กกต.เร่งถกสำนวนสอบสวนเลือกตั้ง ส.ส.จ่อคิวพิจารณาวันนี้ 75 สำนวน คาดรับรองเพิ่ม 6 คน มี พปช. 4 คน ปชป. 2 คน "สุเมธ" มั่นใจเสร็จทั้งหมด 15 ม.ค. เพื่อให้ทันเปิดประชุมสภา ขณะเดียวกันส่งเลขาฯ กกต. พร้อม กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนแจงกฤษฎีกาถึงเหตุผลการให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ มั่นใจหลักฐานมัดดิ้นไม่หลุด แต่ต้องลุ้นการมอบอำนาจให้ กกต.จังหวัดสอบสวนชอบด้วย กม.หรือไม่ ด้าน กกต.บุรีรัมย์ ลั่นฟ้องคนอยู่เบื้องหลังก่อม็อบฐานดูหมิ่นเหยียดหยาม เจ้าหน้าที่ "พล.อ.สมเจตน์"เตรียมลุยบุรีรัมย์ อังคารนี้ เพื่อดูแล กกต.จังหวัด เพราะทำหน้าที่เพื่อชาติ
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า วันนี้ (7 ม.ค.) กกต.จะพิจารณาสำนวนร้องเรียนประมาณ 75 เรื่อง แยกเป็น ของฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ประมาณ 30 สำนวน ที่เหลือเป็นของตำรวจสันติบาล โดยจะนำสำนวนที่เกี่ยวข้องกับว่าที่ ส.ส.มาพิจารณาลำดับแรกก่อน ส่วนส.ส. ที่สอบตกจะพิจารณาภายหลังเปิดสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เพราะไม่มีผลต่อการ เปิดสภาฯ ทั้งนี้ มั่นใจจะพิจารณาสำนวนได้แล้วเสร็จก่อนเปิดสภาฯ อย่างแน่นอน
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ต้องพิจารณา สำนวนให้เสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ก่อนส่งให้กฤษฎีกาตีความ และส่งกลับมายังกกต.ภายในวันที่ 21 มกราคม เพื่อให้ทันเปิดสภาฯ วันที่ 22 ม.ค.แต่หากไม่ทัน ก็สามารถเลื่อนไปได้ และตามสอยภายหลังเปิดสภาฯ ได้เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือต้องดูว่า สำนวนนั้น ๆ มีมูลหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมวันนี้(7 ม.ค.) จะเริ่มเวลา 09.30 น. ซึ่งมีรายงานว่า กกต.เตรียมประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.เพิ่มเติมอีก จำนวน 6 คน หลังจากพิจารณายกคำร้อง ได้แก่ ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จำนวน 4 คน คือ นายกิตติกร โล่ห์สุนทร และนายวาสิต พยัคฆบุตร ว่าที่ ส.ส.ลำปาง เขต 1 นายธีระ ไตรสรณกุล และนายวิวัฒชัย โหตระไวศยะ ว่าที่ ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 และเป็นว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน คือ นายเรวัต อารีรอบ และนายทศพร เทพบุตร ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ตเขต 1
**ส่งเลขาฯกกต.แจงกฤษฎีกาวันนี้
นายสุเมธ อุปนิสากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงการเตรียมการชี้แจงต่อคณะกรรมการกฤษฎิกากรณีให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.บุรีรัมย์ พรรคไทยรักไทย ในวันนี้ (8 ม.ค.) ว่า กกต.ได้มอบหมายให้เลขาธิการ กกต. รองเลขาธิการกกต. และรองผู้บังคับการ จ.บุรีรัมย์ ในฐานะ กกต.จ.บุรีรัมย์ ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่ทำคดีนี้เป็นผู้เข้าชี้แจง ต่อคณะกรรมการตรวจสอบของกฤษฎีกา ซึ่งทราบว่าทางพรรคพลังประชาชนก็จะส่งหนังสือไปชี้แจงร่วมด้วย
ส่วนที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชนต้องการให้กกต. ชี้แจงเหตุผล การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 3 ว่าที่ส.ส.ของพรรคนั้น ตนเห็นว่าพรรคพลังประชาชนสามารถไปฟังการชี้แจงจากเจ้าของสำนวนได้ในชั้นกฤษฎีกา
ส่วนที่มีข่าว่า ในชั้นของกกต.จ.บุรีรัมย์ และอนุกรรมการสืบสวน มีความเห็น เสนอ กกต.ว่าควรสั่งเลือกตั้งใหม่เท่านั้น นายสุเมธ กล่าวว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น เท่าที่จำได้เรื่องนี้มีการเสนอมาจากทางจังหวัดตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งนานแล้ว และทางจังหวัดเห็นว่าทำไม กกต.ไม่พิจารณาเสียที จนประธาน กกต.จ.บุรีรัมย์ต้องนำสำนวน เดินทางมาเสนอต่อที่ประชุม กกต.เอง ซึ่งเมื่อที่ประชุมฟังแล้วก็เห็นว่าพอมีเหตุผลที่จะแจ้งข้อกล่าวหาได้จึงได้มีคำสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมีประธาน กกต.จว.บุรีรัมย์เป็นประธาน ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา และรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้วนำมาเสนอต่อที่ประชุม กกต. ซึ่งก็มีการอ่านคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา และผลการสอบสวนต่างๆ จนกกต.เห็นว่า จากพยานหลักฐานมีน้ำหนักควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำทุจริตสมควรถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดพยานที่ให้การมัด 3 ว่าที่ส.ส.บุรีรัมย์ว่าเป็นคนซื้อเสียง เป็นบุคคลที่ถูกหมายจับของศาล จ.ร้อยเอ็ด แล้วทำไมถึงมาอยู่ในความคุ้มครองของรองผู้บังคับการตำรวจบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีนี้ นายสุเมธ กล่าวว่า เหมือนกัน
**เชื่อมอบอำนาจกก.สอบสวนไม่ผิดกม.
นายสุเมธ ยังเชื่อว่า การที่กกต.มอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจงแทน กกต.นั้นจะไม่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบ ของกฤษฎีกามองว่าเป็นปัญหาในแง่ข้อกฎหมาย ไม่สามารถทำได้ เพราะ ตามกฎหมาย ก็เปิดโอกาสให้ กกต.มอบอำนาจในการดำเนินการได้อยู่แล้ว ซึ่งเดิม กกต.ก็มีความตั้งใจที่จะดำเนินการเองทั้งการแจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจง แต่เมื่อทราบว่า มีเป็นร้อยๆ เรื่อง การจะให้ กกต.มานั่งรับฟังคำชี้แจงข้อกล่าวหารายละเป็นชั่วโมง คงไม่ไหว
อีกทั้งการมอบให้คณะกรรมการสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการแทน ก็ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิผู้ถูกกล่าวหา เพราะคณะกรรมการสอบสวนก็จะมีการบันทึกคำให้การของผู้ถูกกล่าวที่ชี้แจงอย่างละเอียด ครบถ้วน ตามที่ผู้ถูกกล่าวหา ต้องการและมีการให้ตรวจสอบบันทึกคำให้การก่อนที่จะลงชื่อรับรอง ซึ่งทางคณะกรรมการฯก็มีการนำคำชี้แจงดังกล่าวมาแถลงต่อ กกต.ให้ทราบอย่างละเอียดเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหา ในแง่ข้อกฎหมาย แล้วเสนอว่าไม่ควรให้ใบแดง 3 ว่าที่ส.ส. กกต.จะทำอย่างไร นายสุเมธ ตอบว่า เราก็ต้องกลับมาพิจารณากัน และคงต้องดูก่อนว่าเหตุผลกฤษฎีกานั้นเป็นอย่างไร
**ลุ้นกฤษฎีกาตีความกกต.มอบอำนาจ
รายงานข่าวแจ้ง ว่า หลังจากที่ กกต. ได้ส่งสำนวน 3 ใบแดง จ.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน ให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจตามขั้นตอนของกฎหมาย ไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า กกต.ทำถูกขั้นตอนหรือไม่นั้น ทางคณะกฤษฎีกาได้ให้ กกต. เข้าชี้แจงในวันจันทร์ที่ 7 ม.ค. โดยทาง กกต.ก็ได้เตรียมให้คณะกรรมการชุดที่ กกต. ได้มอบหมายให้ไปทำสำนวนไปชี้แจงต่อคณะกฤษฎีกา ร่วมด้วยกับฝ่ายกฎหมายของ กกต.
ทั้งนี้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา จะตรวจดูความถูกต้องของขั้นตอนว่า กกต. ได้แจ้งข้อกล่าวหา และให้โอกาสให้ผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหารือไม่ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติ หากขั้นตอนถูกต้องก็จะลงไปดูเนื้อหาว่าเป็นอย่างไร เหมือนกับคดีของ นายซาตา อาแวกือจิ อดีต ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายตุ่น จินตะเวช อดีตส.ส. พรรคมหาชน ที่ กกต.ชุด พล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน กกต.ได้ให้ใบแดงไป แต่กฤษฎีกาเห็นแย้งว่าการกระทำของ นายซาตา และนายตุ่น ยังไม่ถึงกับต้องให้ใบแดง ส่งผลให้นายซาตา และนายตุ่น ได้แค่ใบเหลือง เพราะ กกต. ไม่ยืนยันในคำตัดสินของตัวเองทั้งๆ ที่ขั้นตอนที่ทำมาถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม กกต.ทั้ง 2 ชุดนั้นไม่ได้มีการมอบอำนวจให้ใครดำเนินการชี้แจงหรือรับฟังข้อกล่าวหาทำเองทั้งสิ้น สำหรับเรื่องนี้ก็ต้องไปรอดูว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา จะออกมาอย่างไร จะเห็นด้วยกับ กกต.หรือไม่ ในการมีมติมอบอำนาจให้ไปดำเนินการแทน เพราะว่า กรณีนี้ในสมัยของ พล.ต.อ.วาสนา นั้นก็เคยมีแนวคิดที่จะมอบอำนาจให้ กกต.จังหวัด หรือบุคคลที่กกต.เห็นว่าสามารถดำเนินการแทนได้ ไปดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา แต่นายจรัล บูรณพันธ์ศรี อดีตกกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย หนึ่งเดียวในชุดนั้น เคยมีความเห็นคัดค้านไว้ว่า กกต.ไม่สามารถ มอบอำนาจกรณีดังกล่าวให้กับผู้อื่นได้ เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจเฉพาะ ที่กกต. ต้องดำเนินการเอง เพราะเปรียบเสมือนศาล หากจะประหารชีวิตใครก็ต้องฟังจากปากคำของเขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นฟังแทนแล้วตัดสิน เหมือนกับตอนนี้ที่ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ก็ไม่เห็นด้วย กับมติดังกล่าวจึงไม่ได้ร่วมลงชื่อในมติ และไม่เข้าร่วมในการพิจารณากรณีดังกล่าวด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับใบแดงใบเหลือง ที่กกต. ชุดแรกทำไว้ ในการเลือกตั้ง 2543 ได้แจกใบแดงก่อนวันเลือกตั้งจำนวน 4 ใบ และแจกหลังเลือกตั้งจำนวน 8 ใบ และให้ใบเหลือ อีกจำนวน 50 ใบ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นกกต.ต้องสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่จำนวน 62 ใบ ส่วน กกต.ชุดที่ 2 นั้นได้แจกใบแดง 3 ใบ และได้ส่งไปให้คณะกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้อง แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการกฎษฎีกา เห็นแย้งมา 2 คน คือนายตุ่น จินตะเวช และนายซาตา ซึ่งทั้ง2 สำนวนนี้ขั้นตอนถูกต้อง แต่เนื้อหา ในสำนวนยังไม่สามารถเพียงพอต่อการที่กกต.จะให้ใบแดง
**เกษมลั่นแจ้งความผู้อยู่เบื้องหลังม็อบ
นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้อง ของ ว่าที่ ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน ที่ถูกใบแดงจาก กกต. ให้ตน และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตร รอง ผบก.บุรีรัมย์ ในฐานะประธานกรรมการ กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ยุติบทบาทในตำแหน่งดังกล่าว และให้ กกต.แต่งตั้งบุคคลจาก กกต.กลางมาปฎิบัติหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราวเพื่อดำเนินการสืบสวนใหม่เกี่ยวกับการให้ใบแดงกับ ว่าที่ ส.ส.ทั้ง 3 โดยจะกลับมาฟังคำตอบในวันที่ 7 ม.ค.นั้น ทาง ผอ.กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปให้ กกต.กลางพิจารณาแล้ว
"ความจริงการยื่นข้อร้องเรียนควรไปยื่นกับ กกต.กลางเอง การมายื่นกับ กกต.จังหวัดถือว่าไม่ถูกเรื่อง เป็นการตีรวน มาเรียกร้องโดยไม่รู้กาละเทศะ ไม่ดูกติกาตามรัฐธรรมนูญให้จัดเจนเสียก่อน หากอ่านรัฐธรรมนูญไม่รู้เรื่อง จะมาเป็น ส.ส.ทำไม"
นายเกษม กล่าวว่า การเคลื่อนไหวก่อม็อบหากตรวจสอบพบว่า เข้าข่ายทำผิด กฎหมาย ตนจะดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประชาชนที่มาร่วมชุมนุมด้วยก็ยังไม่รู้เลยว่ามาทำอะไร และต้องการที่จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้เพราะอาศัยรถคนอื่นมา ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ยืนยันว่าการตัดสินใจในการพิจารณาเรื่องใดๆ ก็ตาม ต้องเป็นมติของที่ประชุม หากมีการร้องเรียนมาเราก็ต้องสอบ หรือหากพยาน ที่ร้องมาแล้วโกหกตนก็จะฟ้องพยานทันที การนำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ตน ในฐานะประธานกกต. และ พ.ต.อ.สังวรณ์ กกต.ฝ่ายสืบสวนเพียง 2 คน ทั้งที่คณะทำงานมี 5 คน ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะ ตนมีตำแหน่งเป็น รอง ผวจ.บุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.สังวรณ์ เป็น รอง ผบก.ภจว.บุรีรัมย์ ซึ่งกำลังดูแลคดีสำคัญในการใช้อำนาจ มิชอบและทุจริต 4 เรื่ง ล้วนแต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ในจังหวัด ซึ่งคนบุรีรัมย์เองก็รู้ดี
"การชุมนุมประท้วงในครั้งนี้ผมเชื่อว่าผู้ที่มาชุมนุมหากเป็นชาวบ้านธรรมดาจะมาลงขันกันเช่าเต็นท์เช่าเครื่องขยายเสียงและค่ารถโดยสารมาในการชุมนุม คงเป็นไปไม่ได้ และหากเป็นม็อบที่มาเรียกร้องจริงๆ จะต้องมีการรวมกลุ่มกันเหนียวแนน ไม่แตกแยกกันขนาดนี้ ผมจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งภาพถ่ายและเสียงเพื่อแจ้งความกับผู้เกี่ยวข้องในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี ดูหมิ่น เหยียดหยามเจ้าหน้าที่ ที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย"
นายเกษม กล่าวว่า ขณะนี้ในการทำงานตนไม่ไว้ใจคนในพื้นที่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้มีไอ้โม้งขี้ขาดอยู่เบื้องหลังไม่กล้าออกมาเผชิญหน้า ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังคนบุรีรัมย์เองก็รู้ดี การออกมาต่อสู้แบบหมัดแลกหมัดของตนในครั้งนี้ก็ต้องการที่จะเห็น จังหวัดบุรีรัมย์ มีการเลือกตั้งที่สุจริตยุติธรรม เป็นจังหวัดที่มีการเลือกตั้งที่ใสสะอาด แต่ชาวบุรีรัมย์เองไม่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อสรรหาคนดี มาปกครองบ้านเมือง ดังนั้นตนยืนยันว่าจะขอยืนหยัดต่อสู้โดยไม่ย่อท้อแต่อย่างใด
**คมช.เตรียมไปบุรีรัมย์ดูสถานการณ์
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณี กกต.บุรีรัมย์ถูกข่มขู่ว่า ในวันอังคารที่ 8 ม.ค.นี้ หลังจากประชุม คมช.ช่วงบ่ายตนจะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อไปดูข้อเท็จจริงว่ามีใครมาข่มขู่ กดดัน เพราะในพื้นที่ไม่ควรจะมีอะไรมาข่มขู่หรือมีอำนาจเหนือกฎหมายได้ โดยตน ได้ประสานไปที่กองทัพภาคที่ 2 และสำนักงานตำรวจภูธร ภาค 3 ซึ่งตอนนี้ทั้งทหารและตำรวจก็ดูแลคุ้มครองความปลอดภัยให้กับ กกต.บุรีรัมย์อยู่แล้ว
"การมาใช้วิธีการข่มขู่อย่างนี้ไม่ดี สื่อมวลชนถ้าโดนข่มขู่สื่อคงไม่ชอบ ตอนนี้เราต้องไปดูว่าเขามีวิธีการอะไร ถ้าพบว่ามีคนมาข่มขู่เราจะต้องเอาคนพวกนี้ มาประจานให้สังคมรับทราบว่าในพื้นที่นี้ใครมีอำนาจ ใครใช้วิธีการเหนือกฎหมาย มาข่มขู่ ถ้าเราปล่อยให้มีคนมาทำตัวเหนือกฎหมายอย่างนี้ ก็เอาประเทศไทยไปเลย"
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ตนไปพบ กกต.บุรีรัมย์คงไปถามว่า เขามีวิธีการในการ ข่มขู่อย่างไร เรื่องราวเป็นอย่างไร สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ตรงไหนที่เราช่วยได้ เราจะช่วยทันที ซึ่งเรื่องที่ กกต.บุรีรัมย์ถูกข่มขู่ทาง คมช.ก็ทราบเรื่องกันแล้ว เลยประสานไปทางทหารและตำรวจในพื้นที่ให้ไปช่วยดูแล อำนาจของเราก็ทำได้เท่านี้ ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งสื่อ และประชาชน ช่วยกันประนามบุคคลที่ออกมา ทำเรื่องอย่างนี้ว่าเป็นวิธีการที่เลวร้าย เราต้องให้กำลังใจคนดีที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ อย่าไปเอาใจช่วยคนไม่ดีที่มาใช้วิธการที่ไม่ถูกอย่างนี้มากดดันสังคม กดดันกกต. ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง อย่าให้อำนาจอย่างอื่นมาอยู่เหนือกฎหมาย
"ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไทยอยู่ในภาวะโศกเศร้า แล้วยัง มีคนบางคนบางกลุ่ม มาใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องมาบีบคั้นอย่างนี้ ผมมองว่ามันไม่เหมาะสม ผมต้องลงไปดู ไปให้กำลังใจคนทำความดี คนทำดีเราต้องช่วยไม้ให้เขารู้สึกว่าถูกโดดเดียว เพราะเราให้เข้ามาทำงานตรงนี้เราก็ต้องดูแลให้ความปลอดภัยเขาเต็มที่ ไม่ให้ใครมารังแก คนที่มาทำงานจะได้มีกำลังใจ"
**พปช.โต้สมเจตน์ดูหมิ่นประชาชน
ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สมเจตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งถึง 233 เสียง เพราะมีการใช้เงินเพื่อดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ว่าเป็นความคิดที่ดูหมิ่นวิจารณญาณ การตัดสินใจของประชาชน แม้ว่าพรรคจะได้รับแรงเสียดทานมากมาย แต่ประชาชนยังให้ความไว้วางใจถึง 233 เสียง แสดงให้เห็นว่า ประชาชนใช้วิจารณญาณเลือก โดยไม่หวั่นไหวต่อแรงเสียดทาน หรือหวาดกลัวต่ออำนาจใดๆ จึงอยากขอให้เคารพ สิทธิการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงอยากให้กำชับเกี่ยวกับการดำเนินการใด ๆ ต่อไปหลังจากนี้ ให้ คมช.มีส่วนปูทางประชาธิปไตยของประเทศอย่างแท้จริง เพราะประเทศบอบช้ำมามากแล้ว
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การขอข้อมูลพิจารณาให้ใบเหลือง ใบแดง ของว่าที่ส.ส. พรรคพลังประชาชน ที่ จ.บุรีรัมย์ เป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อเห็นว่า ข้อมูลของ กกต.จังหวัด และ กกต.กลาง ขัดแย้งกัน
**ยุทธ์ตู้เย็นยันมีหลักฐานตัวเองบริสุทธิ์
ทางด้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ กกต.แจ้งให้ตนเข้าชี้แจงคำร้องในวันที่ 8ม.ค.ว่า ตนยืนยันว่ามีพยานหลักฐาน ที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าไม่ได้ทำอะไรผิดแน่นอน รวมทั้งการที่บอกว่าตนข่มขู่ พยานก็ไม่มีมูล เอกสารต่างๆ รวมทั้งพยานที่มาให้ข้อมูลก็ล้วนแต่เป็นการสร้างพยาน เท็จขึ้น
ส่วนที่ถามว่ากังวลหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่า สิ่งใดที่ทำให้บ้างเมืองเกิดความสงบ และเป็นธรรมกับทุกคน ผู้ที่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ก็คงจะต้องเลือกทางนั้นมากกว่า
ส่วนการมีผู้ยื่นคำร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะเนื่องจากพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยนั้น นายยงยุทธ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ของพรรคที่จะดำเนินการประสานงาน มั่นใจว่าแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถทำงานชี้แจงได้แน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า อาจพิจารณาเรื่องการเมือง รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาล หลังการถวายความอาลัย นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นการพยายามที่จะเป็นรัฐบาลด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ถือเป็นการทำลายระบบ และหากฝืนมากเกินไป ก็ทำลายประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง
**พปช.ยันไม่มีปัญหากับกกต.
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารพรรคการเมือง ระบุว่า หากพรรคพลังประชาชนเห็นกกต.ไม่เป็นธรรม ก็ให้ฟ้องศาลได้เลยนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะพรรคพลังประชาชน ไม่ได้มีปัญหากับ กกต. เราเพียง แต่เรียกร้องตามกติกาในเรื่องการปฏิบัติให้เป็น ไปตามกติกาในการให้ใบเหลือง หรือใบแดงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการกระทำของ กกต. ในทุกเรื่อง
ส่วนกรณีการชุมนุมของชาวบ้านที่ จ.บุรีรัมย์ ตนเห็นว่าก็เป็นเรื่องปกตินี่ยังถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับ ปี 2544 ที่มีประชาชนไปชุมนุมที่หน้า กกต. ซึ่งตนอยากให้ กกต.เห็นใจชาวบ้านและขอให้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกประชาชนหลังการเลือกตั้ง ที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ตนอยากให้ กกต.เข้าใจว่าเป็นเพียงความรู้สึกของชาวบ้านจริงๆ
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า วันนี้ (7 ม.ค.) กกต.จะพิจารณาสำนวนร้องเรียนประมาณ 75 เรื่อง แยกเป็น ของฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ประมาณ 30 สำนวน ที่เหลือเป็นของตำรวจสันติบาล โดยจะนำสำนวนที่เกี่ยวข้องกับว่าที่ ส.ส.มาพิจารณาลำดับแรกก่อน ส่วนส.ส. ที่สอบตกจะพิจารณาภายหลังเปิดสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เพราะไม่มีผลต่อการ เปิดสภาฯ ทั้งนี้ มั่นใจจะพิจารณาสำนวนได้แล้วเสร็จก่อนเปิดสภาฯ อย่างแน่นอน
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ต้องพิจารณา สำนวนให้เสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ก่อนส่งให้กฤษฎีกาตีความ และส่งกลับมายังกกต.ภายในวันที่ 21 มกราคม เพื่อให้ทันเปิดสภาฯ วันที่ 22 ม.ค.แต่หากไม่ทัน ก็สามารถเลื่อนไปได้ และตามสอยภายหลังเปิดสภาฯ ได้เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือต้องดูว่า สำนวนนั้น ๆ มีมูลหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมวันนี้(7 ม.ค.) จะเริ่มเวลา 09.30 น. ซึ่งมีรายงานว่า กกต.เตรียมประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.เพิ่มเติมอีก จำนวน 6 คน หลังจากพิจารณายกคำร้อง ได้แก่ ว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จำนวน 4 คน คือ นายกิตติกร โล่ห์สุนทร และนายวาสิต พยัคฆบุตร ว่าที่ ส.ส.ลำปาง เขต 1 นายธีระ ไตรสรณกุล และนายวิวัฒชัย โหตระไวศยะ ว่าที่ ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 และเป็นว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน คือ นายเรวัต อารีรอบ และนายทศพร เทพบุตร ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ตเขต 1
**ส่งเลขาฯกกต.แจงกฤษฎีกาวันนี้
นายสุเมธ อุปนิสากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงการเตรียมการชี้แจงต่อคณะกรรมการกฤษฎิกากรณีให้ใบแดง 3 ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.บุรีรัมย์ พรรคไทยรักไทย ในวันนี้ (8 ม.ค.) ว่า กกต.ได้มอบหมายให้เลขาธิการ กกต. รองเลขาธิการกกต. และรองผู้บังคับการ จ.บุรีรัมย์ ในฐานะ กกต.จ.บุรีรัมย์ ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่ทำคดีนี้เป็นผู้เข้าชี้แจง ต่อคณะกรรมการตรวจสอบของกฤษฎีกา ซึ่งทราบว่าทางพรรคพลังประชาชนก็จะส่งหนังสือไปชี้แจงร่วมด้วย
ส่วนที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชนต้องการให้กกต. ชี้แจงเหตุผล การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 3 ว่าที่ส.ส.ของพรรคนั้น ตนเห็นว่าพรรคพลังประชาชนสามารถไปฟังการชี้แจงจากเจ้าของสำนวนได้ในชั้นกฤษฎีกา
ส่วนที่มีข่าว่า ในชั้นของกกต.จ.บุรีรัมย์ และอนุกรรมการสืบสวน มีความเห็น เสนอ กกต.ว่าควรสั่งเลือกตั้งใหม่เท่านั้น นายสุเมธ กล่าวว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น เท่าที่จำได้เรื่องนี้มีการเสนอมาจากทางจังหวัดตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งนานแล้ว และทางจังหวัดเห็นว่าทำไม กกต.ไม่พิจารณาเสียที จนประธาน กกต.จ.บุรีรัมย์ต้องนำสำนวน เดินทางมาเสนอต่อที่ประชุม กกต.เอง ซึ่งเมื่อที่ประชุมฟังแล้วก็เห็นว่าพอมีเหตุผลที่จะแจ้งข้อกล่าวหาได้จึงได้มีคำสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมีประธาน กกต.จว.บุรีรัมย์เป็นประธาน ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา และรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้วนำมาเสนอต่อที่ประชุม กกต. ซึ่งก็มีการอ่านคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา และผลการสอบสวนต่างๆ จนกกต.เห็นว่า จากพยานหลักฐานมีน้ำหนักควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำทุจริตสมควรถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดพยานที่ให้การมัด 3 ว่าที่ส.ส.บุรีรัมย์ว่าเป็นคนซื้อเสียง เป็นบุคคลที่ถูกหมายจับของศาล จ.ร้อยเอ็ด แล้วทำไมถึงมาอยู่ในความคุ้มครองของรองผู้บังคับการตำรวจบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีนี้ นายสุเมธ กล่าวว่า เหมือนกัน
**เชื่อมอบอำนาจกก.สอบสวนไม่ผิดกม.
นายสุเมธ ยังเชื่อว่า การที่กกต.มอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจงแทน กกต.นั้นจะไม่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบ ของกฤษฎีกามองว่าเป็นปัญหาในแง่ข้อกฎหมาย ไม่สามารถทำได้ เพราะ ตามกฎหมาย ก็เปิดโอกาสให้ กกต.มอบอำนาจในการดำเนินการได้อยู่แล้ว ซึ่งเดิม กกต.ก็มีความตั้งใจที่จะดำเนินการเองทั้งการแจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจง แต่เมื่อทราบว่า มีเป็นร้อยๆ เรื่อง การจะให้ กกต.มานั่งรับฟังคำชี้แจงข้อกล่าวหารายละเป็นชั่วโมง คงไม่ไหว
อีกทั้งการมอบให้คณะกรรมการสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการแทน ก็ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิผู้ถูกกล่าวหา เพราะคณะกรรมการสอบสวนก็จะมีการบันทึกคำให้การของผู้ถูกกล่าวที่ชี้แจงอย่างละเอียด ครบถ้วน ตามที่ผู้ถูกกล่าวหา ต้องการและมีการให้ตรวจสอบบันทึกคำให้การก่อนที่จะลงชื่อรับรอง ซึ่งทางคณะกรรมการฯก็มีการนำคำชี้แจงดังกล่าวมาแถลงต่อ กกต.ให้ทราบอย่างละเอียดเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหา ในแง่ข้อกฎหมาย แล้วเสนอว่าไม่ควรให้ใบแดง 3 ว่าที่ส.ส. กกต.จะทำอย่างไร นายสุเมธ ตอบว่า เราก็ต้องกลับมาพิจารณากัน และคงต้องดูก่อนว่าเหตุผลกฤษฎีกานั้นเป็นอย่างไร
**ลุ้นกฤษฎีกาตีความกกต.มอบอำนาจ
รายงานข่าวแจ้ง ว่า หลังจากที่ กกต. ได้ส่งสำนวน 3 ใบแดง จ.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน ให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจตามขั้นตอนของกฎหมาย ไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ว่า กกต.ทำถูกขั้นตอนหรือไม่นั้น ทางคณะกฤษฎีกาได้ให้ กกต. เข้าชี้แจงในวันจันทร์ที่ 7 ม.ค. โดยทาง กกต.ก็ได้เตรียมให้คณะกรรมการชุดที่ กกต. ได้มอบหมายให้ไปทำสำนวนไปชี้แจงต่อคณะกฤษฎีกา ร่วมด้วยกับฝ่ายกฎหมายของ กกต.
ทั้งนี้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา จะตรวจดูความถูกต้องของขั้นตอนว่า กกต. ได้แจ้งข้อกล่าวหา และให้โอกาสให้ผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหารือไม่ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติ หากขั้นตอนถูกต้องก็จะลงไปดูเนื้อหาว่าเป็นอย่างไร เหมือนกับคดีของ นายซาตา อาแวกือจิ อดีต ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายตุ่น จินตะเวช อดีตส.ส. พรรคมหาชน ที่ กกต.ชุด พล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน กกต.ได้ให้ใบแดงไป แต่กฤษฎีกาเห็นแย้งว่าการกระทำของ นายซาตา และนายตุ่น ยังไม่ถึงกับต้องให้ใบแดง ส่งผลให้นายซาตา และนายตุ่น ได้แค่ใบเหลือง เพราะ กกต. ไม่ยืนยันในคำตัดสินของตัวเองทั้งๆ ที่ขั้นตอนที่ทำมาถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม กกต.ทั้ง 2 ชุดนั้นไม่ได้มีการมอบอำนวจให้ใครดำเนินการชี้แจงหรือรับฟังข้อกล่าวหาทำเองทั้งสิ้น สำหรับเรื่องนี้ก็ต้องไปรอดูว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา จะออกมาอย่างไร จะเห็นด้วยกับ กกต.หรือไม่ ในการมีมติมอบอำนาจให้ไปดำเนินการแทน เพราะว่า กรณีนี้ในสมัยของ พล.ต.อ.วาสนา นั้นก็เคยมีแนวคิดที่จะมอบอำนาจให้ กกต.จังหวัด หรือบุคคลที่กกต.เห็นว่าสามารถดำเนินการแทนได้ ไปดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา แต่นายจรัล บูรณพันธ์ศรี อดีตกกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย หนึ่งเดียวในชุดนั้น เคยมีความเห็นคัดค้านไว้ว่า กกต.ไม่สามารถ มอบอำนาจกรณีดังกล่าวให้กับผู้อื่นได้ เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจเฉพาะ ที่กกต. ต้องดำเนินการเอง เพราะเปรียบเสมือนศาล หากจะประหารชีวิตใครก็ต้องฟังจากปากคำของเขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นฟังแทนแล้วตัดสิน เหมือนกับตอนนี้ที่ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ก็ไม่เห็นด้วย กับมติดังกล่าวจึงไม่ได้ร่วมลงชื่อในมติ และไม่เข้าร่วมในการพิจารณากรณีดังกล่าวด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับใบแดงใบเหลือง ที่กกต. ชุดแรกทำไว้ ในการเลือกตั้ง 2543 ได้แจกใบแดงก่อนวันเลือกตั้งจำนวน 4 ใบ และแจกหลังเลือกตั้งจำนวน 8 ใบ และให้ใบเหลือ อีกจำนวน 50 ใบ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นกกต.ต้องสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่จำนวน 62 ใบ ส่วน กกต.ชุดที่ 2 นั้นได้แจกใบแดง 3 ใบ และได้ส่งไปให้คณะกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้อง แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการกฎษฎีกา เห็นแย้งมา 2 คน คือนายตุ่น จินตะเวช และนายซาตา ซึ่งทั้ง2 สำนวนนี้ขั้นตอนถูกต้อง แต่เนื้อหา ในสำนวนยังไม่สามารถเพียงพอต่อการที่กกต.จะให้ใบแดง
**เกษมลั่นแจ้งความผู้อยู่เบื้องหลังม็อบ
นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้อง ของ ว่าที่ ส.ส.เขต 1 บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน ที่ถูกใบแดงจาก กกต. ให้ตน และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตร รอง ผบก.บุรีรัมย์ ในฐานะประธานกรรมการ กกต.บุรีรัมย์ฝ่ายสืบสวนสอบสวน ยุติบทบาทในตำแหน่งดังกล่าว และให้ กกต.แต่งตั้งบุคคลจาก กกต.กลางมาปฎิบัติหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราวเพื่อดำเนินการสืบสวนใหม่เกี่ยวกับการให้ใบแดงกับ ว่าที่ ส.ส.ทั้ง 3 โดยจะกลับมาฟังคำตอบในวันที่ 7 ม.ค.นั้น ทาง ผอ.กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปให้ กกต.กลางพิจารณาแล้ว
"ความจริงการยื่นข้อร้องเรียนควรไปยื่นกับ กกต.กลางเอง การมายื่นกับ กกต.จังหวัดถือว่าไม่ถูกเรื่อง เป็นการตีรวน มาเรียกร้องโดยไม่รู้กาละเทศะ ไม่ดูกติกาตามรัฐธรรมนูญให้จัดเจนเสียก่อน หากอ่านรัฐธรรมนูญไม่รู้เรื่อง จะมาเป็น ส.ส.ทำไม"
นายเกษม กล่าวว่า การเคลื่อนไหวก่อม็อบหากตรวจสอบพบว่า เข้าข่ายทำผิด กฎหมาย ตนจะดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประชาชนที่มาร่วมชุมนุมด้วยก็ยังไม่รู้เลยว่ามาทำอะไร และต้องการที่จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้เพราะอาศัยรถคนอื่นมา ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ยืนยันว่าการตัดสินใจในการพิจารณาเรื่องใดๆ ก็ตาม ต้องเป็นมติของที่ประชุม หากมีการร้องเรียนมาเราก็ต้องสอบ หรือหากพยาน ที่ร้องมาแล้วโกหกตนก็จะฟ้องพยานทันที การนำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ตน ในฐานะประธานกกต. และ พ.ต.อ.สังวรณ์ กกต.ฝ่ายสืบสวนเพียง 2 คน ทั้งที่คณะทำงานมี 5 คน ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะ ตนมีตำแหน่งเป็น รอง ผวจ.บุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.สังวรณ์ เป็น รอง ผบก.ภจว.บุรีรัมย์ ซึ่งกำลังดูแลคดีสำคัญในการใช้อำนาจ มิชอบและทุจริต 4 เรื่ง ล้วนแต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ในจังหวัด ซึ่งคนบุรีรัมย์เองก็รู้ดี
"การชุมนุมประท้วงในครั้งนี้ผมเชื่อว่าผู้ที่มาชุมนุมหากเป็นชาวบ้านธรรมดาจะมาลงขันกันเช่าเต็นท์เช่าเครื่องขยายเสียงและค่ารถโดยสารมาในการชุมนุม คงเป็นไปไม่ได้ และหากเป็นม็อบที่มาเรียกร้องจริงๆ จะต้องมีการรวมกลุ่มกันเหนียวแนน ไม่แตกแยกกันขนาดนี้ ผมจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งภาพถ่ายและเสียงเพื่อแจ้งความกับผู้เกี่ยวข้องในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี ดูหมิ่น เหยียดหยามเจ้าหน้าที่ ที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย"
นายเกษม กล่าวว่า ขณะนี้ในการทำงานตนไม่ไว้ใจคนในพื้นที่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้มีไอ้โม้งขี้ขาดอยู่เบื้องหลังไม่กล้าออกมาเผชิญหน้า ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังคนบุรีรัมย์เองก็รู้ดี การออกมาต่อสู้แบบหมัดแลกหมัดของตนในครั้งนี้ก็ต้องการที่จะเห็น จังหวัดบุรีรัมย์ มีการเลือกตั้งที่สุจริตยุติธรรม เป็นจังหวัดที่มีการเลือกตั้งที่ใสสะอาด แต่ชาวบุรีรัมย์เองไม่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อสรรหาคนดี มาปกครองบ้านเมือง ดังนั้นตนยืนยันว่าจะขอยืนหยัดต่อสู้โดยไม่ย่อท้อแต่อย่างใด
**คมช.เตรียมไปบุรีรัมย์ดูสถานการณ์
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณี กกต.บุรีรัมย์ถูกข่มขู่ว่า ในวันอังคารที่ 8 ม.ค.นี้ หลังจากประชุม คมช.ช่วงบ่ายตนจะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อไปดูข้อเท็จจริงว่ามีใครมาข่มขู่ กดดัน เพราะในพื้นที่ไม่ควรจะมีอะไรมาข่มขู่หรือมีอำนาจเหนือกฎหมายได้ โดยตน ได้ประสานไปที่กองทัพภาคที่ 2 และสำนักงานตำรวจภูธร ภาค 3 ซึ่งตอนนี้ทั้งทหารและตำรวจก็ดูแลคุ้มครองความปลอดภัยให้กับ กกต.บุรีรัมย์อยู่แล้ว
"การมาใช้วิธีการข่มขู่อย่างนี้ไม่ดี สื่อมวลชนถ้าโดนข่มขู่สื่อคงไม่ชอบ ตอนนี้เราต้องไปดูว่าเขามีวิธีการอะไร ถ้าพบว่ามีคนมาข่มขู่เราจะต้องเอาคนพวกนี้ มาประจานให้สังคมรับทราบว่าในพื้นที่นี้ใครมีอำนาจ ใครใช้วิธีการเหนือกฎหมาย มาข่มขู่ ถ้าเราปล่อยให้มีคนมาทำตัวเหนือกฎหมายอย่างนี้ ก็เอาประเทศไทยไปเลย"
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ตนไปพบ กกต.บุรีรัมย์คงไปถามว่า เขามีวิธีการในการ ข่มขู่อย่างไร เรื่องราวเป็นอย่างไร สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ตรงไหนที่เราช่วยได้ เราจะช่วยทันที ซึ่งเรื่องที่ กกต.บุรีรัมย์ถูกข่มขู่ทาง คมช.ก็ทราบเรื่องกันแล้ว เลยประสานไปทางทหารและตำรวจในพื้นที่ให้ไปช่วยดูแล อำนาจของเราก็ทำได้เท่านี้ ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งสื่อ และประชาชน ช่วยกันประนามบุคคลที่ออกมา ทำเรื่องอย่างนี้ว่าเป็นวิธีการที่เลวร้าย เราต้องให้กำลังใจคนดีที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ อย่าไปเอาใจช่วยคนไม่ดีที่มาใช้วิธการที่ไม่ถูกอย่างนี้มากดดันสังคม กดดันกกต. ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง อย่าให้อำนาจอย่างอื่นมาอยู่เหนือกฎหมาย
"ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไทยอยู่ในภาวะโศกเศร้า แล้วยัง มีคนบางคนบางกลุ่ม มาใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องมาบีบคั้นอย่างนี้ ผมมองว่ามันไม่เหมาะสม ผมต้องลงไปดู ไปให้กำลังใจคนทำความดี คนทำดีเราต้องช่วยไม้ให้เขารู้สึกว่าถูกโดดเดียว เพราะเราให้เข้ามาทำงานตรงนี้เราก็ต้องดูแลให้ความปลอดภัยเขาเต็มที่ ไม่ให้ใครมารังแก คนที่มาทำงานจะได้มีกำลังใจ"
**พปช.โต้สมเจตน์ดูหมิ่นประชาชน
ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สมเจตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งถึง 233 เสียง เพราะมีการใช้เงินเพื่อดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ว่าเป็นความคิดที่ดูหมิ่นวิจารณญาณ การตัดสินใจของประชาชน แม้ว่าพรรคจะได้รับแรงเสียดทานมากมาย แต่ประชาชนยังให้ความไว้วางใจถึง 233 เสียง แสดงให้เห็นว่า ประชาชนใช้วิจารณญาณเลือก โดยไม่หวั่นไหวต่อแรงเสียดทาน หรือหวาดกลัวต่ออำนาจใดๆ จึงอยากขอให้เคารพ สิทธิการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงอยากให้กำชับเกี่ยวกับการดำเนินการใด ๆ ต่อไปหลังจากนี้ ให้ คมช.มีส่วนปูทางประชาธิปไตยของประเทศอย่างแท้จริง เพราะประเทศบอบช้ำมามากแล้ว
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า การขอข้อมูลพิจารณาให้ใบเหลือง ใบแดง ของว่าที่ส.ส. พรรคพลังประชาชน ที่ จ.บุรีรัมย์ เป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อเห็นว่า ข้อมูลของ กกต.จังหวัด และ กกต.กลาง ขัดแย้งกัน
**ยุทธ์ตู้เย็นยันมีหลักฐานตัวเองบริสุทธิ์
ทางด้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ กกต.แจ้งให้ตนเข้าชี้แจงคำร้องในวันที่ 8ม.ค.ว่า ตนยืนยันว่ามีพยานหลักฐาน ที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าไม่ได้ทำอะไรผิดแน่นอน รวมทั้งการที่บอกว่าตนข่มขู่ พยานก็ไม่มีมูล เอกสารต่างๆ รวมทั้งพยานที่มาให้ข้อมูลก็ล้วนแต่เป็นการสร้างพยาน เท็จขึ้น
ส่วนที่ถามว่ากังวลหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่า สิ่งใดที่ทำให้บ้างเมืองเกิดความสงบ และเป็นธรรมกับทุกคน ผู้ที่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ก็คงจะต้องเลือกทางนั้นมากกว่า
ส่วนการมีผู้ยื่นคำร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะเนื่องจากพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยนั้น นายยงยุทธ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ของพรรคที่จะดำเนินการประสานงาน มั่นใจว่าแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถทำงานชี้แจงได้แน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า อาจพิจารณาเรื่องการเมือง รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาล หลังการถวายความอาลัย นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นการพยายามที่จะเป็นรัฐบาลด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ถือเป็นการทำลายระบบ และหากฝืนมากเกินไป ก็ทำลายประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง
**พปช.ยันไม่มีปัญหากับกกต.
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารพรรคการเมือง ระบุว่า หากพรรคพลังประชาชนเห็นกกต.ไม่เป็นธรรม ก็ให้ฟ้องศาลได้เลยนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะพรรคพลังประชาชน ไม่ได้มีปัญหากับ กกต. เราเพียง แต่เรียกร้องตามกติกาในเรื่องการปฏิบัติให้เป็น ไปตามกติกาในการให้ใบเหลือง หรือใบแดงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการกระทำของ กกต. ในทุกเรื่อง
ส่วนกรณีการชุมนุมของชาวบ้านที่ จ.บุรีรัมย์ ตนเห็นว่าก็เป็นเรื่องปกตินี่ยังถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับ ปี 2544 ที่มีประชาชนไปชุมนุมที่หน้า กกต. ซึ่งตนอยากให้ กกต.เห็นใจชาวบ้านและขอให้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกประชาชนหลังการเลือกตั้ง ที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ตนอยากให้ กกต.เข้าใจว่าเป็นเพียงความรู้สึกของชาวบ้านจริงๆ