"สนธิ" แฉพวกสัตว์นรกทำทุกวิถีทาง ใช้ทั้งอำนาจคุณไสย สะกดรูปสะกดรอยเอาเคล็ดงัดหลักฐานล่าสุดสร้าง "พระชินวัตรมุณีปางหน้าเหลี่ยม" ที่วัดบางละมุงเพื่อเพิ่มพลังสกดฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันยังพบรูปหล่อไม่บังควรใต้ฐานพระพุทธรูปสมควรทุบทำลายทิ้ง “แม่น้องโบว์” มอบทนายพันธมิตรฯยื่นฟ้อง รองโฆษก ตร.หมิ่นผู้ตาย ใส่ไคล้ป้ายสีหนีบระเบิดไปชุมนุมจนเสียชีวิต พ่วงด้วยข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 29 ธ.ค.นี้ ด้านพันธมิตรฯนัดดาวกระจาย 30 ต.ค.นี้แจก“ซีดีตำรวจฆ่า ปชช.”ที่เอ็มโพเรียม บุกสถานทูตอังกฤษจี้ส่งตัว “ทักษิณ” กลับมาติดคุกในไทย รวบ 5 นปช.พกน้ำมันใส่แกลลอน-ขวาน-ตีบตบบุกทำเนียบฯ ใช้หนังสติกยิงผู้ชุมนุม-การ์ดอาสาฯ และเด็กจนได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดสารภาพโดนว่าจ้างมา
วานนี้ (28 ต.ค.) เวลา 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้เล่าเรื่องนนทุกภาคที่ 2 ในภาคทศกัณฑ์และพระนารายณ์ในภาคพระราม และเกิดเป็นสงครามครั้งสุดท้าย โดยเปรียบพฤติกรรมของทศกัณฑ์ที่ไม่มีศีลธรรม บ้าอำนาจ บ้าตัณหา เหมือนคนบางคนที่เปลี่ยนดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ
นายสนธิ เล่าเปรียบเทียบว่า ขณะที่พระรามก็มีเหล่าทหารเอกที่เป็นเหล่าเทวดาที่มาเกิดเป็นลิงและรบกับทศกัณฑ์ที่ตอนแรกนึกได้ชัยชนะแล้วหลังจากที่ยิงศรไปทำให้ศรีษะหลุดจากบ่านึกว่าตายไปแล้ว แต่ทศกัณฑ์ยังไม่ตายเพราะถอดหัวใจไปฝากไว้ที่อื่น ซึ่งเหมือนกับกรณียุบพรรคไทยรักไทย นึกว่าสิ้นฤทธิ์ แต่กลับมีพรรคพลังประชาชนขึ้นมาและมียักษ์ตัวใหม่คือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งหนุมาน ที่เป็นทหารเอกใช้วิธีการจนกระทั่งนำหัวใจมาทำลายได้จึงสิ้นฤทธิ์ในที่สุด
จากนั้น นายสนธิ ได้เล่าย้อนอดีตประวัติศาสตร์ในช่วงพระเจ้าตาก สมัยที่ฝ่าวงล้อมข้าศึกนำไพร่พลแค่ 500 คนตีฝ่าออกไปทางตะวันออกบ่ายหน้าไปทางจันทบุรี ระหว่างทางได้รวมรวมไพร่พลที่บางละมุง ชลบุรีและทรงปลูกต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อเป็นหลักของชาติไว้ที่วัดบางละมุง ขณะเดียวกันได้หล่อพระศรีอารยเมตรัยเพื่อเป็นหลักธรรมตั้งตรงกัน แต่ปรากฎว่าเมื่อปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยสร้างพระขึ้นมาใหม่เรียกว่าพระชินวัตรมุณีทรงหน้าเหลี่ยมมาวางเอาไว้ระหว่างกลางเพื่อเอาเคล็ด ขณะเดียวกันได้นำรูปจำลองพระแก้วมรกตซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของพระมหากษัตริย์มาวางไว้ข้างล่างพระชินวัตรมุณี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ นายสนธิ ได้เล่าและชี้ให้เห็นความผิดปกติเหล่านี้ก็ได้แสดงภาพประกอบเป็นหลักฐานพร้อมกันไปด้วย
นอกจากนี้ นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นอีกว่ายังมีการหล่อพระพุทธรูปชินวัตรมุณีองค์ใหญ่ เพื่อรับพลังจากหลักชาติ และใต้ฐานของพระพุทธรูปดังกล่าวยังหล่อเป็นรูปนักการเมืองหลายคน เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเนวิน ชิดชอบ เทพเจ้ากวนอู และรูปของตัวเองในรูปของเศรษฐีมีทรัพย์ และที่น่าสังเกตก็คือมีรูปหล่อที่ลักษณะหมิ่นเหม่ เนื่องจากแต่งองค์ทรงเครื่องผิดไปจากบุคคลทั่วไปซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะรู้เป็นใคร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเอาเคล็ดในลักษะฝังรูปฝังรอย
นายสนธิ กล่าวว่า ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการกระทำอย่างจงใจและเลวมากขอให้พระคุณเจ้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดบางละมุงทุบฐานที่หล่อรูปดังกล่าวทิ้งไป รวมทั้งย้ายพระพุทธรูปชินวัตรมุณีหน้าเหลี่ยมออกไปโดยถ้าเป็นไปได้ให้ย้ายไปที่เชียงใหม่ให้พวกกลุ่มเชียงใหม่ 51 ได้กราบไหว้ก็แล้วกัน
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าใต้ฐานของพระพุทธรูปยังมีตราพระราหูซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของตำรวจ เพื่อให้ตำรวจอยู่ใต้พระชินวัตรมุณีตลอดไป แล้วยังนำลายของเหรียญพิฆาตไพรี ซึ่งเป็นเหรียญที่ปลุกเศกที่เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อมอบให้กับนักรบในสมัยโบราณออกศึก มีเป้าหมายเพื่อเสริมอำนาจของสาวกไปทำลายฝ่ายตรงข้าม
จากนั้น นายสนธิ ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ นายสมชาย และภรรยาและญาติใกล้ชิดไปทำพิธีบวงสรวงที่นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 17 พ.ต.2551 ราว 5 เดือนก่อน ซึ่งขณะที่ไปทำพิธีที่ศาลหลักเมืองก็ได้นำผ้าแพรไปผูกทับกับผ้าแพรที่พระบรมโอรสาธิราชฯทรงผูกเอาไว้เดิม จากนั้นก็ได้ไปทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากที่วัดเขาพนม โดยมีการยิงปืน 21 นัดเหมือนกับพิธีของพระมหากษัตริย์ และต่อมาเมื่อวันที่ 21 เดือนเดียวกันก็บังเอิญเกิดเหตุการณ์ทุบเทวรูปและย้ายศิวลึงก์ที่ปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าต้องการทำลายอำนาจของพระอาทิตย์และเอาเคล็ดบางอย่าง
ในตอนท้าย นายสนธิ ย้ำว่า การสู้กับพวกสัตว์นรกพวกนี้ต้องสู้ทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องสู้เพราะเป็นเรื่องของชาติและราชบัลลังก์
**แม่น้องโบว์ฟ้องรองโฆษกตร.หมิ่นผู้ตาย
วันเดียวกัน ในเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับมอบอำนาจจากนางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ ”น้องโบว์” อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายโดยแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีผู้ตายว่า “สำหรับการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากใบชันสูตรพบว่าซี่โครงบริเวณด้านซ้ายหักทุกซี่ น่าจะเกิดจากการหนีบระเบิด หรือมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าที่หนีบมา บาดแผลเกินกว่าที่อาวุธของเจ้าหน้าที่มีอยู่”
ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วผู้ตายมีแผลขนาดใหญ่ เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ซึ่ง ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี๋ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา ยืนยันว่าลักษณะบาดแผลของผู้ตายเกิดจากเป็นบาดแผลไม่เรียบ เกิดจากความแข็งมีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด เกิดจากระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้อยเป็นแนวยาว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดติดตัว
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายผู้ตายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอนและเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา
นอกจากนี้ จำเลยในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเจ้าพนักงาน ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่ 3 จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
**พธม.จวกตร.วิสามัญการ์ดอาสา
เวลา 10.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมแถลงข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดยนายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นายสมชาย ศรีประจักษ์ การ์ดอาสาพันธมิตรฯว่า ตำรวจได้กล่าวหาว่า นายสมชาย พกยาเสพติด จึงได้ทำการวิสามัญ ทั้งๆที่นายสมชาย ไม่ได้พกอาวุธแต่อย่างใดจึงแสดงให้เห็นว่า ตำรวจใช้อำนาจที่ป่าเถื่อน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบจึงต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาลให้ถึงที่สุด
พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่านายสมชาย จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิทำการวิสามัญ ทำไมไม่มีการออกหมายจับก่อนเพื่อสอบสวนในชั้นศาล ขืนยังปล่อยเรื่องนี้ไปบ้านเมืองก็แย่แน่ ทางพันธมิตรฯ จึงนิ่งนอนใจไม่ได้ จึงไปสอบถามกับประชาชนที่อยู่ และรู้จักกับผู้ตาย
ขณะที่นายพิภพ กล่าวว่า การวิสามัญนายสมชาย ครั้งนี้ เป็นการฆ่าคนที่มีส่วนร่วมกับพันธมิตรฯพร้อมที่จะตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและไม่ว่า นายสมชาย จะมียาเสพติดครอบครองหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ควรวิสามัญเหมือนกันกรณีที่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่ได้สั่งฆ่าตัดตอนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ทั้งนี้ ยังตั้งข้อสงสัยว่า การเสียชีวิตดังกล่าว เป็นเพราะนายสมชาย มาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯหรือไม่ เพราะเท่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามคุกคาม และข่มขู่ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ที่โรงพยาบาล ทางพันธมิตรฯ จึงมอบหมายให้ทนายจัดการเรื่องการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะว่าให้ผู้บาดเจ็บไปให้ปากคำ อาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาแทนได้ ดังนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควรออกมาแถลงข่าวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน
**พธม.นัด30ต.ค.บุกสถานทูตผูดี
พล.ต.จำลอง กล่าวถึงแนวทางการเจรจา 4 ฝ่าย ประกอบด้วยพันธมิตรฯ, ฝ่ายค้าน, รัฐบาล และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า ถ้ามีใครมาเจรจาตอนนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของพันธมิตรฯเท่านั้น ซึ่งการเจรจาครั้งนี้กลุ่ม นปช.ไม่เกี่ยวกัน เพราะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวัตถุประสงค์ของพันธมิตรฯ โดยในขณะนี้น่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่า ที่จะเป็นผู้ที่มาเจรจากับพันธมิตรฯ ส่วนการเสวนาที่นักวิชาการเสนอมานั้นตนคิดว่าถ้ามีการเสวนาแล้วเกิดผล พันธมิตรฯก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเช่นนี้
"ถ้ามีการเสวนาแล้วมันแก้วิกฤตได้เราจะมาบ้า มาโง่ทำไม และมากินมานอนอยู่อย่างนี้ทำไม หากการเสวนาได้ผล เราพร้อมทำทันที" พล.ต.จำลองกล่าว
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค.นี้ทางพันธมิตรฯจะเคลื่อนขบวนตามยุทธศาสตร์ดาวกระจายเพื่อแจกซีดีตำรวจทำร้ายประชาชน เวลา 10.00 น. ตั้งแต่สถานทูตอังกฤษ ไปตามถนนสุขุมวิท จนถึงห้างดิเอ็มโพเรียม โดยจะไปยื่นหนังสือที่สถานฑูตอังกฤษ เพื่อขอให้ประเทศอังกฤษ เร่งพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน (พ.ต.ท.ทักษิณ) กลับมายังประเทศไทย
ส่วนจะมีการเปิดเส้นทางการจราจรรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาลหรือไม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน เนื่องจากพันธมิตรฯ มีความจำเป็นที่ต้องชุมนุมต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนก็เห็นใจการจราจรเพราะทำให้รถติด แต่เมื่อเทียบกันแล้วกับการแก้ไขปัญหาของวิกฤติชาติ เราต้องเลือกที่จะเสียสละ ทั้งนี้ การชุมนุมของพันธมิตรฯผ่านมาถึง 150 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมต้องอยู่ในทำเนียบรัฐบาลอย่างยากลำบาก ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่ที่ทำอย่างนี้ก็ทำเพื่อประเทศ
"หากพันธมิตรฯ มีการเปิดเส้นทางรอบทำเนียบฯเมื่อเกิดปัญหา หรือมีการบุกรุกเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม ถามว่าใครจะมาปกป้อง และรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นสังคมต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้การเดินทางมาเรียนของนักเรียนจะยากขึ้น แต่ก็เป็นการเสียสละที่งดงาม ซึ่งผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ต้องเข้าใจ" พล.ต.จำลอง กล่าว และว่า หากมีการเปิดเส้นทางการจราจร แล้วมีผู้เข้ารับผิดชอบและดูแลความปลอดภัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างจริงจัง ตนก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยอมเปิดเส้นทางเพื่อการจราจร
**รวบ5นปช.บุกทำเนียบป่วน พธม.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เวลาประมาณ 13.30 น.วันเดียวกันได้เกิดเหตุที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าโรงเรียนพานิชยการพระนคร ถนนพิษณุโลก เมื่อมีกลุ่ม นปช.ประมาณ 10 คน สวมเสื้อสีแดงสกรีนด้านหน้าว่า “ชอบสมัคร รักทักษิณ” และพกบัตรแขวนไว้ที่คอโดยมีข้อความว่า “กลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย” และโพกผ้าสีแดง ถือธงสีแดง โดยมีข้อความระบุว่า “ความจริงวันนี้” ได้นั่งบนรถกระบะ ทะเบียน กฉ 3230 กทม. ติดตั้งเครื่องขยายเสียง เข้ามาก่อกวนด้วยการยิงหนังสติกเข้ามาในบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพลาดไปโดนคอเด็กชายที่เข้ามาขายพวงมาลัยให้กับผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งผู้ปกครองได้นำตัวเด็กชายคนดังกล่าวส่งโรงพยาบาล
จากนั้น กลุ่มพันธมิตรฯได้ตอบโต้โดยการยิงหนังสติกเข้าใส่รถคันดังกล่าวจนทำให้รถได้รับความเสียหายกระจกรถบริเวณด้านหน้าและด้านข้างแตก ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯได้สกัดจับรถดังกล่าวได้บริเวณแยกสนามม้านางเลิ้ง โดยกลุ่ม นปช.ที่เป็นวัยรุ่นประมาณ 5 คนได้วิ่งหนีเข้าไปในสนามม้า ส่วนคนที่อยู่ในรถซึ่งส่วนผู้ใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ชาย 1 คน หญิง 4 คนได้ถูกการ์ดพันธมิตรฯ เข้าล็อกตัวและยึดรถเอาไว้ พร้อมกับนำตัวมาสอบสวนที่ สน.พันธมิตรฯ คือ 1.นายวิเชียร จรุงกิจอนันต์ อายุ 66 ปี พักอยู่ที่ซอยจรัลสนิทวงศ์ 25 เขต บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 2.นางสาวระ ฝาชัยภูมิ พักอยู่ที่เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 3.น.ส.สุนันท์ มณีรัตน์ เป็นชาว อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 4.นางนะนิตย์ นามนู อายุ 70 ปี เป็นชาว อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และ 5.นางสมบัติ ขยันชุมนุม เป็นชาว อ.เนินสง่า จ.ชัยภูมิ
จากการตรวจสอบภายในรถกระบะคันดังกล่าว พบว่ามีน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ขวาน 1 ด้าม ตีบตบ 4 อัน หนังสติกพร้อมก้อนหิน ผ้าพันคอสีแดง หมวกสีแดง และหมวกสีขาวที่มีข้อความ “กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” รวมไปถึงธงสีแดง ที่สกรีนข้อความ “รายการความจริงวันนี้” อยู่ด้วย ทั้งนี้ จากการสอบสวน นปช. ทั้งหมดต่างสารภาพตรงกันว่า ได้รับการว่าจ้างมา หลังจากนั้นทาง สน.พันธมิตรฯได้ประสานงานไปทาง พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง ให้มารับตัวไปบันทึกประจำวันและดำเนินคดีที่ สน.นางเลิ้งต่อไป
**”ชี้จับ นปช.ชิมลางป่วนก่อน1พ.ย.
ต่อมาเวลา 19.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีที่จะมีการออกใบอนุญาตให้พกพาอาวุธในที่ชุมนุมได้ว่า คงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมติของแกนนำนั้นไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธโดยเฉพาะปืน แต่ที่ตนเคยชี้แจงไปก่อนหน้านั้น หมายถึงเฉพาะผู้ที่ติดตามแกนนำ ซึ่งมีใบอนุญาตถูกต้องจากกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า ไม่ใช่การถือวิสาสะออกใบอนุญาตให้พกพาอาวุธได้ และยืนยันว่า อาวุธทุกชนิดจะไม่ให้มีในที่ชุมนุม ส่วนไม้ที่เราเห็นกันนั้นอยากให้เรียกว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัว ป้องกันมวลชนอาจถูกอีกฝ่ายหนึ่งโจมตี เพราะ นปช.ทุกครั้งที่มาก่อกวนหรือมาหาเรื่องมักจะมีอาวุธทุกชนิด ทั้งมีด ทั้งปืน หรือหนังสติก และล่าสุด ทราบว่ามีน้ำกรดด้วย
ส่วนการจับกุม นปช.ได้นั้นนายสุริยะใส กล่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เท่าที่สอบถามจากเจ้าหน้าที่และฟังคำให้การของกลุ่ม นปช.นั้น ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือพลัดหลงมานั้น แต่การมาในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นมิตร เพราะมีทั้งน้ำมันเบนซิน และตีนตบ รวมทั้งหนังสติก ดังนั้น เมื่อเราพบตัวก็ต้องนำมาสอบสวน แล้วจึงปล่อยตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไป ยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่คนของเราถูกหนังสติกยิงเข้าที่คอ
“พันธมิตรฯมีการประสานกับ สน.ดุสิต กับ สน.นางเลิ้ง ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อจับตัวคนต้องสงได้ก็จะสอบสวนเบื้องต้นเพื่อบันทึกคำให้การ จากนั้นก็จะแจ้งให้ตำรวจมารับตัวไปทุกราย แม้กระทั้งกรณีของผู้ต้องสงสัยที่พกพาอาวุธ ลักเล็กขโมยน้อย หรือมาหาเรื่องก่อกวนเราก็ส่งตัวให้ตำรวจ นอกจากนี้ยังทราบมาว่า ส.ส. พรรคพลังประชาชน ในภาคเหนือและอีสาน มีความพยายามรวบรวมประชาชนให้ได้พื้นที่ละ 1,500-2,000 คน ดังนั้น เชื่อว่า ในวันที่ 1 พ.ย.จะไม่ใช่การชุมนุมแล้วกลับอย่างแน่นอน อาจจะมีหน่วยจัดตั้งเข้ามาก่อกวนได้ตลอดเวลา” นายสุริยใส กล่าว
วานนี้ (28 ต.ค.) เวลา 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้เล่าเรื่องนนทุกภาคที่ 2 ในภาคทศกัณฑ์และพระนารายณ์ในภาคพระราม และเกิดเป็นสงครามครั้งสุดท้าย โดยเปรียบพฤติกรรมของทศกัณฑ์ที่ไม่มีศีลธรรม บ้าอำนาจ บ้าตัณหา เหมือนคนบางคนที่เปลี่ยนดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ
นายสนธิ เล่าเปรียบเทียบว่า ขณะที่พระรามก็มีเหล่าทหารเอกที่เป็นเหล่าเทวดาที่มาเกิดเป็นลิงและรบกับทศกัณฑ์ที่ตอนแรกนึกได้ชัยชนะแล้วหลังจากที่ยิงศรไปทำให้ศรีษะหลุดจากบ่านึกว่าตายไปแล้ว แต่ทศกัณฑ์ยังไม่ตายเพราะถอดหัวใจไปฝากไว้ที่อื่น ซึ่งเหมือนกับกรณียุบพรรคไทยรักไทย นึกว่าสิ้นฤทธิ์ แต่กลับมีพรรคพลังประชาชนขึ้นมาและมียักษ์ตัวใหม่คือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งหนุมาน ที่เป็นทหารเอกใช้วิธีการจนกระทั่งนำหัวใจมาทำลายได้จึงสิ้นฤทธิ์ในที่สุด
จากนั้น นายสนธิ ได้เล่าย้อนอดีตประวัติศาสตร์ในช่วงพระเจ้าตาก สมัยที่ฝ่าวงล้อมข้าศึกนำไพร่พลแค่ 500 คนตีฝ่าออกไปทางตะวันออกบ่ายหน้าไปทางจันทบุรี ระหว่างทางได้รวมรวมไพร่พลที่บางละมุง ชลบุรีและทรงปลูกต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อเป็นหลักของชาติไว้ที่วัดบางละมุง ขณะเดียวกันได้หล่อพระศรีอารยเมตรัยเพื่อเป็นหลักธรรมตั้งตรงกัน แต่ปรากฎว่าเมื่อปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยสร้างพระขึ้นมาใหม่เรียกว่าพระชินวัตรมุณีทรงหน้าเหลี่ยมมาวางเอาไว้ระหว่างกลางเพื่อเอาเคล็ด ขณะเดียวกันได้นำรูปจำลองพระแก้วมรกตซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของพระมหากษัตริย์มาวางไว้ข้างล่างพระชินวัตรมุณี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ นายสนธิ ได้เล่าและชี้ให้เห็นความผิดปกติเหล่านี้ก็ได้แสดงภาพประกอบเป็นหลักฐานพร้อมกันไปด้วย
นอกจากนี้ นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นอีกว่ายังมีการหล่อพระพุทธรูปชินวัตรมุณีองค์ใหญ่ เพื่อรับพลังจากหลักชาติ และใต้ฐานของพระพุทธรูปดังกล่าวยังหล่อเป็นรูปนักการเมืองหลายคน เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเนวิน ชิดชอบ เทพเจ้ากวนอู และรูปของตัวเองในรูปของเศรษฐีมีทรัพย์ และที่น่าสังเกตก็คือมีรูปหล่อที่ลักษณะหมิ่นเหม่ เนื่องจากแต่งองค์ทรงเครื่องผิดไปจากบุคคลทั่วไปซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะรู้เป็นใคร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเอาเคล็ดในลักษะฝังรูปฝังรอย
นายสนธิ กล่าวว่า ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการกระทำอย่างจงใจและเลวมากขอให้พระคุณเจ้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดบางละมุงทุบฐานที่หล่อรูปดังกล่าวทิ้งไป รวมทั้งย้ายพระพุทธรูปชินวัตรมุณีหน้าเหลี่ยมออกไปโดยถ้าเป็นไปได้ให้ย้ายไปที่เชียงใหม่ให้พวกกลุ่มเชียงใหม่ 51 ได้กราบไหว้ก็แล้วกัน
นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าใต้ฐานของพระพุทธรูปยังมีตราพระราหูซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของตำรวจ เพื่อให้ตำรวจอยู่ใต้พระชินวัตรมุณีตลอดไป แล้วยังนำลายของเหรียญพิฆาตไพรี ซึ่งเป็นเหรียญที่ปลุกเศกที่เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อมอบให้กับนักรบในสมัยโบราณออกศึก มีเป้าหมายเพื่อเสริมอำนาจของสาวกไปทำลายฝ่ายตรงข้าม
จากนั้น นายสนธิ ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ นายสมชาย และภรรยาและญาติใกล้ชิดไปทำพิธีบวงสรวงที่นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 17 พ.ต.2551 ราว 5 เดือนก่อน ซึ่งขณะที่ไปทำพิธีที่ศาลหลักเมืองก็ได้นำผ้าแพรไปผูกทับกับผ้าแพรที่พระบรมโอรสาธิราชฯทรงผูกเอาไว้เดิม จากนั้นก็ได้ไปทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากที่วัดเขาพนม โดยมีการยิงปืน 21 นัดเหมือนกับพิธีของพระมหากษัตริย์ และต่อมาเมื่อวันที่ 21 เดือนเดียวกันก็บังเอิญเกิดเหตุการณ์ทุบเทวรูปและย้ายศิวลึงก์ที่ปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าต้องการทำลายอำนาจของพระอาทิตย์และเอาเคล็ดบางอย่าง
ในตอนท้าย นายสนธิ ย้ำว่า การสู้กับพวกสัตว์นรกพวกนี้ต้องสู้ทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องสู้เพราะเป็นเรื่องของชาติและราชบัลลังก์
**แม่น้องโบว์ฟ้องรองโฆษกตร.หมิ่นผู้ตาย
วันเดียวกัน ในเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับมอบอำนาจจากนางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ ”น้องโบว์” อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายโดยแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีผู้ตายว่า “สำหรับการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากใบชันสูตรพบว่าซี่โครงบริเวณด้านซ้ายหักทุกซี่ น่าจะเกิดจากการหนีบระเบิด หรือมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าที่หนีบมา บาดแผลเกินกว่าที่อาวุธของเจ้าหน้าที่มีอยู่”
ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วผู้ตายมีแผลขนาดใหญ่ เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ซึ่ง ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี๋ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา ยืนยันว่าลักษณะบาดแผลของผู้ตายเกิดจากเป็นบาดแผลไม่เรียบ เกิดจากความแข็งมีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด เกิดจากระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้อยเป็นแนวยาว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดติดตัว
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายผู้ตายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอนและเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา
นอกจากนี้ จำเลยในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเจ้าพนักงาน ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่ 3 จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
**พธม.จวกตร.วิสามัญการ์ดอาสา
เวลา 10.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมแถลงข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดยนายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นายสมชาย ศรีประจักษ์ การ์ดอาสาพันธมิตรฯว่า ตำรวจได้กล่าวหาว่า นายสมชาย พกยาเสพติด จึงได้ทำการวิสามัญ ทั้งๆที่นายสมชาย ไม่ได้พกอาวุธแต่อย่างใดจึงแสดงให้เห็นว่า ตำรวจใช้อำนาจที่ป่าเถื่อน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบจึงต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาลให้ถึงที่สุด
พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่านายสมชาย จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิทำการวิสามัญ ทำไมไม่มีการออกหมายจับก่อนเพื่อสอบสวนในชั้นศาล ขืนยังปล่อยเรื่องนี้ไปบ้านเมืองก็แย่แน่ ทางพันธมิตรฯ จึงนิ่งนอนใจไม่ได้ จึงไปสอบถามกับประชาชนที่อยู่ และรู้จักกับผู้ตาย
ขณะที่นายพิภพ กล่าวว่า การวิสามัญนายสมชาย ครั้งนี้ เป็นการฆ่าคนที่มีส่วนร่วมกับพันธมิตรฯพร้อมที่จะตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและไม่ว่า นายสมชาย จะมียาเสพติดครอบครองหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ควรวิสามัญเหมือนกันกรณีที่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่ได้สั่งฆ่าตัดตอนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ทั้งนี้ ยังตั้งข้อสงสัยว่า การเสียชีวิตดังกล่าว เป็นเพราะนายสมชาย มาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯหรือไม่ เพราะเท่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามคุกคาม และข่มขู่ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ที่โรงพยาบาล ทางพันธมิตรฯ จึงมอบหมายให้ทนายจัดการเรื่องการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะว่าให้ผู้บาดเจ็บไปให้ปากคำ อาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาแทนได้ ดังนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ควรออกมาแถลงข่าวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน
**พธม.นัด30ต.ค.บุกสถานทูตผูดี
พล.ต.จำลอง กล่าวถึงแนวทางการเจรจา 4 ฝ่าย ประกอบด้วยพันธมิตรฯ, ฝ่ายค้าน, รัฐบาล และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า ถ้ามีใครมาเจรจาตอนนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของพันธมิตรฯเท่านั้น ซึ่งการเจรจาครั้งนี้กลุ่ม นปช.ไม่เกี่ยวกัน เพราะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวัตถุประสงค์ของพันธมิตรฯ โดยในขณะนี้น่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่า ที่จะเป็นผู้ที่มาเจรจากับพันธมิตรฯ ส่วนการเสวนาที่นักวิชาการเสนอมานั้นตนคิดว่าถ้ามีการเสวนาแล้วเกิดผล พันธมิตรฯก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเช่นนี้
"ถ้ามีการเสวนาแล้วมันแก้วิกฤตได้เราจะมาบ้า มาโง่ทำไม และมากินมานอนอยู่อย่างนี้ทำไม หากการเสวนาได้ผล เราพร้อมทำทันที" พล.ต.จำลองกล่าว
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค.นี้ทางพันธมิตรฯจะเคลื่อนขบวนตามยุทธศาสตร์ดาวกระจายเพื่อแจกซีดีตำรวจทำร้ายประชาชน เวลา 10.00 น. ตั้งแต่สถานทูตอังกฤษ ไปตามถนนสุขุมวิท จนถึงห้างดิเอ็มโพเรียม โดยจะไปยื่นหนังสือที่สถานฑูตอังกฤษ เพื่อขอให้ประเทศอังกฤษ เร่งพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน (พ.ต.ท.ทักษิณ) กลับมายังประเทศไทย
ส่วนจะมีการเปิดเส้นทางการจราจรรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาลหรือไม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน เนื่องจากพันธมิตรฯ มีความจำเป็นที่ต้องชุมนุมต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนก็เห็นใจการจราจรเพราะทำให้รถติด แต่เมื่อเทียบกันแล้วกับการแก้ไขปัญหาของวิกฤติชาติ เราต้องเลือกที่จะเสียสละ ทั้งนี้ การชุมนุมของพันธมิตรฯผ่านมาถึง 150 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมต้องอยู่ในทำเนียบรัฐบาลอย่างยากลำบาก ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่ที่ทำอย่างนี้ก็ทำเพื่อประเทศ
"หากพันธมิตรฯ มีการเปิดเส้นทางรอบทำเนียบฯเมื่อเกิดปัญหา หรือมีการบุกรุกเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม ถามว่าใครจะมาปกป้อง และรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นสังคมต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้การเดินทางมาเรียนของนักเรียนจะยากขึ้น แต่ก็เป็นการเสียสละที่งดงาม ซึ่งผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ต้องเข้าใจ" พล.ต.จำลอง กล่าว และว่า หากมีการเปิดเส้นทางการจราจร แล้วมีผู้เข้ารับผิดชอบและดูแลความปลอดภัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างจริงจัง ตนก็ยินดีให้ความร่วมมือ และยอมเปิดเส้นทางเพื่อการจราจร
**รวบ5นปช.บุกทำเนียบป่วน พธม.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เวลาประมาณ 13.30 น.วันเดียวกันได้เกิดเหตุที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าโรงเรียนพานิชยการพระนคร ถนนพิษณุโลก เมื่อมีกลุ่ม นปช.ประมาณ 10 คน สวมเสื้อสีแดงสกรีนด้านหน้าว่า “ชอบสมัคร รักทักษิณ” และพกบัตรแขวนไว้ที่คอโดยมีข้อความว่า “กลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย” และโพกผ้าสีแดง ถือธงสีแดง โดยมีข้อความระบุว่า “ความจริงวันนี้” ได้นั่งบนรถกระบะ ทะเบียน กฉ 3230 กทม. ติดตั้งเครื่องขยายเสียง เข้ามาก่อกวนด้วยการยิงหนังสติกเข้ามาในบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพลาดไปโดนคอเด็กชายที่เข้ามาขายพวงมาลัยให้กับผู้ชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งผู้ปกครองได้นำตัวเด็กชายคนดังกล่าวส่งโรงพยาบาล
จากนั้น กลุ่มพันธมิตรฯได้ตอบโต้โดยการยิงหนังสติกเข้าใส่รถคันดังกล่าวจนทำให้รถได้รับความเสียหายกระจกรถบริเวณด้านหน้าและด้านข้างแตก ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯได้สกัดจับรถดังกล่าวได้บริเวณแยกสนามม้านางเลิ้ง โดยกลุ่ม นปช.ที่เป็นวัยรุ่นประมาณ 5 คนได้วิ่งหนีเข้าไปในสนามม้า ส่วนคนที่อยู่ในรถซึ่งส่วนผู้ใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ชาย 1 คน หญิง 4 คนได้ถูกการ์ดพันธมิตรฯ เข้าล็อกตัวและยึดรถเอาไว้ พร้อมกับนำตัวมาสอบสวนที่ สน.พันธมิตรฯ คือ 1.นายวิเชียร จรุงกิจอนันต์ อายุ 66 ปี พักอยู่ที่ซอยจรัลสนิทวงศ์ 25 เขต บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 2.นางสาวระ ฝาชัยภูมิ พักอยู่ที่เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 3.น.ส.สุนันท์ มณีรัตน์ เป็นชาว อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 4.นางนะนิตย์ นามนู อายุ 70 ปี เป็นชาว อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และ 5.นางสมบัติ ขยันชุมนุม เป็นชาว อ.เนินสง่า จ.ชัยภูมิ
จากการตรวจสอบภายในรถกระบะคันดังกล่าว พบว่ามีน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ขวาน 1 ด้าม ตีบตบ 4 อัน หนังสติกพร้อมก้อนหิน ผ้าพันคอสีแดง หมวกสีแดง และหมวกสีขาวที่มีข้อความ “กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” รวมไปถึงธงสีแดง ที่สกรีนข้อความ “รายการความจริงวันนี้” อยู่ด้วย ทั้งนี้ จากการสอบสวน นปช. ทั้งหมดต่างสารภาพตรงกันว่า ได้รับการว่าจ้างมา หลังจากนั้นทาง สน.พันธมิตรฯได้ประสานงานไปทาง พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง ให้มารับตัวไปบันทึกประจำวันและดำเนินคดีที่ สน.นางเลิ้งต่อไป
**”ชี้จับ นปช.ชิมลางป่วนก่อน1พ.ย.
ต่อมาเวลา 19.00 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีที่จะมีการออกใบอนุญาตให้พกพาอาวุธในที่ชุมนุมได้ว่า คงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมติของแกนนำนั้นไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธโดยเฉพาะปืน แต่ที่ตนเคยชี้แจงไปก่อนหน้านั้น หมายถึงเฉพาะผู้ที่ติดตามแกนนำ ซึ่งมีใบอนุญาตถูกต้องจากกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า ไม่ใช่การถือวิสาสะออกใบอนุญาตให้พกพาอาวุธได้ และยืนยันว่า อาวุธทุกชนิดจะไม่ให้มีในที่ชุมนุม ส่วนไม้ที่เราเห็นกันนั้นอยากให้เรียกว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัว ป้องกันมวลชนอาจถูกอีกฝ่ายหนึ่งโจมตี เพราะ นปช.ทุกครั้งที่มาก่อกวนหรือมาหาเรื่องมักจะมีอาวุธทุกชนิด ทั้งมีด ทั้งปืน หรือหนังสติก และล่าสุด ทราบว่ามีน้ำกรดด้วย
ส่วนการจับกุม นปช.ได้นั้นนายสุริยะใส กล่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เท่าที่สอบถามจากเจ้าหน้าที่และฟังคำให้การของกลุ่ม นปช.นั้น ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือพลัดหลงมานั้น แต่การมาในลักษณะอย่างนี้ไม่เป็นมิตร เพราะมีทั้งน้ำมันเบนซิน และตีนตบ รวมทั้งหนังสติก ดังนั้น เมื่อเราพบตัวก็ต้องนำมาสอบสวน แล้วจึงปล่อยตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไป ยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่คนของเราถูกหนังสติกยิงเข้าที่คอ
“พันธมิตรฯมีการประสานกับ สน.ดุสิต กับ สน.นางเลิ้ง ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อจับตัวคนต้องสงได้ก็จะสอบสวนเบื้องต้นเพื่อบันทึกคำให้การ จากนั้นก็จะแจ้งให้ตำรวจมารับตัวไปทุกราย แม้กระทั้งกรณีของผู้ต้องสงสัยที่พกพาอาวุธ ลักเล็กขโมยน้อย หรือมาหาเรื่องก่อกวนเราก็ส่งตัวให้ตำรวจ นอกจากนี้ยังทราบมาว่า ส.ส. พรรคพลังประชาชน ในภาคเหนือและอีสาน มีความพยายามรวบรวมประชาชนให้ได้พื้นที่ละ 1,500-2,000 คน ดังนั้น เชื่อว่า ในวันที่ 1 พ.ย.จะไม่ใช่การชุมนุมแล้วกลับอย่างแน่นอน อาจจะมีหน่วยจัดตั้งเข้ามาก่อกวนได้ตลอดเวลา” นายสุริยใส กล่าว