รอยเตอร์/เอเอฟพี - โตโยต้า ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบทำยอดขายรถทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วพุ่งขึ้นหายใจรดต้นคอจีเอ็ม ค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ1ของโลก ห่างกันเพียงแค่ 3,000 คัน ด้านนักวิเคราะห์คาดท้ายที่สุดโตโยต้าจะสามารถขึ้นครองตำแหน่งบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่สุดในโลกในปีนี้ โค่นจีเอ็มซึ่งครองตำแหน่งนี้มาร่วม 80 ปี
ที่ผ่านมา คาดกันว่าจีเอ็มซึ่งสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดอเมริกันอย่างต่อเนื่องนั้นจะสูญตำแหน่งค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ1ของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปี หลังจากที่โตโยต้าแถลงยอดการผลิตรถทั่วโลกที่สูงเกินกว่าที่คาด เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธ(23) จีเอ็ม มอเตอร์ส คอร์ป แถลงยอดขายรถทั่วโลกในปี2007 อยู่ที่ 9,369,524 คัน ขณะที่โตโยต้าแถลงตัวเลขคาดประมาณยอดขายรถเมื่อปีที่แล้วว่า อยู่ที่ราว 9,366,000 คัน ทำยอดน้อยกว่าจีเอ็มเพียงแค่ราว 3,500 คัน
โตโยต้าไม่ได้แถลงตัวเลขยอดขายที่แน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปี โตโยต้าแถลงตัวเลขประมาณการยอดขายรถเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ 9,370,000 คัน ทำให้บรรดาผู้จับตาดูอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าในที่สุดโตโยต้าจะทำยอดขายแซงหน้าจีเอ็มในปีนี้
ตัวเลขยอดขายในปีแล้วของค่ายรถทั้งสองไม่ได้ทำให้นักวิเคราะห์ประหลาดใจเท่าใดนัก โดยนักวิเคราะห์มองว่าการที่ยอดขายต่างกันเพียง 3,500 คัน เป็นสัญญาณชี้ว่าโตโยต้าจะโค่นเก้าอี้จีเอ็ม ขึ้นเป็นค่ายรถรายใหญ่ที่สุด ในปีนี้
ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบและผู้บุกเบิกรถไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอเมริกัน ขณะที่จีเอ็มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศบ้านเกิด
ณ ตอนนี้ จีเอ็มพึ่งพายอดขายในต่างประเทศ ในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัท และกลายเป็นค่ายรถระดับโลกค่ายแรกที่ทำยอดขายรถในจีนได้มากกว่า 1,000,000 คัน
ทว่า นักวิเคราะห์กล่าวว่าในขณะที่ยอดขายรถของจีเอ็มเพิ่มขึ้น 3% ในปีที่แล้ว ยอดขายของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 6%
"หากไม่นับยอดขาย สิ่งที่สำคัญก็คือแรงกระตุ้น ระหว่างจีเอ็มกับโตโยต้า ซึ่งแตกต่างกัน" ยาสึอากิ อิวาโมโตะ นักวิเคราะห์ยานยนต์แห่งบริษัทหลักทรัพย์โอกะซัง กล่าว
อิวาโมโตะกล่าวว่าถึงแม้ว่ายอดขายของจีเอ็มจะเพิ่มสูงขึ้นในตลาดเกิดใหม่ แต่เมื่อดูยอดขายทั่วโลกโดยรวมแล้ว เห็นได้ชัดว่าโตโยต้าอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าในแง่ของแรงกระตุ้น
ยอดขายรถของจีเอ็มนอกตลาดสหรัฐฯมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,500,000 คัน คิดเป็น 59% ของจำนวนยอดขายทั่วโลก ทั้งนี้ ยอดขายของจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 15.% ขายได้มากที่สุดในจีน ทว่า ยอดขายในอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
หากวัดจากปริมาณการขาย กลับตกลงถึง 6.1% สืบเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ วิกฤติสินเชื่อเคหะประเภท"ซับไพรม์" และการลดการขายให้กับบริษัทเช่ารถ
ในปัจจุบัน จีเอ็มอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการในอเมริกาเหนือซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน 34,000 คน และปิดโรงงาน 12 แห่ง หลังจากที่ขาดทุนยับกว่า 12,000 ล้าน เมื่อปี2005 และ2006
ที่ผ่านมา คาดกันว่าจีเอ็มซึ่งสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดอเมริกันอย่างต่อเนื่องนั้นจะสูญตำแหน่งค่ายรถยักษ์ใหญ่อันดับ1ของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปี หลังจากที่โตโยต้าแถลงยอดการผลิตรถทั่วโลกที่สูงเกินกว่าที่คาด เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธ(23) จีเอ็ม มอเตอร์ส คอร์ป แถลงยอดขายรถทั่วโลกในปี2007 อยู่ที่ 9,369,524 คัน ขณะที่โตโยต้าแถลงตัวเลขคาดประมาณยอดขายรถเมื่อปีที่แล้วว่า อยู่ที่ราว 9,366,000 คัน ทำยอดน้อยกว่าจีเอ็มเพียงแค่ราว 3,500 คัน
โตโยต้าไม่ได้แถลงตัวเลขยอดขายที่แน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปี โตโยต้าแถลงตัวเลขประมาณการยอดขายรถเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ 9,370,000 คัน ทำให้บรรดาผู้จับตาดูอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าในที่สุดโตโยต้าจะทำยอดขายแซงหน้าจีเอ็มในปีนี้
ตัวเลขยอดขายในปีแล้วของค่ายรถทั้งสองไม่ได้ทำให้นักวิเคราะห์ประหลาดใจเท่าใดนัก โดยนักวิเคราะห์มองว่าการที่ยอดขายต่างกันเพียง 3,500 คัน เป็นสัญญาณชี้ว่าโตโยต้าจะโค่นเก้าอี้จีเอ็ม ขึ้นเป็นค่ายรถรายใหญ่ที่สุด ในปีนี้
ค่ายรถยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบและผู้บุกเบิกรถไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอเมริกัน ขณะที่จีเอ็มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศบ้านเกิด
ณ ตอนนี้ จีเอ็มพึ่งพายอดขายในต่างประเทศ ในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัท และกลายเป็นค่ายรถระดับโลกค่ายแรกที่ทำยอดขายรถในจีนได้มากกว่า 1,000,000 คัน
ทว่า นักวิเคราะห์กล่าวว่าในขณะที่ยอดขายรถของจีเอ็มเพิ่มขึ้น 3% ในปีที่แล้ว ยอดขายของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 6%
"หากไม่นับยอดขาย สิ่งที่สำคัญก็คือแรงกระตุ้น ระหว่างจีเอ็มกับโตโยต้า ซึ่งแตกต่างกัน" ยาสึอากิ อิวาโมโตะ นักวิเคราะห์ยานยนต์แห่งบริษัทหลักทรัพย์โอกะซัง กล่าว
อิวาโมโตะกล่าวว่าถึงแม้ว่ายอดขายของจีเอ็มจะเพิ่มสูงขึ้นในตลาดเกิดใหม่ แต่เมื่อดูยอดขายทั่วโลกโดยรวมแล้ว เห็นได้ชัดว่าโตโยต้าอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าในแง่ของแรงกระตุ้น
ยอดขายรถของจีเอ็มนอกตลาดสหรัฐฯมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,500,000 คัน คิดเป็น 59% ของจำนวนยอดขายทั่วโลก ทั้งนี้ ยอดขายของจีเอ็มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 15.% ขายได้มากที่สุดในจีน ทว่า ยอดขายในอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
หากวัดจากปริมาณการขาย กลับตกลงถึง 6.1% สืบเนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ วิกฤติสินเชื่อเคหะประเภท"ซับไพรม์" และการลดการขายให้กับบริษัทเช่ารถ
ในปัจจุบัน จีเอ็มอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการในอเมริกาเหนือซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน 34,000 คน และปิดโรงงาน 12 แห่ง หลังจากที่ขาดทุนยับกว่า 12,000 ล้าน เมื่อปี2005 และ2006