เก้าอี้ประธานสภาฯ สะเทือนอนุฯ สอบทุจริตเลือกตั้งเชียงราย มีมติเอกฉันท์ สรุป "ยุทธตู้เย็น" ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง ชง กกต.ชี้ขาด ด้าน "ยุทธ" หน้าซีด เจอข่าวร้ายวันวาเลนไทน์ แต่ยังยืนกรานเป็นการจัดฉาก ขณะที่อดีต กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ย้ำกฎหมายเป็นกฎหมาย ไม่เกี่ยวจะจัดฉากหรือไม่ ชี้รัฐบาลอาจต้องเลื่อนการแถลงนโยบาย ส่วนเรื่องร้องคัดค้าน 3 ส.ส. พปช. ที่ เพชรบูรณ์ เขต 2 กกต. มีมติเสนอความเห็นไปศาลฎีกา แจกอีก 3 ใบเหลือง
วานนี้ (14 ก.พ.) คณะอนุกรรมการสอบสวนกรณีทุจริตเลือกตั้งจ.เชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อสรุปสำนวนความเห็นต่อกรณีที่ นายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัครส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายสุวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนพิจารณาข้อเท็จจริงโดยอาศัยสำนวนชุดเดิมของสันติบาล และได้สอบถามพยานเพิ่มเติม อีกทั้งได้ลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อไปสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สามารถแยกพยานออกเป็น3 กลุ่ม คือ 1.พยานให้การยืนยันตามเดิม 2. พยานที่ให้การเพิ่มเติมและ 3. พยานที่ไม่ยอมให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งจากการสอบปากคำกำนันส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวหา ก็ให้การตามที่เคยให้การกับคณะอนุกรรมการสอบสวนฯชุดเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนนางละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เขต 3 จ.เชียงราย ส่วนนายยงยุทธนั้น คณะกรรมการฯ ไม่ได้สอบสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากนายยงยุทธ ได้ยืนกรานตามคำให้การเดิม จากที่เคยให้การกับ กกต.ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งพยานฝ่ายนายยงยุทธ นั้นได้ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง มีกระบวนการจัดทำพยานเท็จขึ้นมา โดยหลังจากที่คณะกรรมการฯได้รับฟังคำให้การแล้วพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ก็นำข้อเท็จจริงมาพิจารณากับข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 53, 57 จนได้ข้อสรุป และได้เสนอความเห็นให้ กกต.พิจารณา ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การประชุม กกต.ในเร็วๆ นี้
"ผมสืบสวนสอบสวนฯโดยไม่ได้คำนึงว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โดยเราพิจารณาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะเป็นแค่พนักงานสืบสวนสอบสวน ก็ต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับใคร จากนี้เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะตัดสิน และจะลงมติไปตามที่เราได้เสนอไปหรือไม่" นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับเนื้อหา มาตรา 53 ( 2) ระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้สมัครกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่มีโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัดสถาบัน การศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
ส่วนมาตรา 57 พ.ร.บ. เดียวกันระบุว่า ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณแก่เป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ทั้งนี้มีรายงานว่า จากการให้ถ้อยคำของกำนันในจ.เชียงราย ทั้ง 10 คน ที่ถูกระบุว่า ได้ถูกคนของนายยงยุทธ พาขึ้นเครื่องบินมากรุงเทพ เพื่อพูดคุยรับงานจากนายยงยุทธ ยืนยันว่า ได้รับเงินจากนายยงยุทธรายละ 2 หมื่นบาทจริง ดังนั้นจากพยานหลักฐานดังกล่าว คณะอนุกรรมการจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่า จากพยานหลักฐานดังกล่าว นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง
ซึ่งตามระเบียบสืบสวนสอบสวนฯ เมื่อคณะกรรมการฯ ได้สรุปความเห็นแล้ว ก็จะต้องเสนอเรื่องผ่านเลขาธิการ กกต. เพื่อมีความเห็น จากนั้นเลขาธิการ กกต.จะเสนอต่อประธานกกต. ให้บรรจุระเบียบวาระให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา โดยขณะนี้ความเห็นของคณะกรรมการฯ ยังไม่ถึงมือเลขาธิการกกต.
ทั้งนี้ กกต.ไม่มีความจำเป็นต้องมีความเห็นยืนตามคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน หรืออาจให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนสืบเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน มีความเห็นว่า นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตามหลักแล้ว นายยงยุทธ เป็นส.ส.สัดส่วน ดังนั้นความผิดที่เกิดขึ้น หาก กกต. มีความเห็นยืนตามคณะอนุกรรมการฯ กกต.ก็ไม่สามารถมีความเห็นให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) กับนายยงยุทธได้ แต่ต้องเป็นความเห็นว่า นายยงยุทธ สมควรถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ซึ่งจะต้องมีการเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา
หากศาลฎีการับคำร้องนายยงยุทธ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าทันที จนกว่าศาลฎีกาจะคำสั่งยกคำร้อง แต่ถ้าต่อมาศาลมีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธตามที่ กกต.เสนอ นายยงยุทธ ก็จะพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ทันที จากนั้น กกต.ก็จะพิจารณาตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนฯ เพื่อพิจารณาว่า พรรคมีส่วนรู้เห็นปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว ไม่ยับยั้งหรือแก้ไขหรือไม่ เพราะจากการกระทำของนายยงยุทธ ที่ในขณะกระทำผิดมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค ที่ถือว่าเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่ง ตามมาตรา 103 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้นระบุว่า หากพรรครู้เห็นต่อการกระทำการดังกล่าว ให้ถือว่า พรรคการกระทำการนั้นเพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นเหตุให้นายทะเบียนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สั่งยุบพรรคได้ และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคและ กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง
ส่วนเมื่อนายยงยุทธ พ้นสมาชิกสภาพความเป็นส.ส.สัดส่วน กลุ่มที่ 1 แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 109 (2) ก็กำหนดว่า ในกรณีที่เป็นตำแหน่งส.ส.แบบสัดส่วนว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นในเขตเลือกตั้งนั้น เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งในกรณีนี้ผู้สมัคร ส.ส. สัดส่วนที่อยู่ในบัญชีลำดับที่ 6 ของพรรคพลังประชาชนก็ คือนายถาวร ตรีรัตน์ณรงค์
**แจก 3 เหลืองส.ส.พปช.เพชรบูรณ์
วันเดียวกันนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุม กกต.ได้มีการพิจารณาสำนวนคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. เขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้คัดค้าน นายเอี่ยม ทองใจสด , นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ และนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ 3 ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน ในข้อหาจัดเลี้ยงเพื่อจูงใจให้ได้คะแนนนิยม โดยที่ประชุมกกต. มีมติเสนอให้สั่งเลือกตั้งใหม่ใน เขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งหลังจากนี้จะให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต. ทำความเห็นยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ภายใน 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม สำหรับสำนวนคำร้องคัดค้าน 3 ผู้สมัครดังกล่าวในคำร้องอื่นๆ กกต.ได้มีมติให้ยกคำร้องไปก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการเลือกตั้ง จ.เชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปความเห็นเสนอต่อ กกต. นายสุทธิพล กล่าวว่า ทางอนุกรรมการฯ ยังไม่ได้ส่งเรื่องมายังสำนักงานเลขาธิการกกต. แต่ไม่แน่ใจว่า จะได้สรุปความเห็นเสนอโดยตรงต่อ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. โดยตรงเลยหรือไม่ แต่ยืนยันว่าในที่ประชุม ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณา และยังไม่เห็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการฯ สรุปมา
ขณะที่นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าว ถึงการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการให้ใบแดง นายอภิชาต กล่าวเพียงสั้นๆว่า ไม่มี ที่ประชุมยังดูเรื่องนี้เลย มีใบแดง แต่เป็นเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งท้องถิ่น
**"ยุทธ" หน้าซีด ข้องใจข่าวรั่ว
นายยงยุทธ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการชุดสืบสวนสอบสวนกรณีทุจริต จ.เชียงราย มีมติเห็นควรเชื่อได้ว่า กรณีของนายยงยุทธ เป็นการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง โดยกล่าวด้วยสีหน้าตกใจว่า ตนยังไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าข่าวนี้รั่วออกมาได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นคงต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นก่อน ตนไม่ขอตอบ เพราะเดี๋ยวจะเป็นการกดดันและแทรกแซงการทำงานของคณะทำงาน กกต. ซึ่งต้องรอความชัดเจนก่อน และเรื่องนี้ยังมีเวลาอีกหลายวัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวอย่างมั่นใจว่า "แน่นอน ทุกอย่างมันเป็นการจัดฉากเอาไว้อยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร มีหลักฐานชัดเจนว่า มีการพยายามกล่าวหาผม วันนี้คงไม่ต้องพูดอะไร ถึงเวลาสังคมก็จะรู้ความจริง ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง"
เมื่อถามย้ำว่า หากได้"ใบแดง"จะกระทบต่อการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า คงไม่กระทบ และอยากให้ทุกอย่างชัดเจนก่อนตามกระบวนการ ไม่อยากพูดอะไรออกมา ไม่ต้องห่วงอะไรเมื่อถึงเวลาก็จะอภิบายให้ฟังเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธ มีสีหน้าตื่นกระหนก พยายามซักถาม และแดกดันนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์อย่างคาดคั้นว่า ทำไมรู้เรื่องเร็วจัง สำนวนสอบสวนรั่วหรือ ตนเป็นเจ้าของคดียังไม่รู้เรื่องเลย ทำไมต้องมาถามอะไร คาดคั้นเอาเป็นว่ารอให้ผลที่แท้จริงออกมาก่อน
**อาจกระทบการแถลงนโยบาย
นายคมสัน โพธิ์คง อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การตัดสินเช่นนี้ อนุกรรมการ คงพิจารณาจากหลักฐานหลายส่วนประกอบกัน ซึ่งก็สามารถลบคำครหาที่ว่า มีกรรมการบางคนมีความไม่โปร่งใส ตนเชื่อว่าการตัดสินของอนุกรรมการครั้งนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง แม้นายยงยุทธ จะออกมาระบุว่า เป็นการจัดฉาก แต่กฎหมายก็คือ กฎหมาย เมื่อคุณทำผิด ก็ต้องรับผิด
"คุณยงยุทธ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เชื่ออะไรจนกว่ามีการตัดสินที่เป็นธรรม นี่เขาตัดสินออกมาชัดเจนแล้ว คุณยงยุทธ จะไม่เชื่ออีกหรือ"
นายคมสันกล่าวว่า ขั้นตอนของกฎหมายต่อจากนี้ อนุกรรมการก็จะเสนอให้ กกต. วินิจฉัย และกกต. ก็เสนอให้ศาลฏีกาตัดสิน ตาม มาตรา 110 และ 111 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.ต่อไป หากศาลตัดสินว่ามีความผิดตามอนุกรรมการและ กกต. ระบุ นายยงยุทธ ก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 1 ปี และถูกดำเนินคดีอาญาด้วย
สำหรับการดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ ของนายงยุทธนั้น ขณะนี้ยังถือว่าปฎิบัติหน้าที่ได้ จนกว่าศาลจะตัดสินความผิด แต่คงจะส่งผลถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ก.พ. นี้ ซึ่งหากนายยงยุทธ ถูกตัดสินว่ามีความผิดถึงที่สุดแล้ว ที่ประชุมของสภาฯ จะต้องประชุมเพื่อเลือกประธานรัฐสภาคนใหม่ เพื่อทำหน้าที่ต่อไป
**พปช.ร้อนนัดทีม กม.ถกหาทางออก
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทีมกฎหมายของพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด ส่วนจะเหมือนกรณีพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่ ยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาต้องดู กกต. ว่าจะว่าอย่างไร และจะต้องไปที่ศาลอีก ซึ่งข้อยุติจะอยู่ที่ศาล เราคงไปวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะเป็นเหมือนชาติไทยหรือมัชฌิมาฯ ยังไม่ได้ ตอนนี้ต้องรอให้ขั้นตอนเป็นไปตามกระบวนการก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยมาว่ากันอีกที
เมื่อถามว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรคได้พูดคุยกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขในเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรุ่งนี้จะมีการพูดคุยกัน.
วานนี้ (14 ก.พ.) คณะอนุกรรมการสอบสวนกรณีทุจริตเลือกตั้งจ.เชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อสรุปสำนวนความเห็นต่อกรณีที่ นายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัครส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายสุวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนพิจารณาข้อเท็จจริงโดยอาศัยสำนวนชุดเดิมของสันติบาล และได้สอบถามพยานเพิ่มเติม อีกทั้งได้ลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อไปสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สามารถแยกพยานออกเป็น3 กลุ่ม คือ 1.พยานให้การยืนยันตามเดิม 2. พยานที่ให้การเพิ่มเติมและ 3. พยานที่ไม่ยอมให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งจากการสอบปากคำกำนันส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวหา ก็ให้การตามที่เคยให้การกับคณะอนุกรรมการสอบสวนฯชุดเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนนางละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เขต 3 จ.เชียงราย ส่วนนายยงยุทธนั้น คณะกรรมการฯ ไม่ได้สอบสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากนายยงยุทธ ได้ยืนกรานตามคำให้การเดิม จากที่เคยให้การกับ กกต.ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งพยานฝ่ายนายยงยุทธ นั้นได้ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง มีกระบวนการจัดทำพยานเท็จขึ้นมา โดยหลังจากที่คณะกรรมการฯได้รับฟังคำให้การแล้วพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ก็นำข้อเท็จจริงมาพิจารณากับข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 53, 57 จนได้ข้อสรุป และได้เสนอความเห็นให้ กกต.พิจารณา ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การประชุม กกต.ในเร็วๆ นี้
"ผมสืบสวนสอบสวนฯโดยไม่ได้คำนึงว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โดยเราพิจารณาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะเป็นแค่พนักงานสืบสวนสอบสวน ก็ต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับใคร จากนี้เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะตัดสิน และจะลงมติไปตามที่เราได้เสนอไปหรือไม่" นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับเนื้อหา มาตรา 53 ( 2) ระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้สมัครกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่มีโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัดสถาบัน การศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
ส่วนมาตรา 57 พ.ร.บ. เดียวกันระบุว่า ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณแก่เป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ทั้งนี้มีรายงานว่า จากการให้ถ้อยคำของกำนันในจ.เชียงราย ทั้ง 10 คน ที่ถูกระบุว่า ได้ถูกคนของนายยงยุทธ พาขึ้นเครื่องบินมากรุงเทพ เพื่อพูดคุยรับงานจากนายยงยุทธ ยืนยันว่า ได้รับเงินจากนายยงยุทธรายละ 2 หมื่นบาทจริง ดังนั้นจากพยานหลักฐานดังกล่าว คณะอนุกรรมการจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่า จากพยานหลักฐานดังกล่าว นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง
ซึ่งตามระเบียบสืบสวนสอบสวนฯ เมื่อคณะกรรมการฯ ได้สรุปความเห็นแล้ว ก็จะต้องเสนอเรื่องผ่านเลขาธิการ กกต. เพื่อมีความเห็น จากนั้นเลขาธิการ กกต.จะเสนอต่อประธานกกต. ให้บรรจุระเบียบวาระให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา โดยขณะนี้ความเห็นของคณะกรรมการฯ ยังไม่ถึงมือเลขาธิการกกต.
ทั้งนี้ กกต.ไม่มีความจำเป็นต้องมีความเห็นยืนตามคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน หรืออาจให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนสืบเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน มีความเห็นว่า นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตามหลักแล้ว นายยงยุทธ เป็นส.ส.สัดส่วน ดังนั้นความผิดที่เกิดขึ้น หาก กกต. มีความเห็นยืนตามคณะอนุกรรมการฯ กกต.ก็ไม่สามารถมีความเห็นให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) กับนายยงยุทธได้ แต่ต้องเป็นความเห็นว่า นายยงยุทธ สมควรถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ซึ่งจะต้องมีการเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา
หากศาลฎีการับคำร้องนายยงยุทธ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าทันที จนกว่าศาลฎีกาจะคำสั่งยกคำร้อง แต่ถ้าต่อมาศาลมีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธตามที่ กกต.เสนอ นายยงยุทธ ก็จะพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ทันที จากนั้น กกต.ก็จะพิจารณาตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนฯ เพื่อพิจารณาว่า พรรคมีส่วนรู้เห็นปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว ไม่ยับยั้งหรือแก้ไขหรือไม่ เพราะจากการกระทำของนายยงยุทธ ที่ในขณะกระทำผิดมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค ที่ถือว่าเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่ง ตามมาตรา 103 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้นระบุว่า หากพรรครู้เห็นต่อการกระทำการดังกล่าว ให้ถือว่า พรรคการกระทำการนั้นเพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นเหตุให้นายทะเบียนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สั่งยุบพรรคได้ และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคและ กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง
ส่วนเมื่อนายยงยุทธ พ้นสมาชิกสภาพความเป็นส.ส.สัดส่วน กลุ่มที่ 1 แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 109 (2) ก็กำหนดว่า ในกรณีที่เป็นตำแหน่งส.ส.แบบสัดส่วนว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นในเขตเลือกตั้งนั้น เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งในกรณีนี้ผู้สมัคร ส.ส. สัดส่วนที่อยู่ในบัญชีลำดับที่ 6 ของพรรคพลังประชาชนก็ คือนายถาวร ตรีรัตน์ณรงค์
**แจก 3 เหลืองส.ส.พปช.เพชรบูรณ์
วันเดียวกันนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุม กกต.ได้มีการพิจารณาสำนวนคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. เขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้คัดค้าน นายเอี่ยม ทองใจสด , นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ และนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ 3 ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน ในข้อหาจัดเลี้ยงเพื่อจูงใจให้ได้คะแนนนิยม โดยที่ประชุมกกต. มีมติเสนอให้สั่งเลือกตั้งใหม่ใน เขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งหลังจากนี้จะให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต. ทำความเห็นยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ภายใน 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม สำหรับสำนวนคำร้องคัดค้าน 3 ผู้สมัครดังกล่าวในคำร้องอื่นๆ กกต.ได้มีมติให้ยกคำร้องไปก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการเลือกตั้ง จ.เชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปความเห็นเสนอต่อ กกต. นายสุทธิพล กล่าวว่า ทางอนุกรรมการฯ ยังไม่ได้ส่งเรื่องมายังสำนักงานเลขาธิการกกต. แต่ไม่แน่ใจว่า จะได้สรุปความเห็นเสนอโดยตรงต่อ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. โดยตรงเลยหรือไม่ แต่ยืนยันว่าในที่ประชุม ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณา และยังไม่เห็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการฯ สรุปมา
ขณะที่นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าว ถึงการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการให้ใบแดง นายอภิชาต กล่าวเพียงสั้นๆว่า ไม่มี ที่ประชุมยังดูเรื่องนี้เลย มีใบแดง แต่เป็นเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งท้องถิ่น
**"ยุทธ" หน้าซีด ข้องใจข่าวรั่ว
นายยงยุทธ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการชุดสืบสวนสอบสวนกรณีทุจริต จ.เชียงราย มีมติเห็นควรเชื่อได้ว่า กรณีของนายยงยุทธ เป็นการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง โดยกล่าวด้วยสีหน้าตกใจว่า ตนยังไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าข่าวนี้รั่วออกมาได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นคงต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นก่อน ตนไม่ขอตอบ เพราะเดี๋ยวจะเป็นการกดดันและแทรกแซงการทำงานของคณะทำงาน กกต. ซึ่งต้องรอความชัดเจนก่อน และเรื่องนี้ยังมีเวลาอีกหลายวัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวอย่างมั่นใจว่า "แน่นอน ทุกอย่างมันเป็นการจัดฉากเอาไว้อยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร มีหลักฐานชัดเจนว่า มีการพยายามกล่าวหาผม วันนี้คงไม่ต้องพูดอะไร ถึงเวลาสังคมก็จะรู้ความจริง ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง"
เมื่อถามย้ำว่า หากได้"ใบแดง"จะกระทบต่อการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า คงไม่กระทบ และอยากให้ทุกอย่างชัดเจนก่อนตามกระบวนการ ไม่อยากพูดอะไรออกมา ไม่ต้องห่วงอะไรเมื่อถึงเวลาก็จะอภิบายให้ฟังเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธ มีสีหน้าตื่นกระหนก พยายามซักถาม และแดกดันนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์อย่างคาดคั้นว่า ทำไมรู้เรื่องเร็วจัง สำนวนสอบสวนรั่วหรือ ตนเป็นเจ้าของคดียังไม่รู้เรื่องเลย ทำไมต้องมาถามอะไร คาดคั้นเอาเป็นว่ารอให้ผลที่แท้จริงออกมาก่อน
**อาจกระทบการแถลงนโยบาย
นายคมสัน โพธิ์คง อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การตัดสินเช่นนี้ อนุกรรมการ คงพิจารณาจากหลักฐานหลายส่วนประกอบกัน ซึ่งก็สามารถลบคำครหาที่ว่า มีกรรมการบางคนมีความไม่โปร่งใส ตนเชื่อว่าการตัดสินของอนุกรรมการครั้งนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง แม้นายยงยุทธ จะออกมาระบุว่า เป็นการจัดฉาก แต่กฎหมายก็คือ กฎหมาย เมื่อคุณทำผิด ก็ต้องรับผิด
"คุณยงยุทธ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เชื่ออะไรจนกว่ามีการตัดสินที่เป็นธรรม นี่เขาตัดสินออกมาชัดเจนแล้ว คุณยงยุทธ จะไม่เชื่ออีกหรือ"
นายคมสันกล่าวว่า ขั้นตอนของกฎหมายต่อจากนี้ อนุกรรมการก็จะเสนอให้ กกต. วินิจฉัย และกกต. ก็เสนอให้ศาลฏีกาตัดสิน ตาม มาตรา 110 และ 111 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.ต่อไป หากศาลตัดสินว่ามีความผิดตามอนุกรรมการและ กกต. ระบุ นายยงยุทธ ก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 1 ปี และถูกดำเนินคดีอาญาด้วย
สำหรับการดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ ของนายงยุทธนั้น ขณะนี้ยังถือว่าปฎิบัติหน้าที่ได้ จนกว่าศาลจะตัดสินความผิด แต่คงจะส่งผลถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ก.พ. นี้ ซึ่งหากนายยงยุทธ ถูกตัดสินว่ามีความผิดถึงที่สุดแล้ว ที่ประชุมของสภาฯ จะต้องประชุมเพื่อเลือกประธานรัฐสภาคนใหม่ เพื่อทำหน้าที่ต่อไป
**พปช.ร้อนนัดทีม กม.ถกหาทางออก
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทีมกฎหมายของพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด ส่วนจะเหมือนกรณีพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่ ยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาต้องดู กกต. ว่าจะว่าอย่างไร และจะต้องไปที่ศาลอีก ซึ่งข้อยุติจะอยู่ที่ศาล เราคงไปวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะเป็นเหมือนชาติไทยหรือมัชฌิมาฯ ยังไม่ได้ ตอนนี้ต้องรอให้ขั้นตอนเป็นไปตามกระบวนการก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยมาว่ากันอีกที
เมื่อถามว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรคได้พูดคุยกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขในเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรุ่งนี้จะมีการพูดคุยกัน.