รอง ผบ.ฉก.4 สงขลาสั่งจับตาสมุน 2 รองหัวหน้ากองโจรใต้ “มะรอเซะ กายียุ” หวั่นลอบตอบโต้เจ้าหน้าที่หลังลูกพี่โดนจับกุมตัว พร้อมสั่งเพิ่มกำลังดูแลความปลอดภัยเข้มในช่วงเทศกาลตรุษจีนเดือนกุมภาพันธ์ ด้าน ผอ.ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเผย 2 ใน 7 นักศึกษายะลาที่ถูกจับกุมยอมรับสารภาพเป็นสมาชิกกลุ่มอาร์เคเค ยันเจ้าหน้าที่ไม่ได้ซ้อมและพร้อมให้ความเป้นะรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายมะกอเซ็ง กายียุ และนายมะรอเซะ กายียุ ซึ่งถือเป็นแกนนำระดับมันสมองที่อยู่ระดับบนขององค์กรหรือขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า วานนี้ (3 ก.พ.) พ.อ.(พิเศษ) ประยงค์ กล้าหาญ รอง ผบ.ฉก.4 สงขลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความรัดกุมในการปฏิบัติหน้าที่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเฝ้าระวังการตอบโต้ของสมุนและลูกน้องของรองหัวหน้ากองโจรรายนี้หลังจากที่หัวหน้าของเขาถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ที่สำคัญได้วางแผนปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย โดยเฉพาะ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เนื่องจากเชื่อว่าแนวร่วมกลุ่มผู้ไม่หวังดียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่
“ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะไม่มีการเหวี่ยงแหจับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและสูญเสียมวลชน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมได้เกือบ 100% แล้ว เนื่องจากพวกเขา เกรงกลัวต่อความจริงใจของเจ้าหน้าที่ ที่สามารถดึงแนวร่วมที่เคยหลงผิด กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ และให้ความร่วมมือกับรัฐได้ ซึ่งมีทั้งการแจ้งเบาะแสและรายงานข่าวการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ส่วนนี้นับว่าเป็นยุทธวิธีการรบที่นิ่มนวลแต่ได้ผลดี กระทั่งสามารถควบคุมเหตุรุนแรงไม่ให้บานปลายและสามารถควบคุมตัวรองหัวหน้ากองโจรได้”
ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้นั้น พ.อ.(พิเศษ)ประยงค์ บอกว่า จะมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่คุมเข้มพื้นที่เพิ่มเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะเส้นทางที่เชื่อมต่อกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีการทั้งการตั้งจุดตรวจจุดสกัด วัตถุต้องสงสัยและบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชี เพื่อป้องกันการแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ จ.สงขลา
ด้าน พล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ก็ได้มีการวางมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว โดยมีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดพื้นที่รอบนอกของเมืองหาดใหญ่ ตรวจเข้าค้นพื้นที่หรือแหล่งต้องสงสัยว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมต่างๆ ตลอดจนกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่เดินทางมาเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมทั้งติดตามการข่าวต่างๆ อย่างใกล้ชิดด้วย
ทางด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ส่วนหน้า กล่าวถึงนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลต่างๆ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หลังมีข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะก่อเหตุในแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างสถานการณ์ความเข้าใจผิด และขัดแย้งในกลุ่มของประชาชนผู้นับถือศาสนาต่างกันโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองยะลาที่มีข่าวว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบวางแผนจะเผารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ให้มากที่สุดว่า เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว และขณะนี้ได้มีการควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข่าวนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นนักศึกษาสถานบันแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกันทางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายพลเรือน ก็ได้ทำงานในเชิงรุกมากขึ้นหลังจากที่มีกระแสข่าวดังกล่าว โดยเฉพาะการเข้าพบกับประชาชนในรูปแบบการเคาะประตูบ้านเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนและขอความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสของกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
พ.อ.อัคร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ ฉก.11 ยะลา ควบคุมตัวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา และสถาบันพลศึกษาวิทยาเขตยะลา 7 ราย หลังพบมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมาจนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและองค์การภาคี ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชน ทนายความ และญาติของนักศึกษาที่ถูกจับกุมเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงหากมีการพิสูจน์แล้วว่ากลุ่มนักศึกษาถูกซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพ ภาครัฐจะต้องแสดงความรับผิดชอบเพื่อความเป็นธรรมกับนักศึกษากลุ่มดังกล่าวด้วยว่า กองทัพภาคที่ 4 ยังยึดมั่นในนโยบายที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม
แต่กรณีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ที่มีทั้งพยานและหลักฐานการกระทำผิดชัดเจนก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา 7 คน ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์วิวัฒน์สันติ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งในชั้นการสืบสวนสอบสวน ผู้ต้องหา 2 คนในจำนวนดังกล่าวรับสารภาพว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอาร์เคเค และเคยก่อเหตุความไม่สงบทั้งยิงและลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งได้มีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลาในการนำนักศึกษาสมาชิกอาร์เคเค ทั้ง 2 ราย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว
“เป็นสิทธิของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาฯ ที่ต้องการเรียกร้องให้องค์กรที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบในกรณีดังกล่าว ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 4 พร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ซึ่งอยากจะเตือนไปยังกลุ่มแนวร่วมที่อยู่ในคราบนักศึกษาให้หยุดใช้สถาบันการศึกษาและสถาบันศาสนาเป็นฉากบังหน้าในการกระทำผิด ส่วนในกรณีที่กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาหรือผู้ปกครองของนักศึกษาต้องการร้องเรียนเรื่องราวต่างๆ ที่อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่นั้นสามารถโทรศัพท์สายตรงมายังกองทัพภาคที่ 4 ตามหมายเลขสายด่วน 1341,1881 ได้ เจ้าหน้าที่พร้อมจะให้ความเป็นธรรม หรือให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมต่างๆ และหากต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องหากลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากครบ 72 ชั่วโมงหลังการจับกุม”
นายกฤษฎา บุญราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ยืนยันเช่นกันว่า ภาครัฐพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับนักศึกษาที่ถูกเชิญตัวไปสอบสวนทุกรายและขอให้มั่นใจว่า ทางจังหวัดพร้อมที่จะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมกับทุกคน จึงอยากให้ญาติของนักศึกษาสบายใจได้ และขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทรมานร่างกายและซ้อมนักศึกษาเพื่อให้รับสารภาพ ตามที่มีกลุ่มบุคคลกล่าวอ้างอย่างแน่นอน หรือหากผู้ใดมีหลักฐานหรือมีข้อมูลที่เป็นจริง ก็พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ทันทีเช่นกัน
พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม อดีต รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 และในฐานะประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ เปิดเผยว่า หลังเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มองค์กรนักศึกษากับเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีดังกล่าวข้างต้น สิ่งแรกที่อยากให้ภาครัฐดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือการเข้าเคลียร์ปัญหาและการให้ความกระจ่างชัดแก่สังคม ไม่เช่นนั้นแล้วปัญหาทุกอย่างจะบานปลายออกไปได้
“เท่าที่ผมรับทราบข้อมูลและรายละเอียดในขั้นต้นคือ 1 ในนักศึกษาทั้ง 7 คนที่ถูกควบคุมตัวไปนั้นเคยเป็นแกนนำในการประท้วงที่มัสยิดกลางปัตตานีเมื่อกลางปี 50 ที่ผ่านมาด้วย โดยข้อตกลงหลังการชุมนุมประท้วงในครั้งนั้นยุติคือทหารจะไม่เอาผิดกับนักศึกษาที่เป็นแกนนำ แต่ล่าสุดแกนนำนักศึกษารายดังกล่าวกลับถูกจับกุมพร้อมกับเพื่อนนักศึกษารายอื่นๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้สังคมเข้าใจว่าทหารไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งผมหวั่นว่าการกระทำดังกล่าวจะนำมาสู่ความศรัทธาที่หมองมัวได้ ดังนั้น หากทหารไม่เร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนแล้ว ผมเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสเข้าแย่งชิงมวลชนและรุกงานการเมืองจนประชาชนในพื้นที่ต้องกลับไปให้ความร่วมมือกับกลุ่มก่อความไม่สงบอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภาครัฐค่อนข้างประสบผลสำเร็จในเรื่องนี้มามากแล้ว” พล.ต.ต.จำรูญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 06.00 น. วานนี้ (3 ก.พ.) พ.ต.อ.ปราบพาล มีมงคล ผกก.สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พ.ท.พงษ์สิทธิ์ ขจรกิตติภูมิ ผบ.ฉก.นราธิวาส 36 และ ตชด.447 ได้ร่วมสนธิกำลังจำนวน 200 นาย ใช้กฏอัยการศึกบุกจู่โจม ตรวจค้นแบบปูพรมในพื้นที่หมู่บ้านโต๊ะลือเบ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จำนวน 10 เป้าหมาย หลังสืบทราบมีกลุ่มสมาชิกแนวร่วม RKK ที่มีหมายจับและมีส่วนพัวพันและรู้เห็นกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งได้หลบหนีไปกบดานอาศัยอยู่ในพื้นที่รัฐกลันตันของประเทศมาเลเซีย ได้แฝงตัวกลับมาที่บ้านพัก
ซึ่งผลการตรวจค้นเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว นายยาการียา อาลี อายุ 31 ปี ได้ที่บ้านพักเลขที่ 43 ขณะกำลังวิ่งหลบหนี ออกจากบ้านพัก พร้อมทั้งได้ควบคุมตัวไปทำการตรวจค้นบ้านพัก โดยเจ้าหน้าที่ สามารถตรวจยึดของกลางต่างๆ ได้จำนวนหลายรายการ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็น อุปกรณ์ในการจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง เช่น เอกสารภาษายาวีที่ใช้ในการปลุกระดมมวลชน โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย นาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายยาการียาและของกลางไปทำการสอบสวนในเบื้องต้นที่ สภ.สุไหงโก-ลก ซึ่งจากการตรวจสอบของ เจ้าหน้าที่พบว่า นายยาการียา มีบัญชีรายชื่ออยู่ในทำเนียบของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งมีพฤติกรรมในการปลุกระดมชวนเชื่อเยาวชนและชาวบ้านให้ต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ และมีส่วนพัวพันในการลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก แต่นายยาการียา ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายยาการียา ส่งศูนย์เสริมสร้าง ความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อสอบสวนขยายผลต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายมะกอเซ็ง กายียุ และนายมะรอเซะ กายียุ ซึ่งถือเป็นแกนนำระดับมันสมองที่อยู่ระดับบนขององค์กรหรือขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า วานนี้ (3 ก.พ.) พ.อ.(พิเศษ) ประยงค์ กล้าหาญ รอง ผบ.ฉก.4 สงขลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความรัดกุมในการปฏิบัติหน้าที่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเฝ้าระวังการตอบโต้ของสมุนและลูกน้องของรองหัวหน้ากองโจรรายนี้หลังจากที่หัวหน้าของเขาถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ที่สำคัญได้วางแผนปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย โดยเฉพาะ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เนื่องจากเชื่อว่าแนวร่วมกลุ่มผู้ไม่หวังดียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่
“ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะไม่มีการเหวี่ยงแหจับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและสูญเสียมวลชน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมได้เกือบ 100% แล้ว เนื่องจากพวกเขา เกรงกลัวต่อความจริงใจของเจ้าหน้าที่ ที่สามารถดึงแนวร่วมที่เคยหลงผิด กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ และให้ความร่วมมือกับรัฐได้ ซึ่งมีทั้งการแจ้งเบาะแสและรายงานข่าวการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ส่วนนี้นับว่าเป็นยุทธวิธีการรบที่นิ่มนวลแต่ได้ผลดี กระทั่งสามารถควบคุมเหตุรุนแรงไม่ให้บานปลายและสามารถควบคุมตัวรองหัวหน้ากองโจรได้”
ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้นั้น พ.อ.(พิเศษ)ประยงค์ บอกว่า จะมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่คุมเข้มพื้นที่เพิ่มเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะเส้นทางที่เชื่อมต่อกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีการทั้งการตั้งจุดตรวจจุดสกัด วัตถุต้องสงสัยและบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชี เพื่อป้องกันการแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ จ.สงขลา
ด้าน พล.ต.ต.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ก็ได้มีการวางมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว โดยมีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดพื้นที่รอบนอกของเมืองหาดใหญ่ ตรวจเข้าค้นพื้นที่หรือแหล่งต้องสงสัยว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมต่างๆ ตลอดจนกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่เดินทางมาเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมทั้งติดตามการข่าวต่างๆ อย่างใกล้ชิดด้วย
ทางด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ส่วนหน้า กล่าวถึงนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลต่างๆ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หลังมีข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะก่อเหตุในแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างสถานการณ์ความเข้าใจผิด และขัดแย้งในกลุ่มของประชาชนผู้นับถือศาสนาต่างกันโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองยะลาที่มีข่าวว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบวางแผนจะเผารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ให้มากที่สุดว่า เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว และขณะนี้ได้มีการควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข่าวนี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นนักศึกษาสถานบันแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกันทางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายพลเรือน ก็ได้ทำงานในเชิงรุกมากขึ้นหลังจากที่มีกระแสข่าวดังกล่าว โดยเฉพาะการเข้าพบกับประชาชนในรูปแบบการเคาะประตูบ้านเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนและขอความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสของกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
พ.อ.อัคร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ ฉก.11 ยะลา ควบคุมตัวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา และสถาบันพลศึกษาวิทยาเขตยะลา 7 ราย หลังพบมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมาจนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและองค์การภาคี ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชน ทนายความ และญาติของนักศึกษาที่ถูกจับกุมเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงหากมีการพิสูจน์แล้วว่ากลุ่มนักศึกษาถูกซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพ ภาครัฐจะต้องแสดงความรับผิดชอบเพื่อความเป็นธรรมกับนักศึกษากลุ่มดังกล่าวด้วยว่า กองทัพภาคที่ 4 ยังยึดมั่นในนโยบายที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม
แต่กรณีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ที่มีทั้งพยานและหลักฐานการกระทำผิดชัดเจนก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา 7 คน ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์วิวัฒน์สันติ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งในชั้นการสืบสวนสอบสวน ผู้ต้องหา 2 คนในจำนวนดังกล่าวรับสารภาพว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอาร์เคเค และเคยก่อเหตุความไม่สงบทั้งยิงและลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งได้มีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลาในการนำนักศึกษาสมาชิกอาร์เคเค ทั้ง 2 ราย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว
“เป็นสิทธิของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาฯ ที่ต้องการเรียกร้องให้องค์กรที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบในกรณีดังกล่าว ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 4 พร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ซึ่งอยากจะเตือนไปยังกลุ่มแนวร่วมที่อยู่ในคราบนักศึกษาให้หยุดใช้สถาบันการศึกษาและสถาบันศาสนาเป็นฉากบังหน้าในการกระทำผิด ส่วนในกรณีที่กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาหรือผู้ปกครองของนักศึกษาต้องการร้องเรียนเรื่องราวต่างๆ ที่อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่นั้นสามารถโทรศัพท์สายตรงมายังกองทัพภาคที่ 4 ตามหมายเลขสายด่วน 1341,1881 ได้ เจ้าหน้าที่พร้อมจะให้ความเป็นธรรม หรือให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมต่างๆ และหากต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องหากลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากครบ 72 ชั่วโมงหลังการจับกุม”
นายกฤษฎา บุญราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ยืนยันเช่นกันว่า ภาครัฐพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับนักศึกษาที่ถูกเชิญตัวไปสอบสวนทุกรายและขอให้มั่นใจว่า ทางจังหวัดพร้อมที่จะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมกับทุกคน จึงอยากให้ญาติของนักศึกษาสบายใจได้ และขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทรมานร่างกายและซ้อมนักศึกษาเพื่อให้รับสารภาพ ตามที่มีกลุ่มบุคคลกล่าวอ้างอย่างแน่นอน หรือหากผู้ใดมีหลักฐานหรือมีข้อมูลที่เป็นจริง ก็พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ทันทีเช่นกัน
พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม อดีต รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 และในฐานะประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ เปิดเผยว่า หลังเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มองค์กรนักศึกษากับเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีดังกล่าวข้างต้น สิ่งแรกที่อยากให้ภาครัฐดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือการเข้าเคลียร์ปัญหาและการให้ความกระจ่างชัดแก่สังคม ไม่เช่นนั้นแล้วปัญหาทุกอย่างจะบานปลายออกไปได้
“เท่าที่ผมรับทราบข้อมูลและรายละเอียดในขั้นต้นคือ 1 ในนักศึกษาทั้ง 7 คนที่ถูกควบคุมตัวไปนั้นเคยเป็นแกนนำในการประท้วงที่มัสยิดกลางปัตตานีเมื่อกลางปี 50 ที่ผ่านมาด้วย โดยข้อตกลงหลังการชุมนุมประท้วงในครั้งนั้นยุติคือทหารจะไม่เอาผิดกับนักศึกษาที่เป็นแกนนำ แต่ล่าสุดแกนนำนักศึกษารายดังกล่าวกลับถูกจับกุมพร้อมกับเพื่อนนักศึกษารายอื่นๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้สังคมเข้าใจว่าทหารไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งผมหวั่นว่าการกระทำดังกล่าวจะนำมาสู่ความศรัทธาที่หมองมัวได้ ดังนั้น หากทหารไม่เร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนแล้ว ผมเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสเข้าแย่งชิงมวลชนและรุกงานการเมืองจนประชาชนในพื้นที่ต้องกลับไปให้ความร่วมมือกับกลุ่มก่อความไม่สงบอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภาครัฐค่อนข้างประสบผลสำเร็จในเรื่องนี้มามากแล้ว” พล.ต.ต.จำรูญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 06.00 น. วานนี้ (3 ก.พ.) พ.ต.อ.ปราบพาล มีมงคล ผกก.สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พ.ท.พงษ์สิทธิ์ ขจรกิตติภูมิ ผบ.ฉก.นราธิวาส 36 และ ตชด.447 ได้ร่วมสนธิกำลังจำนวน 200 นาย ใช้กฏอัยการศึกบุกจู่โจม ตรวจค้นแบบปูพรมในพื้นที่หมู่บ้านโต๊ะลือเบ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จำนวน 10 เป้าหมาย หลังสืบทราบมีกลุ่มสมาชิกแนวร่วม RKK ที่มีหมายจับและมีส่วนพัวพันและรู้เห็นกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งได้หลบหนีไปกบดานอาศัยอยู่ในพื้นที่รัฐกลันตันของประเทศมาเลเซีย ได้แฝงตัวกลับมาที่บ้านพัก
ซึ่งผลการตรวจค้นเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว นายยาการียา อาลี อายุ 31 ปี ได้ที่บ้านพักเลขที่ 43 ขณะกำลังวิ่งหลบหนี ออกจากบ้านพัก พร้อมทั้งได้ควบคุมตัวไปทำการตรวจค้นบ้านพัก โดยเจ้าหน้าที่ สามารถตรวจยึดของกลางต่างๆ ได้จำนวนหลายรายการ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็น อุปกรณ์ในการจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง เช่น เอกสารภาษายาวีที่ใช้ในการปลุกระดมมวลชน โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย นาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายยาการียาและของกลางไปทำการสอบสวนในเบื้องต้นที่ สภ.สุไหงโก-ลก ซึ่งจากการตรวจสอบของ เจ้าหน้าที่พบว่า นายยาการียา มีบัญชีรายชื่ออยู่ในทำเนียบของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งมีพฤติกรรมในการปลุกระดมชวนเชื่อเยาวชนและชาวบ้านให้ต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ และมีส่วนพัวพันในการลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก แต่นายยาการียา ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายยาการียา ส่งศูนย์เสริมสร้าง ความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อสอบสวนขยายผลต่อไป