ช่วงสายของวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ ในห้องส่งสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ 92.75 FM ขณะที่ อ.สนอง ผู้ดำเนินรายการกำลังพูดน้ำลายแตกฟองอยู่หน้าไมโครโฟนตัวเก่า สายโทรศัพท์ที่เข้ามาก็คือท่านผู้ฟังที่เป็นคุณป้าผู้หนึ่งซึ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่อยู่ตรงหน้า
“อาจารย์สนองคะ คือ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่ารัฐบาลคุณสมัคร (สุนทรเวช) เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งยังไม่ได้บริหารงานเลยสักนิด แต่ทำไมถึงต้องมาอภิปรายกันด้วย ให้ฝ่ายค้านมาด่าๆๆ ในสภาอย่างนี้ ประเทศนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว ...” คุณป้ากล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และสถานีวิทยุในเครือกรมประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินมาเป็นวันสุดท้ายแล้ว
“ใจเย็นๆ นะครับ ก็อย่างนี้ละครับ รู้สึกว่าจะมีฝ่ายค้านครั้งนี้เท่านั้นแหละที่ทำอย่างนี้ได้” อ.สนอง เติมเชื้อฟืนเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังสุมอกคุณป้าอยู่ โดยไม่ได้สนอกสนใจหรือจะให้ข้อมูลเลยว่า การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม แม้แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช 2540 ที่บรรดากองเชียร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคพลังประชาชนยึดถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอุดมคติก็ระบุไว้ ในหมวดที่ 7 ดังนี้
.........................
มาตรา 211 คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่
.........................
“แล้วอาจารย์คะ ทำไมไอ้เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ... เหตุการณ์ เดือนพฤษภาฯ อะไรนี่ มันไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยท่านทักษิณกับท่านสมัครไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเขาต้องเอามาพูดกันในสภาด้วย ดิฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ” คุณป้าถามต่อ
“ไม่เกี่ยวๆ เลยครับ ทีเรื่องพวกเผด็จการ ปฏิวัติ 19 กันยาฯ พวกนี้กลับไม่เอาขึ้นมาพูด” อ.สนองตอบคำถามด้วยการเบี่ยงเบนประเด็นอย่างรวบรัด ก่อนที่จะเรียกโทรศัพท์ผู้ฟังสายต่อไปของคุณลุงบุญเลิศให้เข้ามาพูดคุยต่อ
หลังจากได้เข้าสายในรายการวิทยุที่คุ้นเคย ลุงบุญเลิศจึงถือโอกาสร่ายยาวต่อว่าบรรดาผู้ที่นำเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นมาโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในการประชุมสภาว่า ผู้ที่ยกเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ขึ้นมาพูดนั้นถือเป็นพวกที่ใช้ไม่ได้เพราะไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถหาคนกระทำผิดมาลงโทษได้ นอกจากนี้คุณลุงบุญเลิศ ขาประจำของวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ยังเหน็บแนมไปยังบรรดาคนเดือนตุลาฯ ทั้งหลายด้วยว่า นักศึกษาและนักวิชาการที่ผ่านเหตุการณ์นี้จำนวนมากต่างก็เหยียบย่ำศพขึ้นมาหาประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น!
โดยส่วนตัวผมไม่แน่ใจว่า บรรดาคนเดือนตุลาฯ ที่คุณลุงบุญเลิศหมายความถึงนั้นจะรวมถึงนักการเมืองอย่าง นายสุธรรม แสงประทุม, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนักวิชาการอย่าง อ.ธงชัย วินิจจะกูล, อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์, อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รวมถึงบรรดา Think Tank ของอดีตพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนในปัจจุบันด้วยหรือไม่?
เท่าที่ติดตามข่าวสารในช่วงหลายวันนี้ เมื่อกวาดตามองไปยังบรรดาคนเดือนตุลาฯ ที่ยืนอยู่ข้างพรรคพลังประชาชนที่มีคุณสมัครเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ผมก็เห็นมีเพียงคนเดือนตุลาฯ อย่าง นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเท่านั้นที่ยังพอจะหลงเหลืออารมณ์ ความรู้สึกของความเป็นปุถุชนอยู่บ้าง ส่วนคนเดือนตุลาฯ อื่นๆ ดูเหมือนว่าจะกลายพันธุ์เป็นสัตว์กระหายอำนาจและเงินทองกันไปหมดแล้ว
ที่กล่าวมานี้ โดยส่วนตัวผมไม่ได้มีจุดประสงค์ของการเสี้ยมให้คนในพรรคพลังประชาชนนั้นแตกแยกกันหรือต้องการจะให้พรรคพลังประชาชนล่มสลายไปในเร็ววัน ผมเพียงพยายามที่จะชี้ให้คนในพรรคพลังประชาชนเห็นว่า ณ ปัจจุบัน ประชาชนและมวลชนที่ยืนอยู่เคียงข้างพวกคุณนั้น ยังเป็นกลุ่มคนที่รับข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ยังไม่สนใจในการแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง ยังคงหลงใหลอยู่กับความรู้สึกส่วนบุคคลโดยปราศจากหลักฐาน ขาดรากเหง้าและไม่มีความสนใจใส่ใจในประวัติศาสตร์ของคนในชาติ ที่จะปูเส้นทางการพัฒนาไปสู่อนาคตที่เข้มแข็ง
ผมถามจริงๆ เถิดว่า พวกคุณต้องการบริหารประเทศ ต้องการปกครองประชาชน ต้องการคนในชาติที่มีความรู้ มีความคิด มีสติปัญญาเช่นนี้จริงหรือ? พวกคุณไม่ทราบจริงๆ หรือ รู้อยู่เต็มอกและประสงค์ที่จะให้พวกเขาเป็นอย่างนี้กันแน่ ...
ถ้าพวกคุณไม่ทราบจริงๆ ว่า ประชาชน-มวลชนของพวกคุณเป็นอย่างนี้ ผมก็ขออาศัยเนื้อที่ตรงนี้บอกผ่านไปให้พวกคุณรับทราบด้วย แต่ถ้าพวกคุณรู้และประสงค์ให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ ผมก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีด้วยว่าพวกคุณได้กลายสภาพเป็นสัตว์การเมืองเลือดเย็นอย่างเต็มตัวไปแล้ว!
สำหรับผมแล้ว ประชาชนฝั่งพรรคพลังประชาชนอย่างเช่น คุณป้าและคุณลุงบุญเลิศรวมถึงประชาชนอีกจำนวนมากที่เลือกพรรคพลังประชาชนถือว่าเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคนที่หาเช้ากินค่ำ แต่พวกเขาก็รัก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดจิตสุดใจ ต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองที่ประกาศว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาปกครองประเทศอีกครั้งอย่างเต็มที่ และสาเหตุที่พวกเขาประกาศตัวสนับสนุนนายสมัครให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะว่านายสมัครเคยให้คำมั่นสัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและตนเองได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว
แต่พวกเขาไม่ทราบเลยว่า ณ เวลานี้ หลังจากที่นายสมัครก้าวถึงฝั่งฝัน คว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากอดอุ่นอยู่ในอกแล้ว ภายในพรรคพลังประชาชนกลับเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่าง ฝ่ายนายสมัคร กับ ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ... ระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ นายเนวิน ชิดชอบ
พวกเขาไม่ทราบด้วยว่า ท่าทีและการกระทำของนายสมัครและ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงในปัจจุบันนั้นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นการสั่นคลอนสถานะของนายสมัครอย่างหนัก
ประชาชนฝั่งพลังประชาชนเหล่านี้ถือเป็นเพียงเหยื่อของ ‘ความไม่รู้’ ที่วันๆ ถูกปั่นหัว ให้หลงอยู่ในวัฏจักรของการช่วงชิงอำนาจและวงอุบาทว์ของประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างน่าสงสารที่สุด.
“อาจารย์สนองคะ คือ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่ารัฐบาลคุณสมัคร (สุนทรเวช) เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งยังไม่ได้บริหารงานเลยสักนิด แต่ทำไมถึงต้องมาอภิปรายกันด้วย ให้ฝ่ายค้านมาด่าๆๆ ในสภาอย่างนี้ ประเทศนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว ...” คุณป้ากล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และสถานีวิทยุในเครือกรมประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินมาเป็นวันสุดท้ายแล้ว
“ใจเย็นๆ นะครับ ก็อย่างนี้ละครับ รู้สึกว่าจะมีฝ่ายค้านครั้งนี้เท่านั้นแหละที่ทำอย่างนี้ได้” อ.สนอง เติมเชื้อฟืนเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังสุมอกคุณป้าอยู่ โดยไม่ได้สนอกสนใจหรือจะให้ข้อมูลเลยว่า การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม แม้แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช 2540 ที่บรรดากองเชียร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคพลังประชาชนยึดถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอุดมคติก็ระบุไว้ ในหมวดที่ 7 ดังนี้
.........................
มาตรา 211 คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่
.........................
“แล้วอาจารย์คะ ทำไมไอ้เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ... เหตุการณ์ เดือนพฤษภาฯ อะไรนี่ มันไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยท่านทักษิณกับท่านสมัครไม่ใช่เหรอคะ ทำไมเขาต้องเอามาพูดกันในสภาด้วย ดิฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ” คุณป้าถามต่อ
“ไม่เกี่ยวๆ เลยครับ ทีเรื่องพวกเผด็จการ ปฏิวัติ 19 กันยาฯ พวกนี้กลับไม่เอาขึ้นมาพูด” อ.สนองตอบคำถามด้วยการเบี่ยงเบนประเด็นอย่างรวบรัด ก่อนที่จะเรียกโทรศัพท์ผู้ฟังสายต่อไปของคุณลุงบุญเลิศให้เข้ามาพูดคุยต่อ
หลังจากได้เข้าสายในรายการวิทยุที่คุ้นเคย ลุงบุญเลิศจึงถือโอกาสร่ายยาวต่อว่าบรรดาผู้ที่นำเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นมาโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในการประชุมสภาว่า ผู้ที่ยกเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ขึ้นมาพูดนั้นถือเป็นพวกที่ใช้ไม่ได้เพราะไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถหาคนกระทำผิดมาลงโทษได้ นอกจากนี้คุณลุงบุญเลิศ ขาประจำของวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ยังเหน็บแนมไปยังบรรดาคนเดือนตุลาฯ ทั้งหลายด้วยว่า นักศึกษาและนักวิชาการที่ผ่านเหตุการณ์นี้จำนวนมากต่างก็เหยียบย่ำศพขึ้นมาหาประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น!
โดยส่วนตัวผมไม่แน่ใจว่า บรรดาคนเดือนตุลาฯ ที่คุณลุงบุญเลิศหมายความถึงนั้นจะรวมถึงนักการเมืองอย่าง นายสุธรรม แสงประทุม, นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนักวิชาการอย่าง อ.ธงชัย วินิจจะกูล, อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์, อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รวมถึงบรรดา Think Tank ของอดีตพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนในปัจจุบันด้วยหรือไม่?
เท่าที่ติดตามข่าวสารในช่วงหลายวันนี้ เมื่อกวาดตามองไปยังบรรดาคนเดือนตุลาฯ ที่ยืนอยู่ข้างพรรคพลังประชาชนที่มีคุณสมัครเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ผมก็เห็นมีเพียงคนเดือนตุลาฯ อย่าง นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเท่านั้นที่ยังพอจะหลงเหลืออารมณ์ ความรู้สึกของความเป็นปุถุชนอยู่บ้าง ส่วนคนเดือนตุลาฯ อื่นๆ ดูเหมือนว่าจะกลายพันธุ์เป็นสัตว์กระหายอำนาจและเงินทองกันไปหมดแล้ว
ที่กล่าวมานี้ โดยส่วนตัวผมไม่ได้มีจุดประสงค์ของการเสี้ยมให้คนในพรรคพลังประชาชนนั้นแตกแยกกันหรือต้องการจะให้พรรคพลังประชาชนล่มสลายไปในเร็ววัน ผมเพียงพยายามที่จะชี้ให้คนในพรรคพลังประชาชนเห็นว่า ณ ปัจจุบัน ประชาชนและมวลชนที่ยืนอยู่เคียงข้างพวกคุณนั้น ยังเป็นกลุ่มคนที่รับข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ยังไม่สนใจในการแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง ยังคงหลงใหลอยู่กับความรู้สึกส่วนบุคคลโดยปราศจากหลักฐาน ขาดรากเหง้าและไม่มีความสนใจใส่ใจในประวัติศาสตร์ของคนในชาติ ที่จะปูเส้นทางการพัฒนาไปสู่อนาคตที่เข้มแข็ง
ผมถามจริงๆ เถิดว่า พวกคุณต้องการบริหารประเทศ ต้องการปกครองประชาชน ต้องการคนในชาติที่มีความรู้ มีความคิด มีสติปัญญาเช่นนี้จริงหรือ? พวกคุณไม่ทราบจริงๆ หรือ รู้อยู่เต็มอกและประสงค์ที่จะให้พวกเขาเป็นอย่างนี้กันแน่ ...
ถ้าพวกคุณไม่ทราบจริงๆ ว่า ประชาชน-มวลชนของพวกคุณเป็นอย่างนี้ ผมก็ขออาศัยเนื้อที่ตรงนี้บอกผ่านไปให้พวกคุณรับทราบด้วย แต่ถ้าพวกคุณรู้และประสงค์ให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ ผมก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีด้วยว่าพวกคุณได้กลายสภาพเป็นสัตว์การเมืองเลือดเย็นอย่างเต็มตัวไปแล้ว!
สำหรับผมแล้ว ประชาชนฝั่งพรรคพลังประชาชนอย่างเช่น คุณป้าและคุณลุงบุญเลิศรวมถึงประชาชนอีกจำนวนมากที่เลือกพรรคพลังประชาชนถือว่าเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคนที่หาเช้ากินค่ำ แต่พวกเขาก็รัก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดจิตสุดใจ ต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองที่ประกาศว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาปกครองประเทศอีกครั้งอย่างเต็มที่ และสาเหตุที่พวกเขาประกาศตัวสนับสนุนนายสมัครให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะว่านายสมัครเคยให้คำมั่นสัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและตนเองได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว
แต่พวกเขาไม่ทราบเลยว่า ณ เวลานี้ หลังจากที่นายสมัครก้าวถึงฝั่งฝัน คว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากอดอุ่นอยู่ในอกแล้ว ภายในพรรคพลังประชาชนกลับเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่าง ฝ่ายนายสมัคร กับ ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ... ระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ นายเนวิน ชิดชอบ
พวกเขาไม่ทราบด้วยว่า ท่าทีและการกระทำของนายสมัครและ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงในปัจจุบันนั้นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นการสั่นคลอนสถานะของนายสมัครอย่างหนัก
ประชาชนฝั่งพลังประชาชนเหล่านี้ถือเป็นเพียงเหยื่อของ ‘ความไม่รู้’ ที่วันๆ ถูกปั่นหัว ให้หลงอยู่ในวัฏจักรของการช่วงชิงอำนาจและวงอุบาทว์ของประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างน่าสงสารที่สุด.