xs
xsm
sm
md
lg

อะไรคือมูลเหตุวิวัฒนาการของชาติ (2)

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

ในตอนที่หนึ่ง ได้กล่าวถึงรายละเอียดถึงการทำความเข้าใจให้รู้แจ้งชัดในตัวของตนเอง คือขันธ์ 5 (รูป, เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าโดยย่อคือ รูป (ร่างกาย) กับนาม (จิตเดิมแท้) และ จิตตสังขาร (ปรุงแต่งเป็นกุศล ก็ได้, อกุศล ก็ได้, ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล ก็ได้) และเมื่อได้ศึกษาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (Insight Meditation) รู้แจ้งตัวตนของตนๆ ถึงที่สุดดีแล้ว เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บรรลุสภาวะสูงสุดพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่านิพพาน หรือธรรมาธิปไตย และรู้แจ้งองค์รวมของกฎธรรมชาติ ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม (Unconditioned thing) กับสภาวะสังขตธรรม (Conditioned things)และรู้ชัดว่าสภาวะอสังขตธรรม หรือสภาวะนิพพาน หรือสภาวะธรรมาธิปไตย เป็นด้านปฐมภูมิ เป็นมูลเหตุวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง อันเป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นสังขตธรรม และเป็นด้านทุติยภูมิ และจะอธิบายขยายความเป็นลำดับไป ดังรูป

คำว่า สัพเพ คือ สรรพสิ่ง หมายความว่า สิ่งทั้งปวงทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม เป็นอนัตตา คือไม่เป็นตัวตน หาความเป็นตัวตนไม่ได้ ไม่อาจจะบังคับให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการได้ สมดังอมตพุทธพจน์ “ธรรมนิยาม”

“สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
สพฺเพ สงฺขารา ทุกขาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
สพฺเพ ธรรมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอสะ มฺคโค วิสุทฺธิยา”

ความว่า “เมื่อใดเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งวิสุทธิ (นิพพาน)” อันเป็นเหตุปัจจัยให้เรามีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ได้เห็นองค์รวมของกฎธรรมชาติดังกล่าวนี้ และสามารถทำให้ได้พบ ได้เห็นความสัมพันธ์ของกฎธรรมชาติในมิติต่างๆ เช่น

1. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า ธรรม หรือกฎธรรมชาติ ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะที่ไม่ตาย (อยู่เหนือกฎไตรลักษณ์) กับ สภาวะที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ กล่าวคือสภาวะอสังขตธรรม เป็นสภาวะที่เหนือกฎไตรลักษณ์ ส่วนสภาวะสังขตธรรม เป็นสภาวะที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด เป็นเช่นนี้อย่างไม่รู้จบ ดังรูป

2. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า กฎธรรมชาติตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย มีลักษณะเป็นด้านเอกภาพ ส่วนสภาวะสังขตธรรม มีลักษณะเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย และเป็นที่มาของหลักเอกภาพ

3. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า กฎธรรมชาติตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย มีลักษณะเป็นด้านปฐมภูมิ (Primary) ส่วนสังขตธรรม มีลักษณะเป็นด้านทุติยภูมิ (Secondary) เราน่าจะเข้าใจชัดแล้วว่า อสังขตธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นมูลเหตุวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง (สังขตธรรม) อันมีลักษณะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปลักษณะหนึ่ง และดำเนินไปอย่างก้าวกระโดดลักษณะหนึ่ง และเป็นที่มาของหลักในการจัดความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ

4. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า ในตัวของท่านเอง และเพื่อนมนุษยชาติทุกคน คือความสัมพันธ์ระหว่าง สภาวะอสังขตธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย กับ สภาวะสังขตธรรม หรือขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) สัจธรรมที่ใหญ่ หรือกฎธรรมชาติ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน อยู่ในตัวของท่านนั่นเอง แต่เหตุที่มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถพบสภาวะอสังขตธรรม หรือนิพพานได้ เป็นเพราะมนุษย์เรายังมีอวิชชา ความไม่รู้จักตนเอง ไม่ได้เรียนรู้ตนเอง ความเพียรยังไม่พอ โอกาสยังไม่อำนวย รวมทั้งสัญชาตญาณ กิเลส ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน มันบดบังอยู่นั่นเอง ดุจก้อนเมฆบังพระจันทร์วันเพ็ญ

5. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม กับ สภาวะสังขตธรรม หรืออีกนัยหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง สภาวะนิพพาน กับ คำสอน 84,000 พระธรรมขันธ์ นั่นเอง

6. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า สภาวะอสังขตธรรม มีลักษณะเป็นกฎทั่วไป (General Law) ส่วนสภาวะสังขตธรรม มีลักษณะเป็นกฎเฉพาะ (Individual Law) อันมีความแตกต่างหลากหลาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างหลากหลาย และเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง หรือเกิดขึ้นด้วยการผสม หรืออาศัยกันเกิดขึ้นอันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา และปฏิจจสมุปบาท

7. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม กับสภาวะสังขตธรรม ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ การดำรงอยู่อย่างดุลยภาพของกฎธรรมชาตินี้ เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในความเป็นไปของสังคมในทุกแง่ทุกมุม ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างหลักการปกครอง กับ วิธีการปกครอง (หมวดและมาตราต่างๆ) จะต้องเป็นไปอย่างดุลยภาพ (นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 เป็นต้นมาประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครองมาก่อนเลย การเมืองของไทยเราจึงได้ล้มเหลวมาตลอด)

8. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า เมื่อเรารู้กฎธรรมชาติแล้ว ลองมองความสัมพันธ์ระหว่างดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ กับ ดาวเคราะห์ จะเห็นได้ว่าดำรงอยู่และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ

9. ขอให้ท่านทั้งหลายมีปัญญารู้แจ้งชัดว่า สภาวะอสังขตธรรม มีลักษณะเป็นอำนาจที่แท้จริงที่ยิ่งใหญ่แผ่กระจาย ขยายกว้างออกไปควบคุม โอบอุ้มส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ส่วนสภาวะสังขตธรรมมีลักษณะวิวัฒนาการทั้งลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดด ก้าวหน้ามุ่งหน้าไปสู่สภาวะอสังขตธรรม อันเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง และเป็นที่มาของการเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และการจัดความสัมพันธ์อย่างเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ที่ได้นำเสนอไปแล้วเป็นลำดับๆ แต่ผู้ปกครองไทยยังไม่เกิดปัญญา ดังนั้นการเมืองไทยก็ต้องล้มเหลวต่อไป อย่างน่าเสียดาย และเสียโอกาสที่ถูกต้องดีงามอันเป็นเหตุ เป็นปัจจัยแห่งความดีงามและความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อย่างมั่นคงของชาติและประชาชน

อีกอย่างหนึ่งพระภิกษุแท้ ย่อมเป็นผู้นำทางสัจธรรม เป็นผู้นำทางจิต มโน วิญญาณ ปัญญา แสงสว่างเพื่อมหาชน และมนุษยชาติ ส่วนภิกษุปลอม มักจะทำแต่เครื่องรางของขลัง จตุคามรามเทพ บ้าๆบอๆ วัตถุมงคลอันจอมปลอมมอมเมาประชาชนผู้ซึ่งอ่อนแออยู่แล้ว กลับทำให้อ่อนแอหนักลงไปอีก และเป็นการสะท้อน แสดงให้เห็นถึงภิกษุทั้งหลาย ที่ทำเครื่องรางของขลัง ไม่ใช่พุทธสาวกที่แท้จริง ปลอมเข้ามาเพื่อหวังลาภ ยศ ตำแหน่งที่โลกหยิบยื่นให้ เพลาๆ กันเสียบ้าง พระผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ทำหน้าที่ เป็นพระผู้ใหญ่ แต่กลับไม่เป็นพระผู้หลัก ไม่ว่าบุคคล ครอบครัว หรือองค์การ องค์กรใดๆ หรือสังคมใดๆ ประเทศใดๆ ก็ตาม ถ้าไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ ย่อมเสื่อมลงแน่นอน เรามาสร้างกระแสของการถือธรรมเป็นใหญ่กันดีกว่า นั่นคือการเจริญรอยตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันยิ่งใหญ่ของชาวโลก (ติดตามตอนที่สามต่อไป การประยุกต์ธรรมเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของชาติและประชาชน)
กำลังโหลดความคิดเห็น