วานนี้(15 ก.พ.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร. 0401/968 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องขอยืมตัวข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีใจความว่า ด้วยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีความประสงค์ใคร่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกรุณาพิจารณาจัดชุดราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่นายกรัฐมนตรี ลงชื่อนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร รักษาการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 3 ชุด จำนวน 70 นาย โดยมี พล.ต.ต.อุดมชัย อมาตกุล ผบก.ส. เป็นหัวหน้าควบคุมดูแล โดยแบ่งเป็นชุดอารักขาบุคคล ชุดรถยนต์นำ รถติดตาม และรถปิดท้ายขบวน รวมทั้งฝ่ายอำนวยการควบคุมสั่งการ และชุดฝึก ซึ่งนายตำรวจส่วนมากเป็นชุดเดียวกับชุดที่ใช้อารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อนเกือบทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การขอกำลังตำรวจไปทำหน้าที่อารักขานายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติ ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่จะกระทำ เพียงแต่ การขอกำลังดังกล่าว ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของตัวนายกรัฐมนตรีเอง เช่นเมื่อครั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการขอกำลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปอารักขา แต่ใช้กำลังทหารมาเป็นชุดอารักขาแทน และในครั้งนี้ เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทางสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือขอกำลังดังกล่าวมาถึง 70 นาย ซึ่งล้วนเป็นนายตำรวจที่เคยอารักขาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น
สมัครย้ำไม่ยุ่งย้ายทหาร
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารช่วงเดือนเมษายนนี้จะมีการเอาเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นที่ปรึกษา รมว.กลาโหม และ ที่ปรึกษาฝ่ายเสธ. โดยเป็นใบสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าว ไม่มีความเห็นเรื่องนี้ และยังไม่ได้ตั้งใครสักคนหนึ่ง ยังไม่ได้คิด ไม่ต้องถาม ตนยังไม่รู้จักใครสักคนเดียวจึงไม่ได้คิดจะเอาใครมา ยังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ยุ่งอะไรเลย ที่ถามนี่จะเอาให้ได้เหรอ ชื่ออะไรต่างๆ ที่คุณยกมาตนไม่รู้จักสักคนเดียว
พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารว่า ขณะนี้กองทัพอากาศตั้งคณะกรรมขึ้นมาพิจารณา ซึ่งจะเริ่มประชุมเพื่อส่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายเดือนเมษายนคงมีไม่มาก เพราะย้ายเฉพาะที่จำเป็น ไม่มีการโยกย้าย ในตำแหน่งหลัก ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ไม่ห่วงว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง เพราะมีระเบียบต้องปฏิบัติตามความเหมาะสมและความอาวุโส
ชลิตยันไม่กีดกันตท.10
ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงปัญหาหรือไม่หาก ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ กลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งหลักในกองทัพ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ว่าอย่างไรกองทัพคงอยู่ตลอดไป นักเรียนนายทหารหรือนายทหารที่จบมา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา และทุกปีผลิตนายทหารที่มีคุณภาพเสมอ ทุกรุ่นมีความรู้ความสามารถ เรารู้ฝีมือ รู้ความสามารถ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นรุ่น10 แล้วต้องตกนรกหมกไหม้ เราต้องหมุนคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อเข้ามาช่วยทำงานให้กองทัพและประเทศ ซึ่ง ตท.10 ก็มีโอกาสที่จะหมุนเวียนเข้ามารับตำแหน่งหลัก
ส่วนที่หลายคนมองว่า ตท.10 ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาผงาด พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่คิดว่าเราจะต้องกีดกันรุ่น 10 หรือรุ่นไหน และทุกคนกว่าที่จะขึ้นมาเป็น พล.อ.ต ,พล.อ.ท. ,พล.อ.อ. ถูกกลั่นกรองมาแล้ว คิดว่า ทุกคนเป็นได้หมด ขึ้นอยู่กับจังหวะ ซึ่งข้อมูลขั้นต้นคงจะมาจากกองทัพ เพราะไม่มีใครที่รู้ดีกว่ากองทัพ ส่วนการวางตัว ผบ.ทอ.คนต่อไปนั้น กองทัพอากาศมีคนอยู่ไม่มาก ตนเห็นว่าทุกคนมีความสามารถและมีเส้นทางการรับราชการเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเมืองจะไม่เข้ามากดดันให้กองทัพต้องเลือกใครขึ้นมา ใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า คงไม่มี เพราะการเมืองก็ทำหน้าที่บริหารประเทศ คงไม่มาลงในรายละเอียดในส่วนของการโยกย้ายทุกกระทรวง ทบวงกรม ทั้งนี้ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นกังวล ส่วนเรื่องการปล่อยใบปลิวโจมตี ข่าวลือนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องมีการตรวจสอบ และไม่หูเบา เพราะความลับไม่มีอยู่ในโลกนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 3 ชุด จำนวน 70 นาย โดยมี พล.ต.ต.อุดมชัย อมาตกุล ผบก.ส. เป็นหัวหน้าควบคุมดูแล โดยแบ่งเป็นชุดอารักขาบุคคล ชุดรถยนต์นำ รถติดตาม และรถปิดท้ายขบวน รวมทั้งฝ่ายอำนวยการควบคุมสั่งการ และชุดฝึก ซึ่งนายตำรวจส่วนมากเป็นชุดเดียวกับชุดที่ใช้อารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อนเกือบทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การขอกำลังตำรวจไปทำหน้าที่อารักขานายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติ ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่จะกระทำ เพียงแต่ การขอกำลังดังกล่าว ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของตัวนายกรัฐมนตรีเอง เช่นเมื่อครั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มีการขอกำลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปอารักขา แต่ใช้กำลังทหารมาเป็นชุดอารักขาแทน และในครั้งนี้ เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทางสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือขอกำลังดังกล่าวมาถึง 70 นาย ซึ่งล้วนเป็นนายตำรวจที่เคยอารักขาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น
สมัครย้ำไม่ยุ่งย้ายทหาร
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารช่วงเดือนเมษายนนี้จะมีการเอาเตรียมทหาร รุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นที่ปรึกษา รมว.กลาโหม และ ที่ปรึกษาฝ่ายเสธ. โดยเป็นใบสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าว ไม่มีความเห็นเรื่องนี้ และยังไม่ได้ตั้งใครสักคนหนึ่ง ยังไม่ได้คิด ไม่ต้องถาม ตนยังไม่รู้จักใครสักคนเดียวจึงไม่ได้คิดจะเอาใครมา ยังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ยุ่งอะไรเลย ที่ถามนี่จะเอาให้ได้เหรอ ชื่ออะไรต่างๆ ที่คุณยกมาตนไม่รู้จักสักคนเดียว
พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารว่า ขณะนี้กองทัพอากาศตั้งคณะกรรมขึ้นมาพิจารณา ซึ่งจะเริ่มประชุมเพื่อส่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายเดือนเมษายนคงมีไม่มาก เพราะย้ายเฉพาะที่จำเป็น ไม่มีการโยกย้าย ในตำแหน่งหลัก ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ไม่ห่วงว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง เพราะมีระเบียบต้องปฏิบัติตามความเหมาะสมและความอาวุโส
ชลิตยันไม่กีดกันตท.10
ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงปัญหาหรือไม่หาก ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ กลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งหลักในกองทัพ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ว่าอย่างไรกองทัพคงอยู่ตลอดไป นักเรียนนายทหารหรือนายทหารที่จบมา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา และทุกปีผลิตนายทหารที่มีคุณภาพเสมอ ทุกรุ่นมีความรู้ความสามารถ เรารู้ฝีมือ รู้ความสามารถ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นรุ่น10 แล้วต้องตกนรกหมกไหม้ เราต้องหมุนคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อเข้ามาช่วยทำงานให้กองทัพและประเทศ ซึ่ง ตท.10 ก็มีโอกาสที่จะหมุนเวียนเข้ามารับตำแหน่งหลัก
ส่วนที่หลายคนมองว่า ตท.10 ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาผงาด พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่คิดว่าเราจะต้องกีดกันรุ่น 10 หรือรุ่นไหน และทุกคนกว่าที่จะขึ้นมาเป็น พล.อ.ต ,พล.อ.ท. ,พล.อ.อ. ถูกกลั่นกรองมาแล้ว คิดว่า ทุกคนเป็นได้หมด ขึ้นอยู่กับจังหวะ ซึ่งข้อมูลขั้นต้นคงจะมาจากกองทัพ เพราะไม่มีใครที่รู้ดีกว่ากองทัพ ส่วนการวางตัว ผบ.ทอ.คนต่อไปนั้น กองทัพอากาศมีคนอยู่ไม่มาก ตนเห็นว่าทุกคนมีความสามารถและมีเส้นทางการรับราชการเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเมืองจะไม่เข้ามากดดันให้กองทัพต้องเลือกใครขึ้นมา ใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า คงไม่มี เพราะการเมืองก็ทำหน้าที่บริหารประเทศ คงไม่มาลงในรายละเอียดในส่วนของการโยกย้ายทุกกระทรวง ทบวงกรม ทั้งนี้ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นกังวล ส่วนเรื่องการปล่อยใบปลิวโจมตี ข่าวลือนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องมีการตรวจสอบ และไม่หูเบา เพราะความลับไม่มีอยู่ในโลกนี้