ผู้จัดการรายวัน - บลจ.แมนูไลฟ์ จับจังหวะดัชนีปรับตัวลง ทยอยเก็บหุ้นถูกเข้าพอร์ต เผยสัดส่วนลงทุนปัจจุบัน ถือหุ้นเกินกว่า 90% โดยเน้นเลือกหุ้นรายตัวมากกว่ารอการเปลี่ยนแปลงของดัชนี ระบุการลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจ หลังซับไพรม์ฉุดราคาวูบทั่วโลก เผยทั้งปีนี้ ส่งกองทุนเอฟไอเอฟลุยตลาด 3 กอง พร้อมเพิ่มทุนกองไชน่าอีก 500 ล้านบาท รับความต้องการเพิ่ม ดันเอยูเอ็มปีหนูโต 7.5 พันล้านบาท
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนกองทุนหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่เกินกว่า 90% โดยถือเงินสดเพื่อรอลงทุนเพิ่มอีกไม่ถึง 10% ซึ่งในช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไปทยอยเข้าไปลงทุนบ้างแล้ว โดยเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวมากกว่าจับจังหวะการปรับลดลงของดัชนี และจากพอร์ตการลงทุนดังกล่าว ทำให้ผลการดำเนินงานของแมนูไลฟ์ออกมาในระดับที่ใกล้เคียงกับดัชนีตลาด ขณะที่ในส่วนของเงินสดนั้น มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูงบางส่วนด้วย
"พอร์ตกองทุนหุ้นของเรา มีการขายทำกำไรไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับ 800 กว่าจุด แต่หลังจากดัชนีปรับตัวลง เราก็ทยอยเข้าไปซื้อบ้าง เพราะค่า P/E ที่ปรับตัวลงตามดัชนี ถือว่าน่าสนใจ ซึ่งการลงทุนของเราจะดูหุ้นรายตัวเป็นหลัก"นายอลันกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การลงทุนทั่วโลกจะปรับตัวลดลง แต่เราก็ยังมองว่าเป็นจังหวะที่น่าลงทุน เพราะหุ้นหลายตัวราคาปรับลดลงจนน่าสนใจ เช่น เมอร์ริลินช์ ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับลดลงจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่ในแง่รายได้ของบริษัทยังเติบโตได้เยอะ ซึ่งถือว่าน่าลงทุนเป็นอย่างมาก
โดยในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ประมาณ 3 กองทุน ซึ่งสินทรัพย์ที่บริษัทสนใจลงทุนมีทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) พลังงาน การลงทุนแถบเอเชียแปซิฟิกในประเทศที่มองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นการลงทุนในจีน รวมถึงประเทศอินเดียเอง บริษัทยอมรับว่าน่าสนใจที่จะลงทุนด้วยเช่นกัน แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นของประเทศเหล่านี้จะปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การลงทุนในตลาดโลกจะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาและส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนเอฟไอเอฟบ้าง แต่ในส่วนของกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ ที่ลงทุนในตลาดฮ่องกง ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในแง่ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ซึ่งมีนักลงทุนบางส่วนมองเห็นโอกาสเพิ่มเงินลงทุนเข้ามาด้วย
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขอเพิ่มทุนโครงการกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีจำนวนเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงไอพีโอในช่วงเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก ในแง่ของผลตอบแทนเอง ในปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% โดยกองทุนแม่ที่กองทุนเข้าไปลงทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 50% ในรอบปีที่แล้ว
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Manulife Global Fund-China Value Fund (Class A) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝากสถาบันการเงินที่มีอายุตราสารหรือระยะเวลาฝากเงินไม่เกิน 1 ปี
นายอลันกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ของบริษัทอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนในส่วนของกองทุนรวมประมาณ 2,500 ล้านบาทซึ่งในจำนวนนี้ เป็นกองทุนเอฟไอเอฟประมาณ 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนรวมในประเทศ โดยในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีเอยูเอ็มรวมทั้งหมดประมาณ 7,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจากกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ยังมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 1 กองทุนด้วย
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนกองทุนหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่เกินกว่า 90% โดยถือเงินสดเพื่อรอลงทุนเพิ่มอีกไม่ถึง 10% ซึ่งในช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไปทยอยเข้าไปลงทุนบ้างแล้ว โดยเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวมากกว่าจับจังหวะการปรับลดลงของดัชนี และจากพอร์ตการลงทุนดังกล่าว ทำให้ผลการดำเนินงานของแมนูไลฟ์ออกมาในระดับที่ใกล้เคียงกับดัชนีตลาด ขณะที่ในส่วนของเงินสดนั้น มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูงบางส่วนด้วย
"พอร์ตกองทุนหุ้นของเรา มีการขายทำกำไรไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับ 800 กว่าจุด แต่หลังจากดัชนีปรับตัวลง เราก็ทยอยเข้าไปซื้อบ้าง เพราะค่า P/E ที่ปรับตัวลงตามดัชนี ถือว่าน่าสนใจ ซึ่งการลงทุนของเราจะดูหุ้นรายตัวเป็นหลัก"นายอลันกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การลงทุนทั่วโลกจะปรับตัวลดลง แต่เราก็ยังมองว่าเป็นจังหวะที่น่าลงทุน เพราะหุ้นหลายตัวราคาปรับลดลงจนน่าสนใจ เช่น เมอร์ริลินช์ ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับลดลงจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) แต่ในแง่รายได้ของบริษัทยังเติบโตได้เยอะ ซึ่งถือว่าน่าลงทุนเป็นอย่างมาก
โดยในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ประมาณ 3 กองทุน ซึ่งสินทรัพย์ที่บริษัทสนใจลงทุนมีทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) พลังงาน การลงทุนแถบเอเชียแปซิฟิกในประเทศที่มองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นการลงทุนในจีน รวมถึงประเทศอินเดียเอง บริษัทยอมรับว่าน่าสนใจที่จะลงทุนด้วยเช่นกัน แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นของประเทศเหล่านี้จะปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การลงทุนในตลาดโลกจะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาและส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนเอฟไอเอฟบ้าง แต่ในส่วนของกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ ที่ลงทุนในตลาดฮ่องกง ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในแง่ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ซึ่งมีนักลงทุนบางส่วนมองเห็นโอกาสเพิ่มเงินลงทุนเข้ามาด้วย
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขอเพิ่มทุนโครงการกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีจำนวนเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงไอพีโอในช่วงเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก ในแง่ของผลตอบแทนเอง ในปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% โดยกองทุนแม่ที่กองทุนเข้าไปลงทุนให้ผลตอบแทนได้ถึง 50% ในรอบปีที่แล้ว
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ ไชน่า แวลู เอฟไอเอฟ มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Manulife Global Fund-China Value Fund (Class A) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝากสถาบันการเงินที่มีอายุตราสารหรือระยะเวลาฝากเงินไม่เกิน 1 ปี
นายอลันกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ของบริษัทอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนในส่วนของกองทุนรวมประมาณ 2,500 ล้านบาทซึ่งในจำนวนนี้ เป็นกองทุนเอฟไอเอฟประมาณ 2,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนรวมในประเทศ โดยในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีเอยูเอ็มรวมทั้งหมดประมาณ 7,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจากกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ยังมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 1 กองทุนด้วย