xs
xsm
sm
md
lg

อัด"เพ็ญ"สื่อแปรพักตร์ บ้าอำนาจตามรอย"แม้ว"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"เจิมศักดิ์" ชี้คงไม่ต้องหาหลักฐานแสดง ใครก็เชื่อคำสั่งปลดรายการ"มุมมองของเจิมศักดิ์" เป็นฝีมือ "จักรภพ" ระบุน่าเสียดาย อดีตสื่อมวลชนแปรพักตร์ หลังมีอำนาจเดินหน้าแทรกแซงสื่อตามรอยยุค"แม้ว" ด้าน"จักรภพ" ท้าให้หาใบเสร็จมายืนยัน อ้างเป็นกระบวนการป้ายสีให้รัฐบาลเสียหาย สั่ง"อธิบดี-บ.ฟาติมา" ชี้แจงข้อเท็จริง ขู่ อธิบดี ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ ขณะที่"ฟาติมา" ระบุเจิมศักดิ์แสดงสปิริตเอง หลังมีการพูดคุยกันให้จัดรายการแนวสมานฉันท์ นักวิชาการอัดรัฐบาลเลือกตั้ง แต่พฤติกรรมสวนทางประชาธิปไตย

วานนี้ (14 ก.พ.) นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พิธีกรรายการ"รู้ทันประเทศไทย" และรายการ"มุมมองของเจิมศักดิ์" ซึ่งเคยออกอากาศในช่วง เวลา 08.00-09.00 น. เป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ ทางคลื่นวิทยุ วิสดอมเรดิโอ 105 เมกะเฮิรตช์ กรมประชาสัมพันธ์ กล่าวยืนยัน หลังรายการถูกถอดออกจากผังรายการ เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ว่า ได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบริหารบริษัท ฟาติมา ซึ่งเล่าให้ฟังว่า มีคำสั่งจากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ สั่งไม่ต่อสัญญาให้ อ้างว่าปรับผังรายการใหม่ จึงยุติไม่ให้ดำเนินรายการตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.

ทั้งนี้ ฟาติมามีสัญญา สัมปทานกับกรมประชาสัมพันธ์ 2 ปี เริ่มปี 51 สิ้นสุดปี 52 โดยเพิ่งได้รับการต่อสัญญาใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้

นายเจิมศักดิ์ ระบุว่าพฤติกรรมของนายจักรภพ ถือเป็นการแทรกแซงสื่อ ตามรัฐธรรมนูญ แต่กระบวนการยื่นถอดถอนต้องมีหลักฐาน ซึ่งตนคงไม่มีอำนาจที่จะไปหาหลักฐานมาได้ ทั้งนี้ นายเจิมศักดิ์ เชื่อว่า เหตุที่ถูกสั่งถอดรายการ น่าจะมาจากเนื้อหารายการที่นำเสนอ เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา เพราะตนได้หยิบยกกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ซีเอ็นเอ็น ถึงเหตุการณ์ "6 ตุลาคม 2519" ว่า มีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวนั้น เป็นเรื่องโกหก

นายเจิมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า รู้สึกเสียใจต่อ นายจักรภพ ในฐานะที่อดีตเคยเป็นสื่อมวลชนมาก่อน และเคยมีแนวคิดที่จะทำงานสื่อสารมวลชนร่วมกัน แต่เมื่อมาเล่นการเมืองแล้วมีอำนาจ ถือเป็นเรื่องปกติ ขณะนี้กระบวนการปิดหูปิดตาประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยสมัย รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทราบว่า นักวิชาการที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ก็ถูกโทรศัพท์ข่มขู่

ส่วนข้ออ้างจัดระเบียบสื่อ น่าจะเป็นการครอบงำสื่อมากกว่า และเชื่อว่าสื่อมวลชนจะมีสักกี่คน ที่กล้าประกาศว่า "เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย" เพราะขณะนี้จรรยาบรรณสื่อมวลชนส่วนใหญ่ อยู่เพื่อปากท้อง

** "เพ็ญ"ถามหาใบเสร็จ อ้างแผนป้ายสี
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายเจิมศักดิ์ ออกมาระบุว่า นายจักรภพ เป็นคนสั่งให้ถอดรายการว่า ตนขอปฏิเสธทั้งหมด และอยากให้นายเจิมศักดิ์ ได้ทำต่อให้อีกนิด คือเปิดเผยชื่อคนที่มาบอกเรื่องนี้ เพราะเป็นความเสียหายที่รัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไข ตนได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่มีการแทรกแซงในทางใดทางหนึ่ง ตนไม่ได้โทร ไม่ได้ให้ใครโทร ไม่ได้ส่งสัญญาณผ่านใครไปทั้งสิ้น ฉะนั้นหากมีแหล่งข่าวใดๆ ทั้งจะจากในบริษัทที่รับสัมปทาน หรือจากแหล่งอื่น ควรจะเปิดเผยออกมา ตนก็อยากรู้เหมือนกันว่า กระบวนการทำแบบนี้เพื่อให้รัฐบาลเสื่อเสีย มันเริ่มต้นจากใคร เทคนิคนี้เป็นเทคนิคเก่ามาก คือ การทำผิดแล้วโยนให้คนอื่น โดยเฉพาะในบรรยากาศที่คนกำลังงุนงงสงสัยว่า รัฐบาลกำลังจะเอาอย่างไร เพราะมันเปลี่ยจากเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตย ซึ่งในระยะเปลี่ยนอย่างนี้ ฝุ่นมันฟุ้ง เขาก็ถือโอกาสทำเรื่องแบบนี้กัน

“ผมอยากรู้เท่าๆ กับ ดร.เจิมศักดิ์ ว่าใครเป็นคนทำอย่างนี้ ฉะนั้นอย่าแค่บอกว่าได้ยินมา ขอให้บอกชื่อเพื่อที่เราจะได้ดำเนินการกันต่อไปว่า บริษัทที่ได้รับสัมปทานควรต้องมีควารับผิดชอบย่างไรบ้าง หรือไม่ เพราะเรื่องนี้ผมเข้าใจว่า ทางบริษัทฟาติมา ได้ออกแถลงการณ์ของตัวเองโดยอธิบายเหตุผลของเขา เพียงแต่มีคนจำนวนหนึ่งที่อยากจะเชื่อเป็นอย่างอื่น แต่ความสงสัยของคนมันห้ามกันไม่ได้ ก็มีแต่จะต้องพิสูจน์ความสงสัยนั้นด้วยการเอาหลักฐานออกมา" นายจักรภพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกเจ็บตัวหรือไม่ เพราะเวลานี้ถูกมองว่าเป็นคนสั่งการ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร มารับผิดชอบงานด้านนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เข้าครัวต้องไม่กลัวร้อน เรื่องสื่อหากไม่ขัดแย้งกันขนาดนี้กสช. ก็เกิดไปนานแล้ว เพราะสื่อขัดแย้งกันเอง กสช.จึงไม่เกิด ฉะนั้นรัฐบาลซึ่งเป็นตัวกลางก็โดนทุกที แต่ไม่เป็นไร เรื่องนี้มีผลดีคือ ทำให้เรื่องสื่อเป็นที่สนใจของคน เมื่อตนมีโอกาสได้ให้นโยบายกับกรมประชาสัมพันธ์ และได้ทำนโยบายละเอียดที่บอกว่า ภายในเวลา 1 เดือน คือไม่เกิน กลางเดือนมี.ค. คนจะมองเห็นเองว่า ทิศทางในการบริหารสื่อของรัฐภายใต้รัฐบาลชุดนี้ จะสวนทางกับสิ่งที่คนสงสัยอยู่ในตอนนี้ อย่างที่พูดหลายครั้ง ไม่ต้องการจะลดคนเล่น แต่จะเพิ่มคนเล่น ต้องการจะเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามา เพราะบางครั้ง ไม้แก่ดัดยาก

**โยนอธิบดีกรมประชาไปไล่บี้
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าจะให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ แถลงข่าวชี้แจง แต่ก็ยังไม่มีการแถลงใดๆ นาย จักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็รอดูท่านไปก่อน เพราะมันเป็นเรื่องของท่านมากกว่าเรื่องของรัฐมนตรี การที่บริษัทในสัมปทานของรัฐ กล่าวหาว่ามีการแทรกแซงสื่อ หากเป็นจริงตามที่นายเจิมศักดิ์พูด ก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐกับผู้รับสัมปทานต้องคุยกัน ตนในฐานะเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำไป ฉะนั้นเป็นเรื่องของอธิบดีที่จะแถลงต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่าได้สั่งการไปแล้ว

เมื่อถามว่าถือเป็นการขัดคำสั่งหรือไม่ที่อธิบดีไม่แถลง นายจักภพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งเปิดทางให้ เอาเป็นว่า ของทุกอย่างต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องตั้งสมมติฐานในทางบวกไว้ก่อน ว่าคนบริสุทธิ์ก็ไม่มีอะไรชี้แจง แต่เมื่อต้องเค้นให้ชี้แจง เขาก็ต้องนอนนึกเหมือนกันว่าจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ อย่างไร แต่คนที่แต่งนิยาย มันจะแถลงได้ง่าย

เมื่อถามว่าการที่อธิบดีไม่แถลงเหมืนมีเงื่อนงำบางอย่าง นายจักรพภพ กล่าวว่า คงไม่ขนานนั้น เวลามันสั้นๆ คงยังไม่สามารถจะชี้ชัดตรงนั้นได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตนยังยืนยันว่าขอให้ทางกรมประชาสัมพันธ์คือ อธิบดี กับทางบริษัท ได้ช่วยสร้างความกระจ่างชัดว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะจากคำกล่าวหาของผู้จัดรายการว่า มีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้น ยิ่งต้องค้นคว้าไปให้ถึงก้นบึ้งของปัญหา ตนก็อย่างทราบเหมือนกัน ถ้าด่วนได้ก็ดี เพราะสังคมกำลังจับตามองอยู่

เมื่อถามว่าโดยส่วนที่ถูกพาดพิงจะดำเนินการใดๆหรือไม นายจักภพ กล่าวว่า ยังหรอกจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการสูญเสียต่อตนเป็นการส่วนตัว ตอนนี้ตนห่วงเรื่องตัวเองน้อยกว่าเรื่องของรัฐบาลโดยรวม ฉะนั้นหากมีการสร้างความชัดเจนกันได้ในความร่วมมือระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับบริษัทผู้รับสัมปทานก็จะได้จบเรื่องกันไป หากมีข้อสงสัยอย่างไรในทางสังคม ตนก็ต้องตามไปตอบในฐานะบุคคลสาธารณะ

เมื่อถามว่าภายในรัฐบาลมีการแทงข้างหลังหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่มี ขณะนี้กลัวอย่าวเดียวคือ ภาวะความเกร่งของการเปลี่ยจากเผด็จการมาสู่ประชาธิปไตยมันทำให้คนหลายคนกลัวไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และอาจจะมีมือที่สามใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เราถึงต้องสื่อสารออกไป ให้มันจบลงไป โดยมือที่หนึ่งและมือที่สองคุยกัน เพื่อให้รู้ว่ามือที่สามคือใคร ถ้ามันมี

เมื่อถามว่าถ้าวันที่ 15 ก.พ. อธิบดียังไม่มีการแถลงจะมีการพิจารณาใดๆ หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ หลายอย่างเป็นเรื่องของสังคมจะช่วยพิจารณา ตนยินดีจะคอย เพราะกระบวนการประชาธิปไตยใจร้อนไม่ได้ ต้องค่อยดู อย่างไรก็ตามส่วนตัวจะไม่เข้าไปเช็กอะไรเอง หากเขาไปเช็ก ก็จะเป็นการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ฉะนั้นจะอยู่อย่างนี้ แต่จะคอยฟังคอยดู ส่วนที่มีข่าวว่า อธิบดีอ้างว่าไม่ได้เป็นคนถอดรายการ จึงไม่ยอมแถลงนั้น นายจักภพ กล่าวว่า ทำไมไม่พูดอย่างนี้ล่ะ ออกมาแถลงอย่างนี้ซิ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บตัวมาก

**"ฟาติมา"ระบุเจิมศักดิ์แสดงสปิริตเอง
ด้านนายแสงชัย อภิชาติธนพัฒน์ ประธานและ ซีอีโอ บริษัท ฟาติมา บรอดคาสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารคลื่น105 ซึ่งรับสัมปทานจากกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า รายการของนาย เจิมศักดิ์ ที่ถูกถอดออกจากคลื่น105 นั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากเรื่องของการเมือง ไม่มีการแทรกแซงจากการเมืองแน่นอน หรือจากใครก็ตาม แต่เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาได้ไปตรวจดูรายการย้อนหลังหลายวัน เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เพราะว่าในรายการนั้น นายเจิมศักดิ์ พูดถึงบุคคลอื่น วิพากษ์วิจารณ์รุนแรง ซึ่งตัวเองต้องการอยากจะให้เกิดความสมานฉันท์มากกว่า จึงได้พูดคุยกับนายเจิมศักดิ์ ซึ่งท่านก็เข้าใจ และได้แสดงสปิริตขอยุติการจัดรายการไป ซึ่งผมเองก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาเรื่องคลื่นหลุด เพราะบริษัทจะเสียหายได้รับผลกระทบ ซึ่งก็ขอขอบคุณนายเจิมศักดิ์ ที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

**ชี้แทรกสื่อสวนทางประชาธิปไตย
นางเอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม หรือ มีเดีย มอนิเตอร์ กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ท้ายที่สุดแล้วข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่มีทางปรากฏออกมาชัดเจน ทั้งประเด็นที่ว่าใครเป็นคนสั่ง หรือสั่งใคร เพราะสุดท้ายก็จะไม่มีใครพูด

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในทำนองนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ และจะมีการอ้างเหตุผลในทางบวก เพื่อรองรับการดำเนินการ อาทิเช่น การปรับผังเพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์บ้าง หรือการปรับผังอยู่ในแผนเดิมอยู่แล้ว เป็นต้น

ทั้งนี้ ประเด็นที่ควรพิจารณา อยู่ที่เนื้อหาที่รายการนั้นๆ นำเสนอมากกว่า ซึ่งจะสะท้อนเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมรายการดังกล่าวถึงถูกถอดออก

สำหรับกรณีนี้ข้อเท็จจริงกรณี 6 ตุลาที่นายเจิมศักดิ์ หยิบยกขึ้นมาพูดในรายการ เป็นเนื้อหาที่ขัดแย้งกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดผ่านสื่อต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามจะสื่อสารข้อเท็จจริงทางตรงในกรณีดังกล่าวสู่สาธารณะของญาติ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ด้วยการแถลงข่าวที่อนุสรณ์สถาน
14 ตุลา

นางเอื้อจิต กล่าวอีกว่า น่าเสียใจที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นภายในช่วงที่รัฐบาลซึ่งภูมิใจว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่กลับดำเนินการสวนทางกับหลักการประชาธิปไตย โดยการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน โดยคำนึงถึงผู้มีอำนาจเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้สังคมจำต้องช่วยกันให้ความสนใจ และร่วมกันแสดง ฟีดแบ็ก ว่า การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลไม่เหมาะสม และยังขัดรัฐธรรมนูญอีกด้วย

นางเอื้อจิต กล่าวต่อว่า การทำงานในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของรัฐบาล มีสัญญาณที่น่ากังวลหลายประการ นอกเหนือจากเหตุการณ์นี้แล้ว แผนการที่จะดำเนินการกับสื่อ ไม่ว่าจะเป็นการจ้องที่จะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ใหม่ และการจัดระเบียบสื่อมวลชนล้วนเป็นนโยบายที่น่าหนักใจ

อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นเรื่องดี เพราะหากให้รัฐบาลออกอาการทั้งหมด ก็ถือว่าตรงไปตรงมาดี แต่สังคมจะต้องตั้งรับด้วยการสร้างสมดุลของอำนาจ โดยการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคน โดยเฉพาะองค์กรวิชาชีพ องค์กรวิชาการ และภาคประชาสังคม.
กำลังโหลดความคิดเห็น