มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว "ยงยุทธ" ยันไม่ทรยศ หักหลังประเทศชาติราชบัลลังก์ อ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนานตู้เย็น แต่ยอมรับได้กับฉายา "ยุทธตู้เย็น" สั่งประชุมสภาเลือกนายกฯ วันจันทร์นี้ ส่วนโควต้ารัฐมนตรี พปช. กวาดเรียบ 9 กระทรวงหลัก ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ส.ส.อีสาน ทวงโควต้ารัฐมนตรี 10 ที่นั่ง ด้าน"ประชัย" ยอมศิโรราบ "แม้ว" อีกคน
วานนี้ (24 ม.ค.) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติ เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551 เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ 1. นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร 2. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 3. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2
จึงแต่งตั้งให้ผู้มีนามดังกล่าว เป็นประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามความในมาตรา 124 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2551 เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักราชเลขาธิการได้อัญเชิญประกาศแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร มายังสำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียรัฐบาล เมื่อเวลา16.45 น. โดยมีเจ้าหน้าที่ลิขิตสำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อัญเชิญไปประทับพระราชลัญจกร ก่อนที่จะอัญเชิญไปยังอาคารรัฐสภา
"ยงยุทธ"จัดพิธีรับพระบรมราชโองการ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ การจัดเตรียมพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภา ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับประกอบพิธี ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ บริเวณมณฑลพิธี ห้องโถงของอาคา รัฐสภา 1 โดยข้าราชการรัฐสภาได้แต่งชุดปกติขาว เพื่อเตรียมเข้าร่วมพิธีการสำคัญครั้งนี้ โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิธีรับพระบรมราชโองการ เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อยากให้เป็นศิริมงคลกับตัวเอง
จากนั้นเวลา 09.00 น. นายยงยุทธ เดินทางมาถึงรัฐสภา เพื่อรอรับสนองพระบรมราชโองการฯ โดยนายยงยุทธ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แต่กล่าวเพียงสั้นๆว่า ขอให้รอการโปรดเกล้าฯ อย่างเป็นทางการก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล ในฐานะพสกนิกรชาวไทย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจ ต้องทูลเกล้าฯ ยกขึ้นไว้เหนือหัว และพิธีการเช่นนี้ ได้ห่างหายไปนาน จึงต้องมีการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้คนใกล้ชิดไปอัญเชิญ พระพุทธรูปเชียงแสน ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเชียงราย เพื่อมาประดิษฐานไว้ในห้องทำงานด้วย
ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เมื่อเดินทางมาถึง ก็พักอยู่ที่ห้องรับรอง เพื่อรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเช่นกัน
ทั้งนี้ มีแกนนำ และส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ทยอยเดินทางมาร่วมพิธี และร่วมแสดงความยินดี อาทิ นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ร.ต.ท. เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ พ.ต.ท. สมชาย เพศประเสริฐ รวมทั้งส.ส.ภาคเหนือจำนวนมาก โดยบางส่วนได้แต่งเครื่องแบบปกติขาวไว้ทุกข์มาจากบ้านด้วย
นอกจากนี้ ได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอัมรินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของนายยงยุทธ มาให้ศีลให้พร และประพรมน้ำมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
ไม่ทรยศประเทศชาติ ราชบัลลังก์
หลังการรับพระบรมราชโองการฯ นายยุงยุทธ พร้อมด้วย รองประธานสภา ทั้ง 2 คน ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวชน โดยยืนยันว่า การทำงานจากนี้ไป จะมุ่งเน้นความรัก ความสามัคคี ปรองดองเป็นหลัก ไม่เลือกข้างไม่เลือกฝ่าย โดยจะมุ่งเน้นประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และสร้างบรรยากาศความเป็นมิตรในสภา จะไม่มีเสียงข้างมาก หรือข้างน้อย ดังนั้นเสียงข้างมากและข้างน้อยจะไม่มีความสำคัญไปมากกว่าความจริงใจของทุกฝ่ายที่ร่วมกันทำเพื่อประโยชน์ประ เทศชาติ
รวมถึงจะให้ความสำคัญกับการเมืองภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานในสภา ด้วยการจัดตั้งเวทีสาธารณะเป็นระยะ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วม แสดงความคิดเห็น และเสนอแนะการแก้ปัญหาที่สำคัญ โดยจะจัดให้มีผู้สังเกตการณ์คอยรับทราบปัญหาต่างๆ โดยกลไกไหนที่จะทำได้ในสภา จะเร่งผลักดัน ส่วนกลไกใดที่ไม่ใช่ของสภา จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอ
"เราทั้ง 3 คน ขอยืนยันว่าจะไม่มีวันทรยศหักหลังต่อประเทศชาติ และราชบัลลังก์ อย่างเด็ดขาด โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และจากนี้ไปอะไรที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง หรือความไม่เข้าใจต่างๆ เราในฐานะที่เป็นกลไกอันหนึ่งในระบอบการเมืองจะขอตั้งใจ ความไม่เข้าใจ ความบาดหมางใจ เราให้ความมั่นใจว่าจะเป็นกลไกสำคัญที่จะสร้างความปรองดองในชาติ จึงขอทำงานรับใช้ประชาชน และสนองตอบต่อพระบรมราชโองการฯ"นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวถึงการนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีว่า ตามข้อบังคับของสภาเก่ามีการอนุโลมให้เรียกเปิดประชุมสภาใน 3 วัน หรือเป็นอำนาจของประธานสภากำหนด แต่เพื่อไม่ให้มีการบาดหมางใจ และไม่เป็นการลุกลี้ลุกลน ตนได้มอบหมายให้วิปรัฐบาลชั่วคราว และเลขาธิการสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ประสานกับเสียงข้างน้อยขอเปิดประชุมในวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. เวลา 09.30 น.
ไม่รังเกียจฉายา "ยุทธ ตู้เย็น"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการทุจริตที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ ที่ กกต. นายยงยุทธ กล่าวว่า จะไม่ใช้กลไกอะไร หรือมีการถอนคำร้องอย่างที่มีการกล่าวหา พร้อมร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า เป็นห่วงคดีบุกค้นบ้าน นายนิสสัย และนางอุดม ศตะกูรมะ ที่ จ.อยุธยา หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตอนนี้ ทางศาลได้พักคดี เพราะเหตุที่เกิด แม้สื่อมวลชนจะลงข่าวไปเยอะ เสมือนหนึ่งว่าตนได้กระทำความผิด ความจริงแล้วตนกับ พล.ต.ท. ปรัชญา สุทธปรีดา ผบช.ภ.1 ขณะนั้น ได้ไปตรวจพื้นที่ในตอนเช้า แต่เหตุเกิดประมาณ 01.00 น. ตนไปช่วยเยียวยาสถานการณ์ ส่วนความเกี่ยวพันกับตนนั้น เพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานนายกฯ เรียนปริญญาโท กับนายกอบต.ได้ประสานงาน และแจ้งข้อมูลไปยังตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะเกินกว่าเหตุหรือไม่ ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนตนไปเกี่ยวพัน เพราะเป็นนักการเมืองที่คนคิดว่าคงชอบบู๊ ไปทำอะไรที่ไม่ชอบ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งกระบวนการทางศาล คงเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่ามีแนวทางจะลบฉายา"ยุทธตู้เย็น" อย่างไร นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่เป็นไร นักการเมืองต้องมีฉายา พี่น้องประชาชนมีความสุข คนที่ให้ฉายามีความสุข ตนก็มีความสุขด้วย ยินดีไม่มีปัญหา
โหวตนายกฯ ไม่ห่วงเสียงแตก
นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือ วิปรัฐบาล กล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อการเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า ใน 6 พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างยืนยันที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีตามที่พรรคพลังประชาชนเสนอรายชื่ออย่างพร้อมเพรียง100 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าจะไม่มีเสียงแตก เนื่องจากการลงมติเป็นการออกเสียงโดยเปิดเผยในสภาอย่างชัดเจน โดยสมาชิกแต่ละคนจะลุกขึ้นกล่าวสนับสนุนหรือเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่เป็นห่วงว่าจะเกิดความผิดพลาด ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ
"พลังแม้ว" ยึด 9 กระทรวงหลัก
นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดสรรโควต้ารัฐมนตรีให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ในส่วนของพรรคพลังประชาชน จะประกอบไปด้วย กระทรวงกลาโหม มหาดไทย คลัง พาณิชย์ ยุติธรรม คมนาคม ต่างประเทศ ศึกษาธิการ และสาธารณสุข โดยกระทรวงที่กล่าวมานี้ คนของพรรคพลังประชาชน จะเป็นรัฐมนตรีว่าการทั้งหมด
สำหรับกระทรวงพลังงาน เป็นโควตาของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโควตาของพรรคชาติไทย ส่วนกระทรวงแรงงาน เป็นของพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นั้น ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล
"เจ๊มิ่ง" นั่งรองนายกฯ ควบพาณิชย์
สำหรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น น่าจะมีทั้งหมด 4 คน เป็นอย่างน้อย โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับตำแหน่งรองนายกฯ ที่ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ และอาจจะควบกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หรือกระทรวงพาณิชย์ ด้วย นอกจากนั้นจะมีรองนายกฯ ที่ดูแลด้านกฎหมาย ด้านสังคม และด้านความมั่นคง ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นั้น น่าจะมี 2-3 คน สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะมีประมาณ 4-5 คน โดยจะดูแลด้านสื่อ กฎหมาย เศรษฐกิจ และสำนักงานกฤษฎีกา
นายนพดล ยังกล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีภายในพรรค ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก ส่วนกรณีที่ส.ส.อีสานของพรรคออกมาเรียกร้องโควตารัฐมนตรี ที่ ส.ส.อีสานควรจะได้รับนั้น ยืนยันว่าพรรคจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
โต้ TDRI "เลี้ยบ" เป็นหมอไม่ใช่ลูกแหง่
สำหรับกรณีที่ นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการด้านวิจัยเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความกังวลหาก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ได้เป็น รมว.คลัง โดยวิจารณ์ว่า เป็นลูกแหง่ ต้องมีพี่เลี้ยงนั้น ตนเชื่อว่าจะไม่ใช่ลูกแหง่ เพราะ นพ.สุรพงษ์ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ คนที่เรียนจบหมอได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา สามารถที่จะผลักดันนโยบายได้ และ นพ.สุรพงษ์ ก็เคยผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้ว ไม่ใช่รัฐมนตรีสมัครเล่นแน่นอน
"นพ.สุรพงษ์ มีประสบการณ์จากที่เคยเป็นรมว.ไอซีที มาก่อน และเคยประกอบธุรกิจส่วนตัว อีกทั้งคนที่เรียนหมอ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คงไม่ต้องมีพี่เลี้ยง ดังนั้นอยากจะให้นายสมชัยให้เกียรติ เลขาธิการพรรคพลังประชาชนด้วย การที่จะติคนนั้นต้องให้เขาบริหารงานก่อนแล้วถึงตัดสิน แต่ถ้าหากอยากที่จะวิจารณ์คน ก็ขอให้ดูกรณีของ นายฉลองภพ ที่บริหารกระทรวงการคลัง มาหลายเดือนว่าประสบความสำเร็จหรือไม่"นายนพดล กล่าว และว่า หาก นพ.สุรพงษ์ เป็น รมว.คลัง จริงๆ ก็จะเป็นตัวจริงเสียงจริง ไม่จำเป็นต้องมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพี่เลี้ยง
ส่วนกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ระบุว่า สัดส่วนรัฐมนตรีจะใช้อัตรา ส.ส. 5 คน ต่อ 1รัฐมนตรี ไม่ใช่ 9 ต่อ 1 นั้น นายนพดล กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับ นพ.สุรพงษ์แล้ว โดยหลักการจะต้องใช้จำนวน ส.ส. 315 คน หารด้วยจำนวนรัฐมนตรี 36 เก้าอี้ จะตกประมาณ 8-9 คน ต่อ 1 รัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการอะลุ้มอะล่วยให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นจะไม่มีความขัดแย้งแน่นอน
เมื่อถามว่า ดูเหมือนว่าจะให้สิทธิพิเศษกับพรรคชาติไทยมากกว่าพรรคอื่น นายนพดล กล่าวว่า เราไม่ได้ให้สิทธิพิเศษ แต่การพิจารณาจัดสรรรัฐมนตรีนั้น นพ.สุรพงษ์ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค จะเป็นคนสรุปว่าจะได้จำนวนเท่าไร และจะใช้เกณฑ์เดียวกันทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาล
ปัดข่าว "แม้ว" บวช
นายนพดล กล่าวด้วยว่า ล่าสุดตนได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อช่วงเช้า (24 ม.ค. ) ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาบวช ที่วัดยานนาวานั้น ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบวชเรียนและศึกษาธรรมะมาแล้ว และเมื่อเดินทางกลับมาในเดือน พ.ค. ก็ยังมีงานสาธารณกุศล กีฬา การศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รอท่านอยู่อีกมาก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า แกนนำพรรคเดินทางไปประเทศฮ่องกง เพื่อพูดคุยเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น นายนพดล กล่าวว่า อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ค่าเครื่องบินแพง ดังนั้นเมื่อมาอยู่ที่ฮ่องกง คนจึงเดินทางไปพบเยอะ ซึ่งมีทั้งคนที่เคารพนับถือ แกนนำพรรคพลังประชาชน และคนที่เคยร่วมงานกันในรัฐบาลที่แล้ว
สำหรับการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เลื่อนออกไปเป็นเดือนพ.ค.นั้น นายนพดล กล่าวว่า ไม่ใช่การเลื่อน แต่เพราะคดีของคุณหญิงพจมานจะต้องใช้เวลาในการตรวจเอกสาร 90 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 30 เม.ย. พอดี แต่ขณะนี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่า น่าจะเป็นเดือนพ.ค. เพราะมีการยืนยันเป็นเอกสารที่ยื่นต่อศาลไว้ด้วย ทั้งนี้การจะกลับประเทศไทยนั้น ต้องดูเรื่องคดี และเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกลอบสังหารหลายครั้ง ดังนั้นจึงต้องดูเป็นพิเศษ
ส.ส.อีสานขอโควต้า รมต. 10 เก้าอี้
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีในส่วนของพรรคว่า อยากให้คณะผู้บริหารพรรค คำนึงถึงสัดส่วน ส.ส.ในภาคอีสานอย่างเหมาะสมด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามคำพูดของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่ว่า อัตราส่วนรัฐมนตรีคือส.ส. 10 คน ต่อรัฐมนตรี 1 ตำแหน่งนั้น ส.ส.อีสาน ที่มีประมาณ 110 คน ก็ต้องได้ 10 เก้าอี้ เพื่อให้มีตัวแทนเป็นฝ่ายบริหารเข้าไปกำหนดนโยบาย ตามที่ได้หาเสียง และเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน โดยเฉพาะในจ.ขอนแก่น นั้น มีส.ส.เข้ามายกทีมถึง 11 คน และยังเป็นจังหวัดที่ได้รับการยอมรับผลการเลือกตั้ง ก็ต้องได้ 1 ตำแหน่ง หรือ หากคิดตามสูตรที่พูดกันคือ 5 ต่อ 1 นั้น ก็ต้องได้ 2 ตำแหน่ง
ขณะนี้ ส.ส. อีสานจะฟังการตัดสินใจของคณะผู้บริหารพรรค ที่ต้องพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยความเป็นธรรม หากจะให้ใครทำงานด้านไหน ต้องมีคำอธิบายว่า ดูจากวัยวุฒิ หรือคุณวุฒิ ซึ่ง ส.ส.อีสานแม้ยังไม่มีการประชุมกันแต่ก็หารือกันภายในเป็นประจำ ภาพที่ดูเงียบ อาจมองได้ว่าเงียบเพราะไม่มีอะไร แต่ความจริงเราพูดคุยกันตลอด อย่างไรก็ตาม หากมีการแต่งตั้ง ครม. และเกิดความไม่เป็นธรรม มีแต่พวกพ้อง ส.ส.อีสานคงต้องวิจารณ์แน่ และเชื่อว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมในพรรคอย่างแน่นอน
สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อแผ่นดิน ต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มจาก 4 เป็น 5 ตำแหน่ง โดยจะให้ นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร เป็น รมช.เกษตรฯ นั้น นายประจักษ์ กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรยึดโควตามากเกินไป ขอให้ร่วมกันตั้งรัฐบาลเพื่อเร่งแก้ปัญหาประเทศชาติด้วยความสมานฉันท์จะดีกว่า
ชท.เชื่อเกมต่อรองเก้าอี้ยังไม่จบ
แหล่งข่าวจากพรรคชาติไทยเปิดเผยว่า รายชื่อครม.ชุดใหม่ ที่มีการนำเสนอทางสื่อต่างๆในขณะนี้ คิดว่ายังไม่มีความชัดเจนถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากพรรคพลังประชาชนต้องการปล่อยออกมาเพื่อหยั่งกระแสตอบรับดูเท่านั้น ว่าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค จะพอใจหรือไม่ ในขณะเดียวกันเบื้องหลังยังคงมีการหารือลับ เพื่อต่อรองเก้าอี้กันต่อไปจนกว่าจะถึงวันโหวตเลือกตัวนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคพลังประชาชนจะเสนอชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ให้ที่ประชุมสภา รับรองตามขั้นตอน โดยไม่มีการเสนอชื่อคนอื่น หรือไม่มีพรรคอื่นเสนอชื่อมาแข่งอย่างที่เคยมีข่าวออกมา อีกทั้งการควบคุมเสียงภายในพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่น่ามีปัญหา เนื่องจากการโหวตนายกฯ นั้นจะเป็นการเรียกขานชื่อกันทีละรายชื่อ คงไม่มีใครกล้าแหกโผ
สำหรับพรรคชาติไทย จะได้รัฐมนตรีทั้งหมด 5 ตำแหน่ง ได้แก่ รองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการ 2 ที่นั่ง และ 2 รัฐมนตรีช่วย 2 ที่นั่ง ซึ่งกระทรวงที่พรรคชาติไทยขอไปคือ รมว.และ รมช. เกษตรฯ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และ รมช.คมนาคม อย่างไรก็ตาม การพิจารณาวางตัวบุคคลนั้น สมาชิกพรรคทุกคนมอบให้เป็น ดุลพินิจของนายบรรหาร ศิลปอาชา
"ประชัย"ยอมศิโรราบ"แม้ว"
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไทย ยอมรับว่า ตนได้ติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าขอให้เห็นแก่บ้านเมือง และขอเลิกลาต่อกัน ซึ่งตนก็เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ ประชาชนระดับรากหญ้าตกยากมาก มีแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นมหาศาล และคนกำลังจะตกงานเป็นล้านคน หากไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา อาจเกิดกลียุคขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรียังไม่ได้พูดคุยกัน แต่หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว คงจะมีการพูดคุยกัน
ส่วนการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ของ ส.ส.กลุ่ม นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เลขาธิการพรรคนั้น นายประชัย ยืนยันว่า เป็นมติที่ไม่ถูกต้อง และในวันนี้ (25 ม.ค.) จะเรียกประชุมร่วม ระหว่าง ส.ส. กับคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง เพื่อหารือกันว่า จะส่งใครเป็นรัฐมนตรี หากทุกฝ่ายมาประชุมร่วมกัน เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะยุติ เพราะเรื่องนี้ควรมาคิดร่วมกันไม่ควรไปคิดคนเดียว หากกลุ่มนางอนงค์วรรณ ยังไม่ยอมมาร่วมประชุมด้วย ก็จะเรียกประชุมใหม่ จนกว่าจะครบองค์ประชุม ซึ่งหากยังประชุมไม่ได้ การเข้าร่วมรัฐบาลดังกล่าวก็ยังไม่ใช่มติพรรค ก็จะมีการร้องเรียน เพราะไม่ถูกต้อง
วานนี้ (24 ม.ค.) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติ เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551 เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ 1. นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร 2. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 3. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2
จึงแต่งตั้งให้ผู้มีนามดังกล่าว เป็นประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามความในมาตรา 124 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2551 เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักราชเลขาธิการได้อัญเชิญประกาศแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร มายังสำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียรัฐบาล เมื่อเวลา16.45 น. โดยมีเจ้าหน้าที่ลิขิตสำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อัญเชิญไปประทับพระราชลัญจกร ก่อนที่จะอัญเชิญไปยังอาคารรัฐสภา
"ยงยุทธ"จัดพิธีรับพระบรมราชโองการ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ การจัดเตรียมพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภา ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับประกอบพิธี ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ บริเวณมณฑลพิธี ห้องโถงของอาคา รัฐสภา 1 โดยข้าราชการรัฐสภาได้แต่งชุดปกติขาว เพื่อเตรียมเข้าร่วมพิธีการสำคัญครั้งนี้ โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิธีรับพระบรมราชโองการ เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อยากให้เป็นศิริมงคลกับตัวเอง
จากนั้นเวลา 09.00 น. นายยงยุทธ เดินทางมาถึงรัฐสภา เพื่อรอรับสนองพระบรมราชโองการฯ โดยนายยงยุทธ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แต่กล่าวเพียงสั้นๆว่า ขอให้รอการโปรดเกล้าฯ อย่างเป็นทางการก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล ในฐานะพสกนิกรชาวไทย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจ ต้องทูลเกล้าฯ ยกขึ้นไว้เหนือหัว และพิธีการเช่นนี้ ได้ห่างหายไปนาน จึงต้องมีการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้คนใกล้ชิดไปอัญเชิญ พระพุทธรูปเชียงแสน ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเชียงราย เพื่อมาประดิษฐานไว้ในห้องทำงานด้วย
ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เมื่อเดินทางมาถึง ก็พักอยู่ที่ห้องรับรอง เพื่อรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเช่นกัน
ทั้งนี้ มีแกนนำ และส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ทยอยเดินทางมาร่วมพิธี และร่วมแสดงความยินดี อาทิ นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ร.ต.ท. เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ พ.ต.ท. สมชาย เพศประเสริฐ รวมทั้งส.ส.ภาคเหนือจำนวนมาก โดยบางส่วนได้แต่งเครื่องแบบปกติขาวไว้ทุกข์มาจากบ้านด้วย
นอกจากนี้ ได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอัมรินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของนายยงยุทธ มาให้ศีลให้พร และประพรมน้ำมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
ไม่ทรยศประเทศชาติ ราชบัลลังก์
หลังการรับพระบรมราชโองการฯ นายยุงยุทธ พร้อมด้วย รองประธานสภา ทั้ง 2 คน ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวชน โดยยืนยันว่า การทำงานจากนี้ไป จะมุ่งเน้นความรัก ความสามัคคี ปรองดองเป็นหลัก ไม่เลือกข้างไม่เลือกฝ่าย โดยจะมุ่งเน้นประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และสร้างบรรยากาศความเป็นมิตรในสภา จะไม่มีเสียงข้างมาก หรือข้างน้อย ดังนั้นเสียงข้างมากและข้างน้อยจะไม่มีความสำคัญไปมากกว่าความจริงใจของทุกฝ่ายที่ร่วมกันทำเพื่อประโยชน์ประ เทศชาติ
รวมถึงจะให้ความสำคัญกับการเมืองภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานในสภา ด้วยการจัดตั้งเวทีสาธารณะเป็นระยะ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วม แสดงความคิดเห็น และเสนอแนะการแก้ปัญหาที่สำคัญ โดยจะจัดให้มีผู้สังเกตการณ์คอยรับทราบปัญหาต่างๆ โดยกลไกไหนที่จะทำได้ในสภา จะเร่งผลักดัน ส่วนกลไกใดที่ไม่ใช่ของสภา จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอ
"เราทั้ง 3 คน ขอยืนยันว่าจะไม่มีวันทรยศหักหลังต่อประเทศชาติ และราชบัลลังก์ อย่างเด็ดขาด โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และจากนี้ไปอะไรที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง หรือความไม่เข้าใจต่างๆ เราในฐานะที่เป็นกลไกอันหนึ่งในระบอบการเมืองจะขอตั้งใจ ความไม่เข้าใจ ความบาดหมางใจ เราให้ความมั่นใจว่าจะเป็นกลไกสำคัญที่จะสร้างความปรองดองในชาติ จึงขอทำงานรับใช้ประชาชน และสนองตอบต่อพระบรมราชโองการฯ"นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวถึงการนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีว่า ตามข้อบังคับของสภาเก่ามีการอนุโลมให้เรียกเปิดประชุมสภาใน 3 วัน หรือเป็นอำนาจของประธานสภากำหนด แต่เพื่อไม่ให้มีการบาดหมางใจ และไม่เป็นการลุกลี้ลุกลน ตนได้มอบหมายให้วิปรัฐบาลชั่วคราว และเลขาธิการสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ประสานกับเสียงข้างน้อยขอเปิดประชุมในวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. เวลา 09.30 น.
ไม่รังเกียจฉายา "ยุทธ ตู้เย็น"
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการทุจริตที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ ที่ กกต. นายยงยุทธ กล่าวว่า จะไม่ใช้กลไกอะไร หรือมีการถอนคำร้องอย่างที่มีการกล่าวหา พร้อมร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า เป็นห่วงคดีบุกค้นบ้าน นายนิสสัย และนางอุดม ศตะกูรมะ ที่ จ.อยุธยา หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตอนนี้ ทางศาลได้พักคดี เพราะเหตุที่เกิด แม้สื่อมวลชนจะลงข่าวไปเยอะ เสมือนหนึ่งว่าตนได้กระทำความผิด ความจริงแล้วตนกับ พล.ต.ท. ปรัชญา สุทธปรีดา ผบช.ภ.1 ขณะนั้น ได้ไปตรวจพื้นที่ในตอนเช้า แต่เหตุเกิดประมาณ 01.00 น. ตนไปช่วยเยียวยาสถานการณ์ ส่วนความเกี่ยวพันกับตนนั้น เพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานนายกฯ เรียนปริญญาโท กับนายกอบต.ได้ประสานงาน และแจ้งข้อมูลไปยังตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะเกินกว่าเหตุหรือไม่ ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนตนไปเกี่ยวพัน เพราะเป็นนักการเมืองที่คนคิดว่าคงชอบบู๊ ไปทำอะไรที่ไม่ชอบ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งกระบวนการทางศาล คงเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่ามีแนวทางจะลบฉายา"ยุทธตู้เย็น" อย่างไร นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่เป็นไร นักการเมืองต้องมีฉายา พี่น้องประชาชนมีความสุข คนที่ให้ฉายามีความสุข ตนก็มีความสุขด้วย ยินดีไม่มีปัญหา
โหวตนายกฯ ไม่ห่วงเสียงแตก
นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือ วิปรัฐบาล กล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อการเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า ใน 6 พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างยืนยันที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีตามที่พรรคพลังประชาชนเสนอรายชื่ออย่างพร้อมเพรียง100 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าจะไม่มีเสียงแตก เนื่องจากการลงมติเป็นการออกเสียงโดยเปิดเผยในสภาอย่างชัดเจน โดยสมาชิกแต่ละคนจะลุกขึ้นกล่าวสนับสนุนหรือเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่เป็นห่วงว่าจะเกิดความผิดพลาด ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ
"พลังแม้ว" ยึด 9 กระทรวงหลัก
นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจัดสรรโควต้ารัฐมนตรีให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ในส่วนของพรรคพลังประชาชน จะประกอบไปด้วย กระทรวงกลาโหม มหาดไทย คลัง พาณิชย์ ยุติธรรม คมนาคม ต่างประเทศ ศึกษาธิการ และสาธารณสุข โดยกระทรวงที่กล่าวมานี้ คนของพรรคพลังประชาชน จะเป็นรัฐมนตรีว่าการทั้งหมด
สำหรับกระทรวงพลังงาน เป็นโควตาของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโควตาของพรรคชาติไทย ส่วนกระทรวงแรงงาน เป็นของพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นั้น ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล
"เจ๊มิ่ง" นั่งรองนายกฯ ควบพาณิชย์
สำหรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น น่าจะมีทั้งหมด 4 คน เป็นอย่างน้อย โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับตำแหน่งรองนายกฯ ที่ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ และอาจจะควบกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หรือกระทรวงพาณิชย์ ด้วย นอกจากนั้นจะมีรองนายกฯ ที่ดูแลด้านกฎหมาย ด้านสังคม และด้านความมั่นคง ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นั้น น่าจะมี 2-3 คน สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะมีประมาณ 4-5 คน โดยจะดูแลด้านสื่อ กฎหมาย เศรษฐกิจ และสำนักงานกฤษฎีกา
นายนพดล ยังกล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีภายในพรรค ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก ส่วนกรณีที่ส.ส.อีสานของพรรคออกมาเรียกร้องโควตารัฐมนตรี ที่ ส.ส.อีสานควรจะได้รับนั้น ยืนยันว่าพรรคจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
โต้ TDRI "เลี้ยบ" เป็นหมอไม่ใช่ลูกแหง่
สำหรับกรณีที่ นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการด้านวิจัยเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความกังวลหาก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ได้เป็น รมว.คลัง โดยวิจารณ์ว่า เป็นลูกแหง่ ต้องมีพี่เลี้ยงนั้น ตนเชื่อว่าจะไม่ใช่ลูกแหง่ เพราะ นพ.สุรพงษ์ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ คนที่เรียนจบหมอได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา สามารถที่จะผลักดันนโยบายได้ และ นพ.สุรพงษ์ ก็เคยผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้ว ไม่ใช่รัฐมนตรีสมัครเล่นแน่นอน
"นพ.สุรพงษ์ มีประสบการณ์จากที่เคยเป็นรมว.ไอซีที มาก่อน และเคยประกอบธุรกิจส่วนตัว อีกทั้งคนที่เรียนหมอ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คงไม่ต้องมีพี่เลี้ยง ดังนั้นอยากจะให้นายสมชัยให้เกียรติ เลขาธิการพรรคพลังประชาชนด้วย การที่จะติคนนั้นต้องให้เขาบริหารงานก่อนแล้วถึงตัดสิน แต่ถ้าหากอยากที่จะวิจารณ์คน ก็ขอให้ดูกรณีของ นายฉลองภพ ที่บริหารกระทรวงการคลัง มาหลายเดือนว่าประสบความสำเร็จหรือไม่"นายนพดล กล่าว และว่า หาก นพ.สุรพงษ์ เป็น รมว.คลัง จริงๆ ก็จะเป็นตัวจริงเสียงจริง ไม่จำเป็นต้องมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นพี่เลี้ยง
ส่วนกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ระบุว่า สัดส่วนรัฐมนตรีจะใช้อัตรา ส.ส. 5 คน ต่อ 1รัฐมนตรี ไม่ใช่ 9 ต่อ 1 นั้น นายนพดล กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับ นพ.สุรพงษ์แล้ว โดยหลักการจะต้องใช้จำนวน ส.ส. 315 คน หารด้วยจำนวนรัฐมนตรี 36 เก้าอี้ จะตกประมาณ 8-9 คน ต่อ 1 รัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการอะลุ้มอะล่วยให้กับพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นจะไม่มีความขัดแย้งแน่นอน
เมื่อถามว่า ดูเหมือนว่าจะให้สิทธิพิเศษกับพรรคชาติไทยมากกว่าพรรคอื่น นายนพดล กล่าวว่า เราไม่ได้ให้สิทธิพิเศษ แต่การพิจารณาจัดสรรรัฐมนตรีนั้น นพ.สุรพงษ์ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค จะเป็นคนสรุปว่าจะได้จำนวนเท่าไร และจะใช้เกณฑ์เดียวกันทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาล
ปัดข่าว "แม้ว" บวช
นายนพดล กล่าวด้วยว่า ล่าสุดตนได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อช่วงเช้า (24 ม.ค. ) ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาบวช ที่วัดยานนาวานั้น ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบวชเรียนและศึกษาธรรมะมาแล้ว และเมื่อเดินทางกลับมาในเดือน พ.ค. ก็ยังมีงานสาธารณกุศล กีฬา การศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รอท่านอยู่อีกมาก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า แกนนำพรรคเดินทางไปประเทศฮ่องกง เพื่อพูดคุยเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น นายนพดล กล่าวว่า อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ค่าเครื่องบินแพง ดังนั้นเมื่อมาอยู่ที่ฮ่องกง คนจึงเดินทางไปพบเยอะ ซึ่งมีทั้งคนที่เคารพนับถือ แกนนำพรรคพลังประชาชน และคนที่เคยร่วมงานกันในรัฐบาลที่แล้ว
สำหรับการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เลื่อนออกไปเป็นเดือนพ.ค.นั้น นายนพดล กล่าวว่า ไม่ใช่การเลื่อน แต่เพราะคดีของคุณหญิงพจมานจะต้องใช้เวลาในการตรวจเอกสาร 90 วัน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 30 เม.ย. พอดี แต่ขณะนี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่า น่าจะเป็นเดือนพ.ค. เพราะมีการยืนยันเป็นเอกสารที่ยื่นต่อศาลไว้ด้วย ทั้งนี้การจะกลับประเทศไทยนั้น ต้องดูเรื่องคดี และเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกลอบสังหารหลายครั้ง ดังนั้นจึงต้องดูเป็นพิเศษ
ส.ส.อีสานขอโควต้า รมต. 10 เก้าอี้
นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีในส่วนของพรรคว่า อยากให้คณะผู้บริหารพรรค คำนึงถึงสัดส่วน ส.ส.ในภาคอีสานอย่างเหมาะสมด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามคำพูดของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่ว่า อัตราส่วนรัฐมนตรีคือส.ส. 10 คน ต่อรัฐมนตรี 1 ตำแหน่งนั้น ส.ส.อีสาน ที่มีประมาณ 110 คน ก็ต้องได้ 10 เก้าอี้ เพื่อให้มีตัวแทนเป็นฝ่ายบริหารเข้าไปกำหนดนโยบาย ตามที่ได้หาเสียง และเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน โดยเฉพาะในจ.ขอนแก่น นั้น มีส.ส.เข้ามายกทีมถึง 11 คน และยังเป็นจังหวัดที่ได้รับการยอมรับผลการเลือกตั้ง ก็ต้องได้ 1 ตำแหน่ง หรือ หากคิดตามสูตรที่พูดกันคือ 5 ต่อ 1 นั้น ก็ต้องได้ 2 ตำแหน่ง
ขณะนี้ ส.ส. อีสานจะฟังการตัดสินใจของคณะผู้บริหารพรรค ที่ต้องพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยความเป็นธรรม หากจะให้ใครทำงานด้านไหน ต้องมีคำอธิบายว่า ดูจากวัยวุฒิ หรือคุณวุฒิ ซึ่ง ส.ส.อีสานแม้ยังไม่มีการประชุมกันแต่ก็หารือกันภายในเป็นประจำ ภาพที่ดูเงียบ อาจมองได้ว่าเงียบเพราะไม่มีอะไร แต่ความจริงเราพูดคุยกันตลอด อย่างไรก็ตาม หากมีการแต่งตั้ง ครม. และเกิดความไม่เป็นธรรม มีแต่พวกพ้อง ส.ส.อีสานคงต้องวิจารณ์แน่ และเชื่อว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมในพรรคอย่างแน่นอน
สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อแผ่นดิน ต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มจาก 4 เป็น 5 ตำแหน่ง โดยจะให้ นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร เป็น รมช.เกษตรฯ นั้น นายประจักษ์ กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรยึดโควตามากเกินไป ขอให้ร่วมกันตั้งรัฐบาลเพื่อเร่งแก้ปัญหาประเทศชาติด้วยความสมานฉันท์จะดีกว่า
ชท.เชื่อเกมต่อรองเก้าอี้ยังไม่จบ
แหล่งข่าวจากพรรคชาติไทยเปิดเผยว่า รายชื่อครม.ชุดใหม่ ที่มีการนำเสนอทางสื่อต่างๆในขณะนี้ คิดว่ายังไม่มีความชัดเจนถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากพรรคพลังประชาชนต้องการปล่อยออกมาเพื่อหยั่งกระแสตอบรับดูเท่านั้น ว่าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค จะพอใจหรือไม่ ในขณะเดียวกันเบื้องหลังยังคงมีการหารือลับ เพื่อต่อรองเก้าอี้กันต่อไปจนกว่าจะถึงวันโหวตเลือกตัวนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคพลังประชาชนจะเสนอชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ให้ที่ประชุมสภา รับรองตามขั้นตอน โดยไม่มีการเสนอชื่อคนอื่น หรือไม่มีพรรคอื่นเสนอชื่อมาแข่งอย่างที่เคยมีข่าวออกมา อีกทั้งการควบคุมเสียงภายในพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่น่ามีปัญหา เนื่องจากการโหวตนายกฯ นั้นจะเป็นการเรียกขานชื่อกันทีละรายชื่อ คงไม่มีใครกล้าแหกโผ
สำหรับพรรคชาติไทย จะได้รัฐมนตรีทั้งหมด 5 ตำแหน่ง ได้แก่ รองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการ 2 ที่นั่ง และ 2 รัฐมนตรีช่วย 2 ที่นั่ง ซึ่งกระทรวงที่พรรคชาติไทยขอไปคือ รมว.และ รมช. เกษตรฯ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และ รมช.คมนาคม อย่างไรก็ตาม การพิจารณาวางตัวบุคคลนั้น สมาชิกพรรคทุกคนมอบให้เป็น ดุลพินิจของนายบรรหาร ศิลปอาชา
"ประชัย"ยอมศิโรราบ"แม้ว"
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไทย ยอมรับว่า ตนได้ติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าขอให้เห็นแก่บ้านเมือง และขอเลิกลาต่อกัน ซึ่งตนก็เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ ประชาชนระดับรากหญ้าตกยากมาก มีแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นมหาศาล และคนกำลังจะตกงานเป็นล้านคน หากไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา อาจเกิดกลียุคขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรียังไม่ได้พูดคุยกัน แต่หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว คงจะมีการพูดคุยกัน
ส่วนการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ของ ส.ส.กลุ่ม นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เลขาธิการพรรคนั้น นายประชัย ยืนยันว่า เป็นมติที่ไม่ถูกต้อง และในวันนี้ (25 ม.ค.) จะเรียกประชุมร่วม ระหว่าง ส.ส. กับคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง เพื่อหารือกันว่า จะส่งใครเป็นรัฐมนตรี หากทุกฝ่ายมาประชุมร่วมกัน เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะยุติ เพราะเรื่องนี้ควรมาคิดร่วมกันไม่ควรไปคิดคนเดียว หากกลุ่มนางอนงค์วรรณ ยังไม่ยอมมาร่วมประชุมด้วย ก็จะเรียกประชุมใหม่ จนกว่าจะครบองค์ประชุม ซึ่งหากยังประชุมไม่ได้ การเข้าร่วมรัฐบาลดังกล่าวก็ยังไม่ใช่มติพรรค ก็จะมีการร้องเรียน เพราะไม่ถูกต้อง