“...ประการแรก อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ตัดสินใจมีมติฟื้นสภาพโครงสร้างการบริหารงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นมาอีกครั้งเหมือนดังเดิม เพื่อพร้อมดำเนินการต่อสู้กับพฤติการณ์ของรัฐบาลนายสมัครที่จะทำงานรับใช้ระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ
ประการที่สอง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ แสดงความกล้าหาญ ยุติต้นเหตุวิกฤตของชาติด้วยการสะสางลงโทษผู้กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และดำเนินการเสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคการเมืองที่เป็นนอมินีให้กับพรรคการเมืองที่ถูกยุบด้วยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ประการที่สาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช แสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยการกระทำ อย่าให้คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง ยุติบทบาทการกระทำอันเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ประพฤติปฏิบัติเป็นนายกรัฐมนตรีที่เสียสละเพื่อคน 63 ล้านคนอย่างแท้จริง
ประการที่สี่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครทบทวนการโยกย้ายข้าราชการเพื่อแก้มลทินให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ให้ยุติความพยายามในการแทรกแซงคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงการโยกย้ายตำรวจเพื่อช่วยเหลือคดีความใดๆ ในระบอบทักษิณ
ประการที่ห้า ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยคัดค้านการกลับเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ถูกแทรกแซงและเป็นอิสระ แต่เมื่อระบอบทักษิณได้ใช้กระบวนการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินต่อไป พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงคัดค้านการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทุกรูปแบบ ตราบใดที่ยังมีความพยายามที่จะครอบงำและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ประการที่หก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครดำเนินการยุติความกำเริบเสิบสานในการลิดรอน ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน
ประการที่เจ็ด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้พี่น้อง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน ที่รักชาติบ้านเมืองมาร่วมกันลุกขึ้นมาเกาะกลุ่มรวมตัวเพื่อเฝ้าระวังพฤติการณ์ของนักการเมืองและข้าราชการในระบอบทักษิณอย่างใกล้ชิด และจัดตั้งขยายงานเตรียมพร้อมกับการต่อสู้กับความเลวร้ายของระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมธรรมาภิบาล โดยไม่หวั่นเกรงว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้งหนึ่ง...”
นั่นคือจุดยืน หรือบัญญัติ 7 ประการ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง คำเตือนก่อนเกิดกลียุค ..ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2551 ลงวันที่ 25 ก.พ.2551 ซึ่งโดยภาพรวมผมก็เห็นด้วย แม้จะไม่กระจ่างแจ้งในบางเรื่องว่าหมายถึงอะไร อย่างไร โดยเฉพาะในประการที่เจ็ดที่ระบุว่า “อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ”
หากมองชั้นเดียวเชิงเดียวก็ชวนคิดเหมือนกันว่า พันธมิตรฯขยับขับเคลื่อนเร็วไปหน่อย แต่เมื่อพินิจพิจารณากันให้ถ้วนถี่ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ทำไมพันธมิตรฯ ต้องตัดสินใจบัญญัติ 7 ประการออกมาเมื่อวานนี้(25ก.พ.) เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะกรณีการ(จะ)กลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเตรียมการ เคลียร์รันเวย์ไว้เป็นอย่างดี...
ตั้งแต่เรื่องพาสปอร์ตสีแดง ยันการย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กลับมาคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ..
เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดคิดไว ทำไว และหาญกล้าใช้อำนาจอย่างเหิมเกริม พันธมิตรฯก็ต้องดักทางดักคอกันแต่เนิ่นๆ วัดใจวัดพลังกัน...ดังแถลงการณ์ในประการที่ห้า ที่พยายามบอกว่าหาก “ทักษิณ”ยังพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมก็ไม่สมควรเดินทางกลับ แต่การเรียบเรียงใช้ภาษาอาจจะไม่สะเด็ดน้ำทำให้บางฝ่ายนำไปตีรวนหาว่าพันธมิตรฯ ค้านทักษิณกลับไทย..ไปโน่นเลย..
ผมฟังการแถลงข่าวของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ แล้ว พอจะจับน้ำเสียงของพวกเขาได้บ้างว่า การฟื้นคืนชีพของพันธมิตรฯ หนนี้ไม่ได้ตั้งเป้าตั้งธงไปที่ตัวบุคคลอย่างพ.ต.ท.ทักษิณเป็นหลัก หากแต่พยายามบอกกล่าวมาเป็นนัยว่า พวกเขาจะเป็นกลุ่มการเมืองที่มุ่งสร้างสังคมใหม่ด้วยทิศทางใหม่ ถึงขั้นที่อาจจะพัฒนาเป็น “พรรคการเมือง”... อะไรทำนองนั้น..
ใช่หรือไม่ว่า “อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ” ที่ว่า หมายถึงการตั้งพรรคการเมืองนั่นเอง...!!??
ถ้าใช่....ก็เป็นเรื่องที่นับว่าท้าทายสำหรับพวกเขา เหตุ เพราะการทำพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เนื่องจากการเมืองไทยในรอบหลายทศวรรษมานี้กลายเป็นระบอบธนาธิปไตย...เงินทุนกลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ปิดทางคนดี คนมีความรู้ความสามารถไม่ให้เข้าสภาฯ
ประมาณว่า..หากการเมืองยังดำเนินเดินหน้าไปแบบที่เห็นและเป็นไป เลือกตั้งเที่ยวหน้าก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าพรรคการเมืองของระบอบทักษิณจะชนะอีก ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยากที่จะหลุดจาก 164 เสียงทะยานไปถึงระดับ 200 เสียง เผลอๆ อาจจะวูบมาอยู่ที่ 100 เสียงต้นๆ..
การปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ก็คาดหมายได้ไม่ยากว่า..ระบอบทักษิณจะยิ่งพองโต หากพันธมิตรฯ แปรสภาพเป็นพรรคการเมืองได้จริงก็อาจจะเป็นพรรคแนวร่วมกับประชาธิปัตย์...อาจจะพอต่อกรกับพรรคการเมืองระบอบทักษิณได้บ้าง..!!
แต่ก็นั่นแหละการเมืองในภาพฝัน กับการเมืองในชีวิตจริงของสังคมการเมืองไทย..มันคนละเรื่องเดียวกัน...
ก็เอาเถอะครับ..จะตั้งหรือไม่ตั้งพรรคการเมือง ตราบใดที่พันธมิตรฯยังคิดดี ทำดี มีเหตุผล มีความชอบธรรม เมื่อนั้นประชาชนก็ยังจะสนับสนุนแน่นอน อีกทั้งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า...จากการรวมตัวกันต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตั้งแต่ต้นปี 2549 และจบลงด้วยการรัฐประหาร (เสียของ) 19 ก.ย.49... พันธมิตรฯ น่าจะสรุปบทเรียนในทุก ๆด้านได้แล้วว่า...ถึงที่สุดแล้วทั้ง ทุนนิยมก้าวหน้า (แต่สามานย์)กับศักดินาล้าหลัง..มันก็ครือ ๆกัน...
จากนี้ไปจะเดินหน้าถอยหลังอย่างไร คิดกันให้จงดีก็แล้วกัน..ขอเป็นกำลังใจ...
..........................................
ปล.- ข้อเขียนฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายสำหรับ “ธรรมคุณ บุญพา” มวยแทนที่มาขัดตาทัพรอการกลับมาของคุณ สำราญ รอดเพชร 1ใน 5 เจ้าของคอลัมน์ตัวจริง ขอบคุณครับ
ประการที่สอง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ แสดงความกล้าหาญ ยุติต้นเหตุวิกฤตของชาติด้วยการสะสางลงโทษผู้กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และดำเนินการเสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคการเมืองที่เป็นนอมินีให้กับพรรคการเมืองที่ถูกยุบด้วยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ประการที่สาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช แสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยการกระทำ อย่าให้คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง ยุติบทบาทการกระทำอันเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ประพฤติปฏิบัติเป็นนายกรัฐมนตรีที่เสียสละเพื่อคน 63 ล้านคนอย่างแท้จริง
ประการที่สี่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครทบทวนการโยกย้ายข้าราชการเพื่อแก้มลทินให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ให้ยุติความพยายามในการแทรกแซงคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงการโยกย้ายตำรวจเพื่อช่วยเหลือคดีความใดๆ ในระบอบทักษิณ
ประการที่ห้า ที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยคัดค้านการกลับเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ถูกแทรกแซงและเป็นอิสระ แต่เมื่อระบอบทักษิณได้ใช้กระบวนการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินต่อไป พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงคัดค้านการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทุกรูปแบบ ตราบใดที่ยังมีความพยายามที่จะครอบงำและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ประการที่หก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครดำเนินการยุติความกำเริบเสิบสานในการลิดรอน ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน
ประการที่เจ็ด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้พี่น้อง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชน ที่รักชาติบ้านเมืองมาร่วมกันลุกขึ้นมาเกาะกลุ่มรวมตัวเพื่อเฝ้าระวังพฤติการณ์ของนักการเมืองและข้าราชการในระบอบทักษิณอย่างใกล้ชิด และจัดตั้งขยายงานเตรียมพร้อมกับการต่อสู้กับความเลวร้ายของระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมธรรมาภิบาล โดยไม่หวั่นเกรงว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้งหนึ่ง...”
นั่นคือจุดยืน หรือบัญญัติ 7 ประการ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง คำเตือนก่อนเกิดกลียุค ..ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2551 ลงวันที่ 25 ก.พ.2551 ซึ่งโดยภาพรวมผมก็เห็นด้วย แม้จะไม่กระจ่างแจ้งในบางเรื่องว่าหมายถึงอะไร อย่างไร โดยเฉพาะในประการที่เจ็ดที่ระบุว่า “อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ”
หากมองชั้นเดียวเชิงเดียวก็ชวนคิดเหมือนกันว่า พันธมิตรฯขยับขับเคลื่อนเร็วไปหน่อย แต่เมื่อพินิจพิจารณากันให้ถ้วนถี่ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ทำไมพันธมิตรฯ ต้องตัดสินใจบัญญัติ 7 ประการออกมาเมื่อวานนี้(25ก.พ.) เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะกรณีการ(จะ)กลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเตรียมการ เคลียร์รันเวย์ไว้เป็นอย่างดี...
ตั้งแต่เรื่องพาสปอร์ตสีแดง ยันการย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กลับมาคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ..
เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดคิดไว ทำไว และหาญกล้าใช้อำนาจอย่างเหิมเกริม พันธมิตรฯก็ต้องดักทางดักคอกันแต่เนิ่นๆ วัดใจวัดพลังกัน...ดังแถลงการณ์ในประการที่ห้า ที่พยายามบอกว่าหาก “ทักษิณ”ยังพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมก็ไม่สมควรเดินทางกลับ แต่การเรียบเรียงใช้ภาษาอาจจะไม่สะเด็ดน้ำทำให้บางฝ่ายนำไปตีรวนหาว่าพันธมิตรฯ ค้านทักษิณกลับไทย..ไปโน่นเลย..
ผมฟังการแถลงข่าวของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ แล้ว พอจะจับน้ำเสียงของพวกเขาได้บ้างว่า การฟื้นคืนชีพของพันธมิตรฯ หนนี้ไม่ได้ตั้งเป้าตั้งธงไปที่ตัวบุคคลอย่างพ.ต.ท.ทักษิณเป็นหลัก หากแต่พยายามบอกกล่าวมาเป็นนัยว่า พวกเขาจะเป็นกลุ่มการเมืองที่มุ่งสร้างสังคมใหม่ด้วยทิศทางใหม่ ถึงขั้นที่อาจจะพัฒนาเป็น “พรรคการเมือง”... อะไรทำนองนั้น..
ใช่หรือไม่ว่า “อันรวมถึงการเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ” ที่ว่า หมายถึงการตั้งพรรคการเมืองนั่นเอง...!!??
ถ้าใช่....ก็เป็นเรื่องที่นับว่าท้าทายสำหรับพวกเขา เหตุ เพราะการทำพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เนื่องจากการเมืองไทยในรอบหลายทศวรรษมานี้กลายเป็นระบอบธนาธิปไตย...เงินทุนกลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ปิดทางคนดี คนมีความรู้ความสามารถไม่ให้เข้าสภาฯ
ประมาณว่า..หากการเมืองยังดำเนินเดินหน้าไปแบบที่เห็นและเป็นไป เลือกตั้งเที่ยวหน้าก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าพรรคการเมืองของระบอบทักษิณจะชนะอีก ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยากที่จะหลุดจาก 164 เสียงทะยานไปถึงระดับ 200 เสียง เผลอๆ อาจจะวูบมาอยู่ที่ 100 เสียงต้นๆ..
การปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ก็คาดหมายได้ไม่ยากว่า..ระบอบทักษิณจะยิ่งพองโต หากพันธมิตรฯ แปรสภาพเป็นพรรคการเมืองได้จริงก็อาจจะเป็นพรรคแนวร่วมกับประชาธิปัตย์...อาจจะพอต่อกรกับพรรคการเมืองระบอบทักษิณได้บ้าง..!!
แต่ก็นั่นแหละการเมืองในภาพฝัน กับการเมืองในชีวิตจริงของสังคมการเมืองไทย..มันคนละเรื่องเดียวกัน...
ก็เอาเถอะครับ..จะตั้งหรือไม่ตั้งพรรคการเมือง ตราบใดที่พันธมิตรฯยังคิดดี ทำดี มีเหตุผล มีความชอบธรรม เมื่อนั้นประชาชนก็ยังจะสนับสนุนแน่นอน อีกทั้งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า...จากการรวมตัวกันต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตั้งแต่ต้นปี 2549 และจบลงด้วยการรัฐประหาร (เสียของ) 19 ก.ย.49... พันธมิตรฯ น่าจะสรุปบทเรียนในทุก ๆด้านได้แล้วว่า...ถึงที่สุดแล้วทั้ง ทุนนิยมก้าวหน้า (แต่สามานย์)กับศักดินาล้าหลัง..มันก็ครือ ๆกัน...
จากนี้ไปจะเดินหน้าถอยหลังอย่างไร คิดกันให้จงดีก็แล้วกัน..ขอเป็นกำลังใจ...
..........................................
ปล.- ข้อเขียนฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายสำหรับ “ธรรมคุณ บุญพา” มวยแทนที่มาขัดตาทัพรอการกลับมาของคุณ สำราญ รอดเพชร 1ใน 5 เจ้าของคอลัมน์ตัวจริง ขอบคุณครับ