xs
xsm
sm
md
lg

ฤากระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย ?

เผยแพร่:   โดย: ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

อีกไม่นาน เราคงได้เห็นชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

อะไรทำให้ผมเชื่อเช่นนั้น ?

ก็พฤติกรรมของคุณชูวิทย์ แสดงและส่อไปในทางนั้น

คุณชูวิทย์ ออกมาด่าว่า กระแทกคุณบรรหาร ศิลปอาชา รุนแรงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นอกจากจะกล่าวหาว่า ตระบัดสัตย์ โกหก เชื่อไม่ได้ เลื่อนไหล เสียบเพื่อชาติแล้ว ยังนำใบข่อยมาแสดง พร้อมจับปลาไหลมาทำอาหาร

เรียกว่า ตรงใจและได้ใจคนกรุงเทพยิ่งนัก

ผมเองก็ต้องยอมรับว่าสะใจและถูกใจ จนอยากจะลืมอดีตของคุณชูวิทย์

คุณชูวิทย์ เป็นคนเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนกรุงเทพฯ ได้ว่าไม่อยากเห็นพรรคชาติไทย และหัวหน้าพรรคบรรหารไปรวมกับนอมินีของทักษิณ ณ ไทยรักไทย ดูจากคะแนนเลือกตั้งก็มองออก

ด้วยความที่เก่งเรื่องการตลาด การประชาสัมพันธ์ การสร้างมุข สร้างประเด็นให้เป็นข่าว

เรียกรวมๆ ว่า “การขายตัวเองต่อสื่อสารมวลชน”

คุณชูวิทย์ จึงออกมาใช้เทคนิค “ปะทะ” - “ขัดแย้ง” ให้คนดู เพราะรู้ว่าคนไทยชอบดูคนตีกัน แล้วสื่อก็จะรายงานเรื่องคนตีกันให้คนดู เพราะคิดว่าคนไทยชอบดู

คุณชูวิทย์ ก็เลยได้สื่อประชาสัมพันธ์ในช่วงข่าว ช่วงไพร์มไทม์ของโทรทัศน์วิทยุและได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์พร้อมรูป “ชักดาบหั่นปลาไหล” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด

แม้การกระทบกระแทกผู้ใหญ่ขนาดอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างนายบรรหารจะเป็นต้นทุนของนายชูวิทย์อยู่บ้าง แต่เมื่อคำนวณแล้ว คุ้มแสนคุ้ม เพราะหากจะเอาดีทาง “ผู้ว่า กทม.” อย่างที่เคยลงสมัครมาแล้วเมื่อครั้งที่แล้ว ถึงดีกับนายบรรหารและชาติไทยไป ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก

การไม่รักษาสัตย์ ไม่ทำตาม “สัจจะนิยม” ที่หาเสียงไว้ สัญญาไว้ ของพรรคชาติไทย จึงเหมาะที่จะนำนายบรรหารเป็นเป้า เพื่อดึงความสนใจและฟอกตัวเองเป็นผู้ตรวจสอบนอกสภา ให้ดูเป็นคนมีหลักการ มีจุดยืนตรงกับคนกรุงเทพฯ

คุณชูวิทย์ เป็นคนพูดจาเรียบร้อย นุ่มนวล มีมนุษยสัมพันธ์ในยามปกติ แต่คุณชูวิทย์ก็สร้างสีสัน สร้างอารมณ์และสามารถแสดงให้ดูเด่น และสร้างประเด็นข่าวได้ไม่ต่างอะไรกับความสามารถของ “เฉลิม อยู่บำรุง”

สองคนจึงมีความสามารถ เป็นคนสองบุคลิก

แม้คนที่สนิทกับสารวัตรเฉลิม จะมีมากมายหลายคน แต่ก็ไม่มีใครเรียนรู้ และยึดเอา “สารวัตร” เป็นโมเดล เป็นแบบอย่างได้ดีอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์

ลองเปรียบเทียบวิธีพูด ที่ต้องสร้างอารมณ์โกรธ วิธีทำสีหน้า เลิกคิ้ว ทำตาถลน ยกมือ สะบัดมือ รวมทั้งทำน้ำเสียงดุ เฉียบขาด เด็ดเดี่ยว ตายเป็นตาย เพื่อแสดงให้คนเห็นว่ามั่นใจ รวมทั้งการยกมือ สะบัดมือ และเสียงที่ดังผิดปกคิ ของทั้ง “สารวัตรเฉลิม” และ “ผู้ว่าชูวิทย์” ดู จะเห็นความคล้ายกัน ยังกับแกะ 2 ตัว เดินตามกันมา

แกะนะ ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะ

และช่วงหลังๆ ก็ดูเหมือนจะมีแกะอีกหลายตัวพยายามเจริญรอยตาม ดูได้จากการแถลงข่าวของผู้สมัคร ส.ส.พรรคมัชฌิมากลุ่มหนึ่ง ที่มีการนำหม้อมาแปะผ้ายันต์ถ่วงน้ำ ด่าประจานนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ คนเหล่านี้ก็มีการเลียนแบบสีหน้า ท่าทาง ทำตาถลน ทำอารมณ์โกรธ ดุดัน ฟึดฟัด เหมือนต้นแบบอย่างกับแกะ

คุณชูวิทย์ ติดขัดอยู่ก็ตรง “ทุนทางสังคม” ที่ติดลบ เพราะชูวิทย์ คือ เจ้าพ่อในวงการอาบอบนวด คือเจ้าของกิจการสถานบริการ หรือ “ซ่องโสเภณีสมัยใหม่” ที่เคยทำผิดกฎหมาย และต้องติดสินบนตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นสารวัตร สูงกว่า หรือต่ำกว่าสารวัตรมาแล้ว

ถึงกับเคยจดบันทึกว่าจ่ายให้กับตำรวจคนไหน เดือนละเท่าไหร่มาแล้ว

ชูวิทย์จึงคุ้นเคยกับการเก็บประวัติของคนที่สัมพันธ์ด้วย เมื่อชูวิทย์เข้าสู่วงการเมือง สัมพันธ์กับนักการเมือง โดยเฉพาะพรรคชาติไทย ชูวิทย์จึงกำความลับ ล่วงรู้หมดว่าใครทำอะไร ถึงกับประกาศว่า รู้ว่าใครไปหาเมียน้อยหลังเที่ยงคืน

ความรอบรู้ จดจำ และกล้าที่จะนำออกมา “เกทับ บลัพแหลก” เพื่อใช้ต่อรองทางการเมือง ดูให้ดีจะมีความสามารถไม่ต่างกับ “สารวัตร” ผู้เป็นโมเดล หรือแบบอย่างที่ดีของเขา

ถ้าสารวัตรเฉลิม ผู้มีทุนทางสังคมไม่ต่างจากชูวิทย์เท่าใดนัก ยังเป็นใหญ่ได้ ทำไมชูวิทย์จะเป็นใหญ่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ ชูวิทย์ยังไม่เคยได้พูดเหมือนกับคนบางคน เมื่อค่ำคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังทราบว่ามีรัฐประหารว่า “ไอ้ษิณตายแน่” “ไอ้มิ่งตายแน่” และไม่เคยบอกเมียว่า “ไม่ต้องเก็บกระเป๋า งานนี้เราสบาย” ด้วยซ้ำ

คุณชูวิทย์ กล้าพุ่งเป้าไปที่บรรหารและพรรคชาติไทย โดยจำกัดอยู่แค่นั้น ไม่เคยวิพากษ์ “สมัคร” หรือ “ทักษิณ” หรือ “สารวัตรเฉลิม” ชูวิทย์จึงสามารถเรียกคะแนนคนกรุงเทพฯ ได้ โดยไม่ขัดแย้ง ขัดใจ และร่วมงานกับนอมินีทั้งหลายได้อย่างไม่กินแหนงแคลงใจกัน

นี่ก็เป็นความฉลาดอีกอย่างของคนชื่อชูวิทย์

วาระประเทศไทย ยามนี้ จึงน่าสนใจ

นอกจากเราจะได้ประธานรัฐสภา “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แล้ว

วันนี้ บรรดาสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติคงจะเลือก “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกรัฐมนตรี

เดือนกุมภาพันธ์ เราคงจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชื่อ “เฉลิม อยู่บำรุง”

กลางปี เราจะมีผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ชื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์”

และเราอาจจะได้นายกเมืองพัทยา ชื่อ อิทธิพล คุณปลื้ม (ลูกชายกำนันเป๊าะ)

ได้ยินผู้ใหญ่เขาพยากรณ์ว่า ปีนี้ ฝนจะตกหนักเป็นพิเศษ ผู้เลี้ยงสุกรคงต้องทำหลังคากันฝน และหมั่นขจัดเศษอาจมของเสียให้ดี

สิ้นปีนี้ คงต้องร้องเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

“…ผู้มีศีล จะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์ จะตกต่ำต้อย
กระเบื้อง จะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้น จะถอยจม
ผู้มีตระกูล จะสูญเผ่า
เพราะจันทาน มันเข้ามาเสพสม
ผู้มีศีลนั้น จะเสียซึ่งอารมณ์
เพราะสมัคร สมาคมด้วยมารยา…”

กำลังโหลดความคิดเห็น