้าชี้แจง นายยงยุทธ ได้นำพยานมาชี้แจง กกต.10 ปาก หลังเข้าชี้แจง นายยงยุทธ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนโดยอ้างว่า การนำกำนันเชียงรายมาพบตนที่ กทม.เมื่อวันที่ 28 ต.ค.เป็นกระบวนการจัดฉากเพื่อโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นการล่อซื้อให้ตนติดกับดัก อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ ยอมรับว่า ตนได้พบกับกำนันทั้ง 10 คนดังกล่าวจริง!
วันต่อมา (9 ม.ค.) นายยงยุทธ ได้นำพยานอีก 1 ปากเข้าชี้แจงต่อ กกต.แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ชี้แจง โดยนายยงยุทธยื่นเงื่อนไขให้ กกต.เปิดวีซีดีให้ตนดูก่อนเพื่อจะได้ดูว่ามีการตัดต่อหรือไม่ โดยนายยงยุทธ อ้างว่า ตนได้นำผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดต่อเทปเพื่อมาพิสูจน์ด้วย แต่ทาง กกต.บอกว่า วีซีดีอยู่ในความดูแลของทางตำรวจสันติบาล
ทั้งนี้ แม้นายยงยุทธ จะยังไม่ได้ดูวีซีดีที่บันทึกเหตุการณ์กำนันทั้ง 10 คนเดินทางเข้า กทม.มาพบตนว่ามีการตัดต่อจริงหรือไม่ แต่นายยงยุทธ ก็รีบสรุปและแฉต่อสื่อมวลชนว่า เรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการที่ใช้”นกต่อ” โดยอ้างว่า คนบงการ คือคนที่เคยบงการให้ยิงระเบิดเอ็ม-79 ใส่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ แถมอ้างเป็นฉากๆ ว่า บุคคลระดับปฏิบัติ มีทั้ง พล.ต.ท.ที่เคยปาระเบิดใส่หนังสือพิมพ์ข่าวสด รวมทั้ง พล.ต.ต.และ พล.ต.ท.ที่สร้างพยานหลักฐานเท็จ และ พ.ต.อ.ที่ทำหน้าที่ข่มขู่กดดันผู้นำชุมชนให้ใส่ร้ายตน!?!
เป็นที่น่าสังเกตว่า การออกมาแฉเป็นฉากๆ ของนายยงยุทธเพื่อให้ตนไม่โดนใบเหลือง-ใบแดงหรือถูกยุบพรรค ไม่เพียงนายยงยุทธจะไม่กล้าเอ่ยชื่อตำรวจยศต่างๆ ที่ตนกล่าวหา ทำให้น้ำหนักอาจไม่เพียงพอต่อการเชื่อถือ แต่การส่อทุจริตซื้อเสียงของนายยงยุทธครั้งนี้ ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น เช่น การที่ นายยงยุทธ เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรถที่นำมารับกำนันทั้ง 10 คน จากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อไปพบนายยงยุทธที่พรรคพลังประชาชน ก่อนไปส่งที่โรงแรมเอสซีปาร์ค ก็เป็นรถของกระทรวงทรัพยากรฯ แถมเจ้าของสังกัดรถตู้คันที่ไปรับกำนันทั้ง 10 คน (ว่าที่ ร.ต.บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผอ.ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ) ก็เป็นคนสนิทของนายยงยุทธ ซึ่งมีข่าวว่าเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมานาน ดังนั้นคงเป็นเรื่องที่ฟังยากหากนายยงยุทธจะอ้างว่าทั้งหมดคือการจัดฉาก โดยอาศัยคนสนิทของตนเป็นเครื่องมือ!?!
เรื่องรถตู้รับกำนันไปพบนายยงยุทธนี้ ทำให้หลายคนนึกไปถึงการเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 กรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ที่แกนนำพรรคเล็กบางพรรคเข้ารับเงินจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งอาจมีลักษณะ “ปลาตายน้ำตื้น” เหมือนกัน คือ อาจถูกยุบพรรคเช่นกัน
แถมยังมีกรณีที่ส่อว่า กกต.ชุดนี้บางคน อาจมีพฤติกรรมไม่เป็นกลางและช่วยเหลือว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน เช่นเดียวกับ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ที่ปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย หลังเกิดเหตุการณ์ว่า มี กกต.1 คนใน กกต.ชุดนี้ที่ไม่ยอมส่งสำนวนสอบสวนกรณีนายยงยุทธซื้อเสียงคืนให้แก่ทางตำรวจสันติบาลที่เป็นผู้สอบเรื่องนี้ ซึ่งหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า กกต.คนดังกล่าวเก็บสำนวนไว้ เพื่อส่งให้นายยงยุทธดู จะได้ชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ กกต.ได้เคลียร์ทุกประเด็น จะได้ไม่ต้องโดนใบเหลือง-ใบแดง หรือถูกยุบพรรคหรือไม่?
...หวังว่า กกต.ท่านนั้นคงไม่ใช่ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ที่ไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าได้คืนสำนวนดังกล่าวแก่ทางสันติบาลหรือไม่? โดยพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการเอามือปิดหูปิดตาปิดปาก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมหลายอย่างของท่านสมชัยก่อนหน้านี้ ก็ทำให้สังคมอดคลางแคลงใจไม่ได้ว่า ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจที่เป็นกลางเพียงใด? เพราะทุกครั้งที่ กกต.มีมติให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ท่านก็ไม่เคยมีส่วนร่วมเลยสักครั้ง แถมล่าสุด ท่านยังไม่ยอมร่วมประชุมกับ กกต.อีก 4 คนเพื่อพิจารณาสำนวนและฟังคำชี้แจงของนายยงยุทธอีก หรือท่านจะบอกว่า ที่ยกตัวอย่างมา เป็นเพียง “ความบังเอิญ” เท่านั้น!?!