นครศรีธรรมราช – “เทพไท” แจงย้อน "ชูวิทย์" งานระดมทุนปชป.เงินบริสุทธิ์ เผยไม่เหมือนนักการเมืองหอบเงิน 200 ล้าน ขอเข้าพรรคแต่ถูกเมิน - สวน "ด็อกเตอร์เหลิม" สร้างบรรทัดฐานความหนาของใบหน้าให้พรรคพวก
นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม.ออกมาระบุว่าสาเหตุที่นายอภิรักษ์ ยังไม่ยอมลาออกนั้นเนื่องจากเพราะยังเก็บค่าโต๊ะจีนไม่เสร็จ หลังจากที่นายชูวิทย์ได้พูดประเด็นนี้ออกไปถือว่าเป็นความเสียหาย
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ถวายความอาลัยจึงไม่ควรพูดในเรื่องประเด็นการเมือง แต่ในเมื่อไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงจำเป็นต้องมีการชี้แจงเพื่อไม่ให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วในเรื่องนี้นายชูวิทย์ พยายามที่จะบิดเบือนใส่ความพรรคประชาธิปัตย์
นายเทพไท บอกว่านายอภิรักษ์ไม่ยื่นใบลาออก เพราะต้องเก็บค่าโต๊ะจีนของพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลโดยสินเชิง การระดมทุนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความศรัทธา ของผู้ที่สนับสนุนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ว่า กทม.ไม่เคยไปรีดไถจากผู้รับเหมา
“เรายึดความถูกต้องเป็นหลัก สามารถไปสอบถามข้อเท็จจริงได้จากสำนักต่างๆใน กทม. สำนักงานเขต หรือแม้กระทั่งข้าราชการ ได้ตลอดเวลาว่าประชาธิปัตย์เคยบีบบังคับหรือไม่ และขอยืนยันว่าเงิน 300 ล้านที่ได้มานั้นเป็นเงินบริสุทธิ์ ไม่ใช่เงินบาป เงินบ่อน เงินซ่อง หรือเงินอาบอบนวด เหมือนนักการเมืองบางคน และยืนยันอีกครั้งว่าประชาธิปัตย์ไม่รับเงินสกปรกยกตัวอย่างในอดีตเคยมีนักการเมืองบางคนขอเข้ามาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์โดยแลกกับเงินสนับสนุนนับร้อยล้านบาทเป็นข้อเสนอให้พรรค และชัดเจนเราเห็นว่าเงินนี้เป็นเงินบาปพรรคจึงปฏิเสธนักการเมืองคนนี้ไป ดังนั้นเงินประเภทนี้รวมทั้งเงินผู้รับเหมาหรือเงินไม่บริสุทธิ์เราไม่รับการสนับสนุนอย่างเด็ดขาด"
นายเทพไท กล่าวต่อว่าสำหรับกรณี สก.สังกัดพลังประชาชนบอกว่า สส.ประชาธิปัตย์ถูกบังคับให้ซื้อโต๊ะคนละ 1 โต๊ะถือว่าไม่มีมูลความจริงโดยสิ้นเชิง สส.ประชาธิปัตย์ทั้ง 165 คน ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือตามความสามารถของแต่ละคนบางคนขายได้ถึง 10 โต๊ะ บางคน 2 เก้าอี้บางคนไม่ได้เลย เหล่านี้พรรคไม่ได้ตำหนิใดๆเพราะแต่ละคนมีศักยภาพไม่เท่ากันในการคระดมทุน แต่มีความสามารถด้านอื่นก็ได้ ดังนั้น พรรคจึงให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคทุกคน
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า เชื่อว่าหลังจากนี้ นายชูวิทย์และสมาชิกพลังประชาชนจะค้นหาประเด็นต่างๆมาโจมตีทำลายคะแนนของประชาธิปัตย์ในการส่งคนลงสมัครผู้ว่า กทม.ในส่วนของประชาธิปัตย์ยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งใครลงสมัคร เพียงเป็นการคาดคะแนนและความเห็นส่วนบุคคลในการสนับสนุน
ส่วนข้อยุตินั้นอยู่ กรรมการสรรหาผู้สมัครและกรรมการบริหารพรรค ที่มีความชัดเจนอยู่แล้ว เบื้องต้นนั้นการพิจารณาจะให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคก่อน ถ้าไม่มีสมาชิกพรรคที่มีความเหมาะสมจะไปสรรหาจากบุคคลภายนอกพรรค เชื่อว่าประชาชนเข้าใจเหตุผลในการทำงานของประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี
นายเทพไทกล่าต่อว่า ส่วนการลาออกของนายอภิรักษ์นั้นถือว่ามีความรับผิดชอบสูงในทางการเมือง ถือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีต่อมสำนึกสูงกว่านักการเมืองซีกรัฐบาลหลายกรณีทั้งถูกแจ้งข้อกล่าวและอื่นๆอีกสารพัด ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม รมว.สาธารณสุขออกมาพูดจาประชดประชันประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าข้อกล่าวหานั้นไม่ใช่เรื่องทุจริตคอรัปชั่น พยายามที่จะเบนประเด็นและปฏิเสธความรับผิดชอบ พร้อมกับบอกว่าผิดกับนายอภิรักษ์ที่ผิดในการซื้อรถและเรือดับเพลิงว่าเป็นการทุจริต
"ร.ต.อ.เฉลิมในฐานะผู้รู้ถึงขั้น ดร.ในทางกฎหมายควรกลับไปดูการแถลงของปปช.ให้ละเอียดว่านายอภิรักษ์มีความผิดในเรื่องของการทุจริตหรือไม่ แท้จริงแล้วน่ายอภิรักษ์ถูกชี้มูลฐานประมาทเลินเล่อไม่ปกป้องผลประโยชน์ราชการ ตามมาตรา 157 ซึ่งไม่ใช่ความผิดในการทุจริตโครงการส่วนคนที่ทุจริตนั้นทั้งหมดเป็นคนที่อยู่ในพรรคพวกของ ร.ต.อ.เฉลิมทั้งสิ้น" นายเทพไทกล่าว
“การที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดแบบเอาสีข้างเข้าถู เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้พวกเดียวกันว่าผู้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาว่าการที่ถูกชี้มูลโดย ปปช.และกำลังจะถูกชี้มูลในอนาคตว่าไม่จำเป็นต้องแสดงสปิริตเหมือนกับนายอภิรักษ์ และสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมชี้ให้เห็นต่อไปคือพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีคุณธรรมจริยธรรมไม่เท่ากัน เหมือนกับนักการเมืองเช่นกันที่มีต่อมจิตสำนึกและความหนาของใบหน้าที่ไม่เท่ากัน” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม.ออกมาระบุว่าสาเหตุที่นายอภิรักษ์ ยังไม่ยอมลาออกนั้นเนื่องจากเพราะยังเก็บค่าโต๊ะจีนไม่เสร็จ หลังจากที่นายชูวิทย์ได้พูดประเด็นนี้ออกไปถือว่าเป็นความเสียหาย
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ถวายความอาลัยจึงไม่ควรพูดในเรื่องประเด็นการเมือง แต่ในเมื่อไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงจำเป็นต้องมีการชี้แจงเพื่อไม่ให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน แท้จริงแล้วในเรื่องนี้นายชูวิทย์ พยายามที่จะบิดเบือนใส่ความพรรคประชาธิปัตย์
นายเทพไท บอกว่านายอภิรักษ์ไม่ยื่นใบลาออก เพราะต้องเก็บค่าโต๊ะจีนของพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลโดยสินเชิง การระดมทุนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความศรัทธา ของผู้ที่สนับสนุนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ว่า กทม.ไม่เคยไปรีดไถจากผู้รับเหมา
“เรายึดความถูกต้องเป็นหลัก สามารถไปสอบถามข้อเท็จจริงได้จากสำนักต่างๆใน กทม. สำนักงานเขต หรือแม้กระทั่งข้าราชการ ได้ตลอดเวลาว่าประชาธิปัตย์เคยบีบบังคับหรือไม่ และขอยืนยันว่าเงิน 300 ล้านที่ได้มานั้นเป็นเงินบริสุทธิ์ ไม่ใช่เงินบาป เงินบ่อน เงินซ่อง หรือเงินอาบอบนวด เหมือนนักการเมืองบางคน และยืนยันอีกครั้งว่าประชาธิปัตย์ไม่รับเงินสกปรกยกตัวอย่างในอดีตเคยมีนักการเมืองบางคนขอเข้ามาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์โดยแลกกับเงินสนับสนุนนับร้อยล้านบาทเป็นข้อเสนอให้พรรค และชัดเจนเราเห็นว่าเงินนี้เป็นเงินบาปพรรคจึงปฏิเสธนักการเมืองคนนี้ไป ดังนั้นเงินประเภทนี้รวมทั้งเงินผู้รับเหมาหรือเงินไม่บริสุทธิ์เราไม่รับการสนับสนุนอย่างเด็ดขาด"
นายเทพไท กล่าวต่อว่าสำหรับกรณี สก.สังกัดพลังประชาชนบอกว่า สส.ประชาธิปัตย์ถูกบังคับให้ซื้อโต๊ะคนละ 1 โต๊ะถือว่าไม่มีมูลความจริงโดยสิ้นเชิง สส.ประชาธิปัตย์ทั้ง 165 คน ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือตามความสามารถของแต่ละคนบางคนขายได้ถึง 10 โต๊ะ บางคน 2 เก้าอี้บางคนไม่ได้เลย เหล่านี้พรรคไม่ได้ตำหนิใดๆเพราะแต่ละคนมีศักยภาพไม่เท่ากันในการคระดมทุน แต่มีความสามารถด้านอื่นก็ได้ ดังนั้น พรรคจึงให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคทุกคน
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า เชื่อว่าหลังจากนี้ นายชูวิทย์และสมาชิกพลังประชาชนจะค้นหาประเด็นต่างๆมาโจมตีทำลายคะแนนของประชาธิปัตย์ในการส่งคนลงสมัครผู้ว่า กทม.ในส่วนของประชาธิปัตย์ยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งใครลงสมัคร เพียงเป็นการคาดคะแนนและความเห็นส่วนบุคคลในการสนับสนุน
ส่วนข้อยุตินั้นอยู่ กรรมการสรรหาผู้สมัครและกรรมการบริหารพรรค ที่มีความชัดเจนอยู่แล้ว เบื้องต้นนั้นการพิจารณาจะให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคก่อน ถ้าไม่มีสมาชิกพรรคที่มีความเหมาะสมจะไปสรรหาจากบุคคลภายนอกพรรค เชื่อว่าประชาชนเข้าใจเหตุผลในการทำงานของประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี
นายเทพไทกล่าต่อว่า ส่วนการลาออกของนายอภิรักษ์นั้นถือว่ามีความรับผิดชอบสูงในทางการเมือง ถือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีต่อมสำนึกสูงกว่านักการเมืองซีกรัฐบาลหลายกรณีทั้งถูกแจ้งข้อกล่าวและอื่นๆอีกสารพัด ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม รมว.สาธารณสุขออกมาพูดจาประชดประชันประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าข้อกล่าวหานั้นไม่ใช่เรื่องทุจริตคอรัปชั่น พยายามที่จะเบนประเด็นและปฏิเสธความรับผิดชอบ พร้อมกับบอกว่าผิดกับนายอภิรักษ์ที่ผิดในการซื้อรถและเรือดับเพลิงว่าเป็นการทุจริต
"ร.ต.อ.เฉลิมในฐานะผู้รู้ถึงขั้น ดร.ในทางกฎหมายควรกลับไปดูการแถลงของปปช.ให้ละเอียดว่านายอภิรักษ์มีความผิดในเรื่องของการทุจริตหรือไม่ แท้จริงแล้วน่ายอภิรักษ์ถูกชี้มูลฐานประมาทเลินเล่อไม่ปกป้องผลประโยชน์ราชการ ตามมาตรา 157 ซึ่งไม่ใช่ความผิดในการทุจริตโครงการส่วนคนที่ทุจริตนั้นทั้งหมดเป็นคนที่อยู่ในพรรคพวกของ ร.ต.อ.เฉลิมทั้งสิ้น" นายเทพไทกล่าว
“การที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดแบบเอาสีข้างเข้าถู เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้พวกเดียวกันว่าผู้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาว่าการที่ถูกชี้มูลโดย ปปช.และกำลังจะถูกชี้มูลในอนาคตว่าไม่จำเป็นต้องแสดงสปิริตเหมือนกับนายอภิรักษ์ และสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมชี้ให้เห็นต่อไปคือพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีคุณธรรมจริยธรรมไม่เท่ากัน เหมือนกับนักการเมืองเช่นกันที่มีต่อมจิตสำนึกและความหนาของใบหน้าที่ไม่เท่ากัน” นายเทพไทกล่าว