ผู้จัดการออนไลน์ – “ชูวิทย์” แถลงข่าวยืดอกรับผิด ยืนยันจงใจศอกที่หน้า และกระทืบที่ปาก แต่พลาดไปโดนต้นคอ อ้างรับไม่ได้ถูกว่า “ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ออกอากาศ โต้ “วิศาล” ไร้จรรยาบรรณเอาเรื่องหลังฉากมาพูดหน้าฉาก ปัดไม่สู้คดีเพราะเสียค่าปรับแค่พันเดียว ยืนยันไม่เปลี่ยนนิสัย ใครอยากจะเลือก-ไม่เลือกก็แล้วแต่
จากกรณีที่วันนี้ (2 ต.ค.) เกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันขึ้นที่ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 โดยผู้เสียหายคือ นายวิศาล ดิลกวณิช พิธีกรรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ต่อมานายชูวิทย์ ได้เปิดแถลงข่าวโดยระบุว่าตนตั้งใจทำร้ายร่างกาย นายวิศาล ดิลกวณิชจริง ทั้งนี้เนื้อหาของการแถลงข่าวมีดังนี้
“ผมยอมรับผิดในสิ่งที่ผมทำ ... ผมไม่ได้ทำอย่างนี้มานานแล้ว สามสิบปีแล้ว แล้วผมบอกว่านี่คือตัวตนของผม ผมเป็นชูวิทย์ ผมเป็นอย่างนี้ แล้วผมไม่เปลี่ยนด้วย ผมยืนยันว่าจะสมาคมสื่อฯ หรือใครก็แล้วแต่ สื่อเองก็ต้องมีจรรยาบรรณเหมือนกัน คุณเป็นพิธีกรคุณต้องให้เกียรติผม ผมให้เกียรติคุณ คุณถามกวนผม ผมก็กวนคุณกลับ
“ผมไม่ได้หมายความคุณเป็นพิธีกรแล้วคุณจะทำอะไรก็ได้ คุณจะไม่ได้เกียรติคนที่ไป คุณจะให้ผมเป็นลูกไล่คุณ ดังนั้นวันนี้กองบรรณาธิการช่อง 3 ผมขอโทษ สื่อต่างๆ ผมขอโทษ สิ่งที่ผมกระทำกับคุณวิศาล ผมขอโทษ ผมทนไม่ไหว ผมยอมรับ แต่สิ่งที่คุณวิศาลทำกับผมก็ไม่ถูกต้อง คุณไม่มีมารยาท ไม่มีจรรยาบรรณของสื่อเช่นกัน ที่คุณไปถามผมบนเวทีว่าอย่างงี้คุณก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายสิ ผมถามว่าอย่างนั้นไม่มากไปหน่อยหรือครับ ลูกผู้ชายอย่างผม ฆ่าได้หยามไม่ได้หรอกครับ วันนี้คุณจะลงอะไรเชิญเลยครับ แล้วคุณบอกคนกรุงเทพด้วยผมเนี่ยเป็นแบบนี้ ถ้าใครจะเลือกผมก็เพราะว่าผมเป็นแบบนี้ ถ้าใครจะเลือกผมก็เพราะว่าผมเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้เปลี่ยนตัวเองด้วย เพราะผมถือว่าคุณกระทำกับผมแบบไม่ถูกต้อง ผมก็กระทำกับคุณแบบไม่ถูกต้อง คุณไม่มีจรรยาบรรณกับผม ผมก็ไม่มีจรรยาบรรณกับคุณ ผมทำเฉพาะคนที่มีจรรยาบรรณกับผมเท่านั้น เรื่องสั้นๆ แค่นี้”
เมื่อนักข่าวถามว่า คำพูดประโยคใดที่ทำให้นายชูวิทย์รู้สึกโกรธ นายชูวิทย์ตอบว่าคือประโยคที่บอกว่า “อย่างนี้คุณก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายสิครับ เมื่อกี้คุยกับผมแบบนึง แล้วมาคุยหน้าเวทีอีกแบบนึง” ตนก็ตอบไปว่าที่คุยหลังเวทีนั้นเป็นเรื่อง Off the record (คุยกันหลังฉาก) นายวิศาลอยากให้คุยสนุก ตนก็เลยคุยสนุก
“พอหน้าเวทีผมก็ต้องคุยอีกอย่างนึง คุณอยู่บ้านคุณคุยแบบนี้หรือเปล่า อยู่หน้าเวทีคุณด่าแม่อย่างนี้หรือเปล่า คุณก็ไม่ได้ทำ ถามว่าลูกผู้ชาย คุณบอกว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผมจำเป็นจะต้องทำ ผมไม่ปิดหรอก ผมไม่ห้าม ผมรับผิด ผมทำ ทำไมละครับ แจ้งความได้ ผมก็ไปจ่ายตังค์ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเกินเลย ผมใช้ศอก เนี่ย ฟัน ยอมรับฮะ”
ยืนยันเป็นอย่างนี้ เลือก-ไม่เลือก ก็แล้วแต่
เมื่อถามว่าภาพที่ออกไปจะส่งผลกระทบอะไรบ้างกับการทำงานทางการเมือง ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ เบอร์ 8 ตอบด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “มันช่วยไม่ได้ ผมเป็นอย่างนี้เอง ผมชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ผมทำอย่างนี้เพราะผมไม่ต้องพึ่งใครนี่ครับ ผมไม่ได้ไปพึ่งสื่อ ผมต้องไปกราบไหว้เขา เพราะว่าเขาจะชมผมหรือครับ ไม่ใช่ เพราะว่าผมเป็นตัวของผม ผมยืนยันว่าผมเป็นอย่างนี้ เมื่อผมผิด ผมยอมรับผิด ผมผิดจริง ผมห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ทำไมคนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาถึงยิงผู้บังคับบัญชาได้ละครับ ก็เพราะอย่างนี้ละครับ ถามว่าผมควบคุมไม่ได้ ในเมื่อคุณบอกต่อหน้าทีวีว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผมก็จำเป็นจะต้องเล่นแบบนี้ละครับ อย่างนี้ละครับ”
“คนที่เลือกผมก็เลือกเพราะตัวตนของผม ผมไม่ห่วงหรอกครับ คนที่ไม่เลือกผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณคิดว่าผมทำโดยมีสาเหตุ ถ้าผมทำโดยไม่มีสาเหตุก็เพราะอีกเรื่องนึง เมื่อเขาเหยียดหยามดูหมิ่นผม ผมก็จำเป็นต้องทำ พิธีกรเอง สื่อเอง ก็ต้องมีจรรยาบรรณก็ต้องมีมารยาทเช่นกัน คุณทำไม่มีมารยาทกับผม ผมก็ไม่มีมารยาทกับคุณ คุณแรงมา ผมก็ต้องแรงกลับ ตัวตนของผมเป็นอย่างนี้ คนเลือกผมก็เพราะผมเป็นอย่างนี้”
“อภิรักษ์เนี่ยนิ่มเกินไป กรุงเทพฯ เหมาะกับผมที่สุดแล้ว” นายชูวิทย์กล่าว
ยันใช้ศอกฟัน ตั้งใจกระทืบปาก
กรณีที่นายวิศาลเข้าแจ้งความทำร้ายร่างกาย ถามว่าทำร้ายร่างกายอย่างไร นายชูวิทย์ตอบว่า “ผมใช้ศอก และเมื่อล้มเข้าไปผมกระทืบไปที่หน้าอีกครั้งหนึ่ง ชัดเจนไหมครับ ... แล้วจะใช้ให้ผมกระทืบอะไร ผมก็ต้องกระทืบหน้าสิครับ ไม่เคยรู้ ผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ไม่เคยดูรายการ แต่คนที่อยากจะดัง ไม่ใช่ทำแบบนี้ ไม่ใช่เป็นพิธีกรแล้วมากวนเขาเพื่ออยากจะดัง ไม่ใช่ คุณเรียกผมมา คุณเชิญผมมา ผมก็มา คุณให้เกียรติผม ผมก็ให้เกียรติคุณ”
เมื่อถามว่านายชูวิทย์มีอารมณ์หงุดหงิดหรือไม่ระหว่างการออกรายการ นายชูวิทย์ตอบว่า “(หัวเราะ) ผมว่าเค้าหงุดหงิดมากกว่า เชิญดูกล้องสิครับ เอ้ย เชิญดูที่ออกสิครับหกนาทีเดี๋ยวผมเอามาเปิดให้คุณดูว่าใครหงุดหงิดกับใคร คุณกวนผมตลอด ผมก็พยายามระงับอารมณ์ แต่ท้ายที่สุดคุณบอกผมว่าอย่างนี้คุณก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายสิครับ ไอ้ประโยคนี้ละครับที่ผมทนไม่ไหว ดีนะครับที่ผมยังควบคุมอารมณ์ ที่ไม่ทำต่อหน้า ตอนออกอากาศ”
นายชูวิทย์กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่อว่า “ผมขอโทษแล้วไง ผมยอมรับว่าผมขอโทษ แต่คุณขอโทษหรือเปล่า เพราะคุณก็ไม่ได้เป็นกลางในการที่คุณมาพูดกับผมว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผมศอกคุณหนึ่งที คุณจะศอกผมกลับไหม ผมจะยื่นให้คุณศอก คุณล้มผมกระทืบคุณ กระทืบตรงไหน ผมตั้งใจกระทืบที่ปากเลย”
เมื่อถามว่ากรณีถูกต่อว่าว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายกลางอากาศนั้นจะมีการดำเนินการอะไรหรือไม่ นายชูวิทย์ตอบว่าตนไม่ได้ดำเนินการอะไร เพียงแต่ทนไม่ไหว ส่วนกรณีก่อนที่จะออกอากาศสดมีการพูดคุยอะไรกันก่อนบ้าง นายชูวิทย์ตอบว่าเป็นการพูดคุยเรื่องสนุก แต่นายวิศาลนำเรื่องหลังเวทีมาคุยหน้าเวทีซึ่งตนเห็นว่าไม่สมควร
ต่อกรณีการแจ้งความของนายวิศาล ผู้สื่อข่าวถามว่านายชูวิทย์จะสู้คดีหรือไม่ เขาตอบว่า “จะสู้ทำไมห้าร้อยบาท ทำไมตื่นเต้นนักหรือ ห้าร้อยบาท ศอกห้าร้อย กระทืบอีกห้าร้อย พันนึง เอาไหม เดี๋ยวจะจ่ายให้สองพัน ติ๊บให้อีกพันนึง ... มีปัญญาฟ้องก็ฟ้องไป ทำไมละครับ ท่านประทิน (พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว.) ก็ชกในสภามาแล้ว ผมก็ชกในรายการ ผมศอกในรายการ ทำไมละครับ เมื่อคุณบอกว่าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณดูถูกเหยียดหยามผมต่อหน้าการออกอากาศ คุณทำได้ยังไงละครับ”
ส่วนกรณีที่นายวิศาลให้สัมภาษณ์ว่าตนไม่ได้มีอะไรกับนายชูวิทย์นั้นเห็นว่าอย่างไร นายชูวิทย์ตอบว่า “จะพูดทำไมละครับ พอลุกลงจากเวทีคุณถอดไมค์เดินหนีเลย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่เป็นกลางแล้วสิครับ บนเวทีพอคุณว่าอะไรไปแล้ว คุณถอดไมค์ลงจากเดินลงจากเวที แล้วคุณว่าไม่มีอะไรกันนะ ผมก็บอกไม่มีได้ยังไง มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิครับ การที่คุณด่าคนอื่นเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย แล้วคุณบอกว่าผมไม่มีอะไรนะ ผมด่าคุณเล่น มีด้วยหรือครับ คุณยอมหรือครับ ผมไม่ยอมหรอกครับ”
ยืนยันถ้าเป็นผู้ว่าฯ ก็ทำงานได้
เมื่อถามต่อว่าถ้านายชูวิทย์ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้วจะทำงานกับข้าราชการกรุงเทพได้หรือไม่ นายชูวิทย์ให้คำตอบว่า “ทำไมละครับ ผมขายเต้าฮวยหรือ ก่อนหน้าที่ผมจะมาอยู่ตรงนี้ ผมมีเงินเป็นพันๆ ล้าน ทำไมล่ะ ผมทำธุรกิจ ผมไม่ต้องประสานงานกับใครใช่ไหมครับ บรรดาข้าราชการต่างๆ ความเป็นตัวตนของผม ผมชัดเจนตรงไปตรงมา คนที่เลือกผมก็เพราะผมเป็นอย่างนี้ แล้วผมคิดว่ากรุงเทพเหมาะกับผมที่สุดแล้ว เมื่อผมทำเขา ผมบอกผมทำ ผมผิดไหม ผมผิด ยอมรับไหม ยอมรับ แล้วคุณยอมรับไหมล่ะ คุณก็ยอมรับสิ ผมยอมรับในสิ่งที่ผมทำ คุณคิดหรือครับว่าผมอยากทำ คุณคิดหรือครับว่าผมไม่ควบคุมอารมณ์ เท่าที่ผ่านมา 20 กว่าปีที่ผมไม่เคยทำอย่างนี้ ผมไม่เคยทำ”
กล่าวถึงเรื่องภาพลักษณ์ส่วนตัวนายชูวิทย์กล่าวว่า “ผมเรียนให้ทราบ ประชาชนคนกรุงเทพอย่างนี้ ผมชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ผมนั่งผมไม่เปลี่ยนชื่อ ผมยืนผมไม่เปลี่ยนแซ่ ผมเป็นของผมอย่างนี้ ท่านเลือกผมเพราะตัวตนผม ผมมีข้อผิดพลาดเหมือนกับคนอื่นๆ ทุกคน คุณก็มี ผมก็มี ทุกคนมี แน่นอนครับ แต่ความผิดพลาดของคุณ คุณยอมรับหรือเปล่าครับ ผมยอมรับว่าผมทำ ผมขอโทษหรือเปล่า ผมขอโทษ ผมขอโทษใคร ผมขอโทษสื่อ ผมขอโทษกองบรรณาธิการ ผมขอโทษคนอื่นๆ ผมขอโทษคุณวิศาลด้วย แต่คุณวิศาลขอโทษผมหรือเปล่าในสิ่งที่คุณพูด แล้วผมถามว่าผมคุกคามสื่อ หรือ ผมโดยสื่อคุกคาม”
เมื่อถูกถามว่ากลัวคะแนนตก และการลงทุนหาเสียงมาตั้งแต่ต้นจะเสียเปล่าหรือไม่ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 กล่าวตอบว่า “ผมรู้สึกดีครับ ผมพูดตรงๆ นะ ผมรู้สึกดี ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกดี เหตุที่ผมรู้สึกดี มันไม่มีเหตุผล คุณไปทำร้ายคนแล้วคุณรู้สึกดีได้ยังไง แต่มันรู้สึกดีจริงๆ คุณถามความจริงผมนี่ ผมไม่โกหกคุณ ป่านนี้ผมมีอะไรโกหกคุณ เพราะว่าเขาเหยียดหยามผม ในบางเวลาผมก็เก็บอารมณ์ได้ บางเวลาผมก็เก็บไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีเรื่องเล็กเรื่องน้อยแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะเรื่องอย่างนี้ละครับ”
“เพราะฉะนั้นพิธีกรทั้งหลายกรุณาจำไว้ว่าคุณควรจะใช้มารยาทกับคนที่มาหน่อย คุณจะไล่เขาก็ไล่เขาไปเถอะครับ แต่การที่คุณไปเหยียดหยามดูหมิ่น ผมทนไม่ไหว เพราะผมเรียนให้ทราบว่าคะแนนผมจะขึ้น คะแนนผมจะตก ผมลงทุนไปผมหาเสียงไปแล้วมันะจะเป็นการเปล่าประโยชน์ คุณว่าคะแนนผมตก ผมบอก ผมยอมรับทุกอย่าง ผมไม่เสียใจในการกระทำของผมเลย แต่ผมยอมขอโทษคุณ ผมยอมขอโทษสื่อทุกคน เพราะผมยอมรับว่าสิ่งที่ผมทำนั้นผิด ผิดก็ยอมรับผิด ก็ผมทนไม่ไหว”
ชมคลิปวิดีโอรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ 2 ต.ค. 2551