”สุรยุทธ์”เปิดใจยอมรับล้มล้างอำนาจเก่ายาก เหตุข้าราชการต้องทำตามหน้าที่ ส่วนความสมานฉันท์ก็ไม่ง่าย อ้างพันธมิตรฯไม่มองรัฐบาลเป็นพันธมิตรฯ จึงทำอะไรลำบาก แถมช่วง ”แม้ว” ยกหูขอกลับประเทศพอนำไปหารือ ”บิ๊กบัง” เรื่องกลับเงียบระบุสมานฉันท์ต้องใช้เวลา ปัดเกาเหลา “สนธิ” ยืนยันมาชวนให้นั่งนายกฯ 3 ครั้ง ทั้งที่ไม่อยากเป็น รับเป็นพวกเสียงข้างน้อย แต่ก็ยอมรับเสียงข้างมากที่ประชาชนเลือก เชื่อ ”ทักษิณ” ยังมีอิทธิพลและบารมีเพราะเงินเยอะ วอนยุติดึง ”ป๋าเปรม” ยุ่งการเมือง เผยหลังลงจากเก้าอี้ไม่เกี่ยวข้องการเมืองอีก ขอใช้ชีวิตที่บ้านเขายายเที่ยง
วานนี้(20 ม.ค.)พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวเปิดใจว่า การทำหน้าที่รัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ใช่เป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรได้ดังใจเพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทำอะไรลำบาก บางทีเขาก็อยากให้เราทำแต่ทำไม่ได้ ส่วนการล้มล้างอำนาจเก่ายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะการดำเนินการของรัฐบาลจำเป็นต้องมีข้าราชการเป็นกลไก ซึ่งข้าราชการก็มีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าอำนาจเก่าหรือใหม่เข้ามา ข้าราชการก็ต้องทำหน้าที่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องลำบากและการที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขอให้ออกมติครม.(ต่ออายุ) ความจริงไม่ต้องออกก็ได้ เราก็สั่งการได้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงจุดประสงค์หลัก 3 ข้อในการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ที่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า มันก็ลำบากแม้กระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นพันธมิตร มองเป็นอีกส่วนหนึ่ง มันก็ทำให้การดำเนินการใด ๆ ลำบาก และการพุ่งเป้าที่จะล้มล้างอำนาจระบอบทักษิณในหลักการแล้วมันต้องใช้กระบวนการยุติธรรม หากหลักฐานทางกฎหมายไม่มีก็จะทำอะไรลำบาก
ส่วนการทำงานร่วมกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า มีความขัดแย้งกันในลักษณะคอหอยกับลูกกระเดือก พล.อ.สุรยุทธ์ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไร ตนเคยทำงานกับ พล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นน้อง และการที่พล.อ.สนธิ เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่าไม่ได้เลือกตนเองมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตนไม่รู้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ขัดกัน เราทำงานด้วยกัน
“พล.อ.สนธิมาชวนผม 3 ครั้ง ผมก็ไม่ได้อยากมาเป็นนายกฯ และถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากเป็นนายกฯ เลย คุณตาผมถูกยิงตาย พ่อผมเองก็ไม่ได้ตายในประเทศไทย ผมไม่อยากให้ครอบครัวยุ่งเกี่ยวกับการเมือง คงไม่ได้อยากให้ชีวิตเหมือนในอดีต ที่เขาเรียกกันว่ากงกรรมกงเกวียน ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ต้องแยกจากกัน หลังจากหมดหน้าที่ผมก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาทำงานการเมือง มันเจ็บปวดพอแล้ว ในชีวิตครอบครัวเป็นผู้นำครอบครัวต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าแยกจากกันมันจะเป็นอย่างไร และหลังจากนี้ไปก็จะอยู่บนบ้านพักเขายายเที่ยงเป็นส่วนใหญ่”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะกลับมาเป็นองคมนตรีอีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คิดอะไรไม่ได้ ขึ้นอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนถ้ามีใครมาขอ ให้เป็นที่ปรึกษาก็คงไม่รับแล้ว ไปทำอย่างอื่นดีกว่า เข็ดมาตั้งแต่เด็กแล้วเรื่องการเมือง เมื่อถามว่าที่ผ่านมา 1 ปี พล.อ.สนธิ เคยขอให้ท่านหลีกทางหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า “ถ้าอยากให้ผมลงจากนายกฯ บอกผมผมก็ไปแล้ว”
**เผยสนธิไม่สมานฉันท์แม้ว
ส่วนความสมานฉันท์ทางการเมืองยังมีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ความสมานฉันท์อยู่ที่การพูดคุยกัน ถ้าพูดคุยกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ ที่ผ่านมาตนเห็นหมดแล้วรู้ว่ามันไม่มีทางอื่น นอกจากการพูดจากัน ในประเทศกัมพูชา ฆ่ากันกี่ล้านคนยังไงก็ต้องมาพูดจากัน มันไม่มีทางอื่น เป็นธรรมดา ทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ ไม่นานก็ต้องพูดคุยกัน ส่วนอะไรจะเป็นจุดที่ทำให้ทุกฝ่ายมานั่งพูดคุยกันนั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับทุกๆ ฝ่ายที่จะช่วยกัน ต้องลดทิฐิ ข้อขัดแย้ง อะไรยอมกันได้ก็ต้องยอม ทุกอย่างมีทางออก
เมื่อถามว่าในช่วงที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำไมจึงไม่เริ่มให้มีการพูดจากัน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ก็พยายามแล้ว แต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมจะปฏิบัติ ด้านหนึ่งก็ต้องการให้กวาดล้างอำนาจเก่าให้หมด
“ครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์มาได้พูดคุยกันว่าต้องการกลับประเทศ เพราะเป็นห่วงครอบครัว และเมื่อคุยแล้วผมก็นำความมาหารือกับพล.อ.สนธิว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง แต่ก็เงียบไป ไม่มีอะไรคืบหน้า ผมพยายามแล้วทำในส่วนนี้ตั้งแต่แรก ๆ ที่มีหน้าที่เข้ามาดูแลสถานการณ์ แต่ดูบรรยากาศแล้วมันไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยากพูดจากัน มีแต่พูดจาตั้งป้อมทำลายล้างอำนาจเก่า เราก็ทำหน้าที่เป็นคนพยายามประสาน”
ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าใครเป็นฝ่ายไม่ยินยอม พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจ คงไม่ใช่ฝ่ายทหารที่มีส่วนสำคัญ ต่างฝ่ายต่างมีทิฐิ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะพยายามให้มีการพูดคุยกันได้อีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองของเรา ถ้ามีความสงบได้ก็ดี ดังนั้น การทำให้เกิดความสงบคงไม่จำเป็นต้องอยู่ในหน้าที่ เราคนไทยคนหนึ่งก็มีสิทธิ์ ทำให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองได้
**เมื่อพปช.ตั้งรัฐบาลก็ต้องให้เป็นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังผลเลือกตั้งออกมาน้อง ๆ ในคมช.ยอมรับผลหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ เรื่องมือที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันพูดยาก เมื่อถามย้ำว่า ทหารยอมรับผลการเลือกตั้งที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลและนายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ได้คุยว่ายอมรับหรือไม่ แต่คุยกันว่าเห็นอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างเมื่อเป็นไปตามขั้นตอนก็ต้องเป็นไป
ส่วนความรู้สึกในฐานะเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารแล้วกลุ่มอำนาจเก่าได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งนั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ก็รู้สึกว่าประชาชนตัดสินแล้ว เราคงเอาความรู้สึกส่วนตัวไปบอกเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อประชาชนตัดสินแล้ว ต้องยอมรับ เราเป็นเสียงส่วนน้อยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ เมื่อถามว่าที่บอกว่าเป็นเสียงส่วนน้อยแสดงว่าไม่เห็นด้วยกับพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวทันทีว่า “เสียงส่วนน้อย มันเป็นสิทธิของผม เป็นสิทธิ์ส่วนตัว ไม่มีปัญหา เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิหย่อนบัตร”
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงส่วนน้อยจะดำเนินการอะไรหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เหมือนเพลงทหารเรือที่เนื้อเพลงว่า อนาคตเราไม่รู้ ถึงไม่รู้ก็ต้องเดินไป ดังนั้นขอผู้สื่อข่าวอย่าถามเรื่องอนาคต เพราะถ้ารู้เรื่องอนาคต ก็คงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้ คงรวยไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามจึงบอกว่าที่ต้องการถามอนาคตจากนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่า เป็นผู้มีบารมีในการกำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศได้คนหนึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มีบารมีอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าทหารจะกลับมาอีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นเรื่องที่จะกลับไปกลับมาและไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
**วอนคนไทยจงรักภักดีอย่างจริงใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกอย่างไรที่พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษถูกเชื่อมโยงทางการเมือง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า การที่เอาท่านมาเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง ถ้าไม่ทำเสียได้หรือว่าเบาลงหน่อยก็จะดี เพราะในฐานะเป็นประธานองคมนตรีมันลำบากที่จะหลีกเลี่ยงกับการเชื่อมโยงและเมื่อเป็นข่าวเชื่อมโยงไปแล้วก็จะทำให้เกิดความสูญเสีย เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะสามารถลดในสิ่งเหล่านี้
”การที่สวมเสื้อเรารักในหลวง แต่เราไม่ปฏิบัติ เราไม่ช่วยกัน ท่านก็เหนื่อย เรื่องพลานามัยท่านก็ยังเป็นอย่างที่เราเห็น ไม่มีพละกำลังที่พระเพลา(เข่า) เราคนไทยจะช่วยในเรื่องเหล่านี้กันได้บ้างอย่างไร เมื่อเราพูดถึงความจงรักภักดี พูดถึงความรักต่อพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นเรื่องที่เราควรจะช่วยกันดูด้วย ในเรื่องต่างๆ ทั่วไป บางทีเราพูดกันแต่ว่าเราไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ผมเองก็ถือว่าเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในฐานะที่มาทำงานการเมือง ข้อแรกก็คือจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ข้อสอง ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ซื่อตรง ทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน สิ่งเหล่านี้ผมก็ถือว่าได้ถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์แล้วทุกอย่างก็ต้องทำตามนั้นหมด”
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่า นายสมัครจะเพลาลงหรือไม่กับการกระทำที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ทราบ อย่างที่บอกตนไม่สามารถตอบแทนคนอื่นได้ ก็เลยไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง
**รับไม่ง่ายให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาคุยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะเป็นตัวเชื่อมให้ทุกฝ่าย ได้พูดคุยกัน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ตนเห็นในอดีตที่ผ่านมาก็ต้องใช้เวลานาน เมื่อถามย้ำว่าจะไปคุยกับพรรคพลังประชาชน และแกนนำหลักของรัฐบาลหรือไม่ว่าขอให้เลิกพูดจาพาดพิงประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ในขณะนี้ก็คงจะยังไม่มีโอกาส เพราะเรื่องเฉพาะหน้าคือ เรื่องการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลของตนไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำในส่วนนี้ อย่างที่ได้พูดว่าถ้าเป็นการเปลี่ยนผ่านถ้าเป็นไปโดยเรียบร้อยก็จะเป็นสิ่งที่ดี
ต่อข้อถามว่าคิดว่าเลยจุดที่จะพูดคุยกันแล้วหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนมองในส่วนหนึ่งคือเรื่องของเวลา เวลาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการคลี่คลายเรื่องราว ต่าง ๆ ให้บรรเทาลงได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรใหม่ขึ้นมาอีก บาดแผลมันก็จะค่อยๆ รักษาตัวมันเอง นั่นเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นไปโดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปขยายแผล
เมื่อถามว่าเวลานั้นจะมาถึงหรือยัง หรือต้องทอดระยะเวลาไปอีกนาน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตอบเป็นครั้งที่ 6 แล้วว่าไม่รู้อนาคต
**สมัครควรนั่งนายกฯหรือไม่อยู่ที่พรรคร่วม
ผู้สื่อข่าวถามว่าในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ มีคำถามว่านายสมัคร เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ กล่าวว่า สิ่งที่นายสมัครตอบไว้ดีที่สุดแล้วคือการที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีให้เลือกในสภา ไม่ใช่เลือกกันอยู่ข้างนอก นั่นหมายถึง พรรคการเมืองที่จะเข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลคงจะมีการหารือกันและมีการโหวตเสียงในสภา ส่วนในฐานะที่กำลังจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี คิดว่านายกรัฐมนตีคนต่อไป ควรมีลักษณะอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า บอกไม่ได้ มันอยู่ที่พรรคการเมือง ที่เกี่ยวข้องจะโหวตกันไปกำหนดอะไรไม่ได้ ตนไม่มีความคิดเห็นในเรื่องตัวบุคคลเหล่านี้
เมื่อถามย้ำว่าความนุ่มนวล อ่อนน้อม เกี่ยวข้องหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คงไปบอกไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ถามย้ำอีกว่านายสมัคร เหมาะหรือไม่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า อยู่ที่พรรคการเมือง อย่างที่บอกว่าจะต้องมีการเลือกกันในสภา ถ้าเขาเห็นว่าเหมาะก็เป็นวิถีทางที่ถูกต้อง เป็นขั้นตอนที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯคนใหม่ต้องยึดแนวทางสมานฉันท์ต่อหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบต้องไปถามท่านเอง เมื่อมีการโหวตแล้ว ตนไม่รู้ว่าใครจะเป็น ต่อข้อถามว่าถ้านายสมัครได้เป็นนายกรัฐมนตรี เสียงส่วนน้อยในปัจจุบันรวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีเองที่บอกว่าเป็นเสียงส่วนน้อยจะรู้สึกอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นเสียงส่วนน้อย เพียงแต่บอกว่าในวิถีทางการเมืองมันจะต้องมีเสียงส่วนมากและเสียงส่วนน้อย แต่เสียงส่วนน้อยต้องปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนใหญ่ก็ต้องเคารพในความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อย นั่นคือวิถีทางที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันมากจนเกินไป หรือถ้าหากว่าเราอยู่กันอย่างนี้โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ มันก็จะทำได้ง่ายขึ้น ขอย้ำว่าตนเองไม่ได้เป็น เสียงส่วนน้อย ตนเพียงแต่บอกว่า ทำหน้าที่เป็นกรรมการ
ส่วนหากนายสมัคร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคิดว่าจะนำพาประเทศไปอย่างที่คาดหวังหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ย้อนผู้สื่อข่าวว่า ถามถึงอนาคตอีกแล้ว
**ขอพูดฝากงานเป็นการส่วนตัวกับนายกฯใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากฝากอะไรไปยังรัฐบาลหน้า พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มี ต้องรอให้มีโอกาสได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตนจะได้ฝากสิ่งเหล่านั้น ตอนนี้คงไม่บอกผ่านสื่อ แต่เชื่อว่าจะต้องมีโอกาสได้คุยกันเพื่อส่งมอบงานให้ รายละเอียดยังไม่พูดตอนนี้ขอเก็บไว้ก่อนไว้พูดกันสองคน โดยจะพูดคุยกันอย่างเป็นทางการหากมีเวลาที่จะพบและพูดคุยกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นนายกฯ ยังแสดงความยินดีใครไม่ได้
ส่วนได้แสดงความยินดีกับพรรคที่ชนะการเลือกตั้งหรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์ หัวเราะและกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่เคยติดต่อกับพรรคพลังประชาชน อย่างที่บอกว่าทำหน้าที่เป็นกรรมการมันก็ลำบากอย่างนี้
**อยากได้นายกฯซื่อสัตย์-จงรักภักดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งอยากได้นายกรัฐมนตรีแบบไหน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า อยากได้นายกรัฐมนตีอย่างที่คนไทยทุกคนอยากเห็น คือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทำงานเพื่อส่วนรวม มีความจงรักภักดี เท่านี้ก็พอสมควรแล้ว
ส่วนผลการเลือกตั้งที่ออกมาตรงใจหรือไม่นั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตรง เพราะคนที่ตนอยากให้เขาเข้ามา เขาก็เข้ามาได้ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นความลับส่วนตัว (ในพื้นที่ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ใช้สิทธิ์ เขตพญาไท ประชาธิปัตย์ได้ยกทีม)
ต่อข้อถามว่านายกรัฐมนตรียอมรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา แล้วในส่วน พล.อ.สนธิ ยอมรับด้วยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เท่าที่คุยกัน เมื่อผ่านตามขั้นตอนทุกอย่างก็ถือว่าถูกต้อง ขั้นตอนการเลือกตั้ง ขั้นตอนการตรวจสอบของ กกต. ที่มีปัญหาต่าง ๆ ที่เข้าสู่ศาลต่าง ๆ เมื่อผ่านสิ่งเหล่านี้ไปแล้วนั่นก็ถือว่าถูกต้อง
**ให้เวลาเยียวยาปัญหาให้คลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้ พล.อ.สนธิหายไปไหน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้หาย ยังอยู่ ยังไม่ได้ไปไหน วันอังคารนี้ก็คงมาประชุม ครม.
เมื่อถามว่าได้หารือกับพล.อ.สนธิ ถึงกรณีการเตรียมรับมือกลุ่มอำนาจเก่าที่จะกลับมาบริหารประเทศหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องมีการพูดคุยอะไรกัน เพราะทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าเมื่อมาตามหลักการตามขั้นตอน ก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่จะทำหน้าที่กันต่อไป
”อย่างที่ผมได้เรียนว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็จะคลี่คลายไปเอง และทุกคนก็จะตระหนักว่าถ้าเผื่อเรายังยึดทิฐิยึดสิ่งที่จะต้องมีการอย่างที่พูดกันในหนังจีนว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ มันก็ไม่จบ มันก็จะเป็นอย่างนี้”พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวพร้อมตอบคำถามว่าถ้ามีโอกาสก็สอยใช่หรือไม่ว่า ไม่รู้ ตนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยึดสุภาษิตจีนที่ว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไปเดาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้
**เผยกองทัพไม่ได้ต่อรองเก้าอี้รมว.กห.
ส่วนที่มีการมองกันว่ากำลังเกี๊ยะเซี๊ยะกันระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ โดยเฉพาะกรณีข่าวการต่อรองเก้าอี้ รมว.กลาโหม พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการต่อรองอะไรกัน เห็นถามกันทางสื่อ ก็คงไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดจากันโดยตรง ตนไม่แน่ใจ เท่าที่ฟังดูคงไม่น่าจะใช่การเกี๊ยะเซี๊ยะ แต่เป็นการถามตอบกันผ่านสื่อ จริงๆ ตนไม่แน่ใจว่าจะมีการพูดจากันหรือไม่ เพราะเห็นแต่รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เมื่อตนถามว่าได้คุยกันด้วยหรือ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ก็บอกว่าไม่ได้พูด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการกลับมาของคุณหญิง พจมาน ชินวัตร มีผลต่อการแถลงร่วมรัฐบาล 6 พรรคหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตอบคำถามตรงนี้ได้ เราไม่มีข้อมูลในส่วนนี้
**รับแม้วมีอิทธิพลเพราะเงินเยอะ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วถึงเวลาเหมาะสมที่พ.ต.ท. ทักษิณ จะกลับมาหรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่าตนพูดมานานแล้วว่า ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดสินใจอย่างไร เป็นสิทธิ และถ้าเป็นไปได้จะได้มาต่อสู้คดีต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดี
เมื่อถามว่ามองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ให้คุณหญิงพจมานกลับมาสู้คดีเพื่อกรุยทาง หากชนะคดีพ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมา แต่ถ้าแพ้คดีจะไม่กลับมา พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนบอกไม่ได้จริง ๆ ว่ามีความประสงค์และมีเจตนาอะไร เราไปคิดแทนคนอื่นมันลำบาก ตนคิดไม่ได้แต่ตอบของตัวเองได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าถึงวันนี้คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอิทธิพลหรือบารมีอยู่ใน เมืองไทยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวยอมรับว่า ตนคิดว่าอย่างน้อย ท่านก็เป็นนายกรัฐมนตรีมา 6 ปี ก็คงมีพวกมีเพื่อนมีอะไรต่าง ๆ และรวมทั้งมีเงินด้วย (หัวเราะ)
“ผมก็มองเหมือนคนในสังคมของเราว่า คนที่อยู่ในฐานะอย่างนี้ก็น่าจะมีบารมี และน่าจะมีอิทธิพล ถ้าไปถามกับชาวบ้านที่ในจังหวัดต่าง ๆ ก็ส่วนหนึ่งที่เห็นว่าคุณทักษิณเป็นคนที่เขาชื่นชอบ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงมีอิทธิพลอยู่ในเมืองไทยอีกนาน ด้วยความที่เป็นคนมีเงินเยอะใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ถ้าปัจจุบันเราก็พอวิเคราะห์ได้ แต่ในอนาคตเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง และตนก็มักจะไม่ยอมพูดถึงอนาคต
วานนี้(20 ม.ค.)พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวเปิดใจว่า การทำหน้าที่รัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ใช่เป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรได้ดังใจเพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทำอะไรลำบาก บางทีเขาก็อยากให้เราทำแต่ทำไม่ได้ ส่วนการล้มล้างอำนาจเก่ายอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะการดำเนินการของรัฐบาลจำเป็นต้องมีข้าราชการเป็นกลไก ซึ่งข้าราชการก็มีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าอำนาจเก่าหรือใหม่เข้ามา ข้าราชการก็ต้องทำหน้าที่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องลำบากและการที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขอให้ออกมติครม.(ต่ออายุ) ความจริงไม่ต้องออกก็ได้ เราก็สั่งการได้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงจุดประสงค์หลัก 3 ข้อในการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ที่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า มันก็ลำบากแม้กระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่ได้มองว่าเราเป็นพันธมิตร มองเป็นอีกส่วนหนึ่ง มันก็ทำให้การดำเนินการใด ๆ ลำบาก และการพุ่งเป้าที่จะล้มล้างอำนาจระบอบทักษิณในหลักการแล้วมันต้องใช้กระบวนการยุติธรรม หากหลักฐานทางกฎหมายไม่มีก็จะทำอะไรลำบาก
ส่วนการทำงานร่วมกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า มีความขัดแย้งกันในลักษณะคอหอยกับลูกกระเดือก พล.อ.สุรยุทธ์ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไร ตนเคยทำงานกับ พล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นน้อง และการที่พล.อ.สนธิ เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่าไม่ได้เลือกตนเองมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตนไม่รู้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้ขัดกัน เราทำงานด้วยกัน
“พล.อ.สนธิมาชวนผม 3 ครั้ง ผมก็ไม่ได้อยากมาเป็นนายกฯ และถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากเป็นนายกฯ เลย คุณตาผมถูกยิงตาย พ่อผมเองก็ไม่ได้ตายในประเทศไทย ผมไม่อยากให้ครอบครัวยุ่งเกี่ยวกับการเมือง คงไม่ได้อยากให้ชีวิตเหมือนในอดีต ที่เขาเรียกกันว่ากงกรรมกงเกวียน ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ต้องแยกจากกัน หลังจากหมดหน้าที่ผมก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาทำงานการเมือง มันเจ็บปวดพอแล้ว ในชีวิตครอบครัวเป็นผู้นำครอบครัวต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าแยกจากกันมันจะเป็นอย่างไร และหลังจากนี้ไปก็จะอยู่บนบ้านพักเขายายเที่ยงเป็นส่วนใหญ่”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะกลับมาเป็นองคมนตรีอีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้คิดอะไรไม่ได้ ขึ้นอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนถ้ามีใครมาขอ ให้เป็นที่ปรึกษาก็คงไม่รับแล้ว ไปทำอย่างอื่นดีกว่า เข็ดมาตั้งแต่เด็กแล้วเรื่องการเมือง เมื่อถามว่าที่ผ่านมา 1 ปี พล.อ.สนธิ เคยขอให้ท่านหลีกทางหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า “ถ้าอยากให้ผมลงจากนายกฯ บอกผมผมก็ไปแล้ว”
**เผยสนธิไม่สมานฉันท์แม้ว
ส่วนความสมานฉันท์ทางการเมืองยังมีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ความสมานฉันท์อยู่ที่การพูดคุยกัน ถ้าพูดคุยกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ ที่ผ่านมาตนเห็นหมดแล้วรู้ว่ามันไม่มีทางอื่น นอกจากการพูดจากัน ในประเทศกัมพูชา ฆ่ากันกี่ล้านคนยังไงก็ต้องมาพูดจากัน มันไม่มีทางอื่น เป็นธรรมดา ทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ ไม่นานก็ต้องพูดคุยกัน ส่วนอะไรจะเป็นจุดที่ทำให้ทุกฝ่ายมานั่งพูดคุยกันนั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับทุกๆ ฝ่ายที่จะช่วยกัน ต้องลดทิฐิ ข้อขัดแย้ง อะไรยอมกันได้ก็ต้องยอม ทุกอย่างมีทางออก
เมื่อถามว่าในช่วงที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำไมจึงไม่เริ่มให้มีการพูดจากัน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ก็พยายามแล้ว แต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมจะปฏิบัติ ด้านหนึ่งก็ต้องการให้กวาดล้างอำนาจเก่าให้หมด
“ครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์มาได้พูดคุยกันว่าต้องการกลับประเทศ เพราะเป็นห่วงครอบครัว และเมื่อคุยแล้วผมก็นำความมาหารือกับพล.อ.สนธิว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง แต่ก็เงียบไป ไม่มีอะไรคืบหน้า ผมพยายามแล้วทำในส่วนนี้ตั้งแต่แรก ๆ ที่มีหน้าที่เข้ามาดูแลสถานการณ์ แต่ดูบรรยากาศแล้วมันไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยากพูดจากัน มีแต่พูดจาตั้งป้อมทำลายล้างอำนาจเก่า เราก็ทำหน้าที่เป็นคนพยายามประสาน”
ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าใครเป็นฝ่ายไม่ยินยอม พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจ คงไม่ใช่ฝ่ายทหารที่มีส่วนสำคัญ ต่างฝ่ายต่างมีทิฐิ ผู้สื่อข่าวถามว่าจะพยายามให้มีการพูดคุยกันได้อีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คิดว่าเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองของเรา ถ้ามีความสงบได้ก็ดี ดังนั้น การทำให้เกิดความสงบคงไม่จำเป็นต้องอยู่ในหน้าที่ เราคนไทยคนหนึ่งก็มีสิทธิ์ ทำให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองได้
**เมื่อพปช.ตั้งรัฐบาลก็ต้องให้เป็นไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังผลเลือกตั้งออกมาน้อง ๆ ในคมช.ยอมรับผลหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ เรื่องมือที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันพูดยาก เมื่อถามย้ำว่า ทหารยอมรับผลการเลือกตั้งที่พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลและนายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ได้คุยว่ายอมรับหรือไม่ แต่คุยกันว่าเห็นอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างเมื่อเป็นไปตามขั้นตอนก็ต้องเป็นไป
ส่วนความรู้สึกในฐานะเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารแล้วกลุ่มอำนาจเก่าได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งนั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ก็รู้สึกว่าประชาชนตัดสินแล้ว เราคงเอาความรู้สึกส่วนตัวไปบอกเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อประชาชนตัดสินแล้ว ต้องยอมรับ เราเป็นเสียงส่วนน้อยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ เมื่อถามว่าที่บอกว่าเป็นเสียงส่วนน้อยแสดงว่าไม่เห็นด้วยกับพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวทันทีว่า “เสียงส่วนน้อย มันเป็นสิทธิของผม เป็นสิทธิ์ส่วนตัว ไม่มีปัญหา เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิหย่อนบัตร”
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงส่วนน้อยจะดำเนินการอะไรหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เหมือนเพลงทหารเรือที่เนื้อเพลงว่า อนาคตเราไม่รู้ ถึงไม่รู้ก็ต้องเดินไป ดังนั้นขอผู้สื่อข่าวอย่าถามเรื่องอนาคต เพราะถ้ารู้เรื่องอนาคต ก็คงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้ คงรวยไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามจึงบอกว่าที่ต้องการถามอนาคตจากนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่า เป็นผู้มีบารมีในการกำหนดอนาคตทางการเมืองของประเทศได้คนหนึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มีบารมีอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าทหารจะกลับมาอีกหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นเรื่องที่จะกลับไปกลับมาและไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
**วอนคนไทยจงรักภักดีอย่างจริงใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกอย่างไรที่พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษถูกเชื่อมโยงทางการเมือง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า การที่เอาท่านมาเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง ถ้าไม่ทำเสียได้หรือว่าเบาลงหน่อยก็จะดี เพราะในฐานะเป็นประธานองคมนตรีมันลำบากที่จะหลีกเลี่ยงกับการเชื่อมโยงและเมื่อเป็นข่าวเชื่อมโยงไปแล้วก็จะทำให้เกิดความสูญเสีย เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะสามารถลดในสิ่งเหล่านี้
”การที่สวมเสื้อเรารักในหลวง แต่เราไม่ปฏิบัติ เราไม่ช่วยกัน ท่านก็เหนื่อย เรื่องพลานามัยท่านก็ยังเป็นอย่างที่เราเห็น ไม่มีพละกำลังที่พระเพลา(เข่า) เราคนไทยจะช่วยในเรื่องเหล่านี้กันได้บ้างอย่างไร เมื่อเราพูดถึงความจงรักภักดี พูดถึงความรักต่อพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นเรื่องที่เราควรจะช่วยกันดูด้วย ในเรื่องต่างๆ ทั่วไป บางทีเราพูดกันแต่ว่าเราไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ผมเองก็ถือว่าเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในฐานะที่มาทำงานการเมือง ข้อแรกก็คือจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ข้อสอง ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ซื่อตรง ทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน สิ่งเหล่านี้ผมก็ถือว่าได้ถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์แล้วทุกอย่างก็ต้องทำตามนั้นหมด”
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่า นายสมัครจะเพลาลงหรือไม่กับการกระทำที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ทราบ อย่างที่บอกตนไม่สามารถตอบแทนคนอื่นได้ ก็เลยไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง
**รับไม่ง่ายให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาคุยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะเป็นตัวเชื่อมให้ทุกฝ่าย ได้พูดคุยกัน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ตนเห็นในอดีตที่ผ่านมาก็ต้องใช้เวลานาน เมื่อถามย้ำว่าจะไปคุยกับพรรคพลังประชาชน และแกนนำหลักของรัฐบาลหรือไม่ว่าขอให้เลิกพูดจาพาดพิงประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ในขณะนี้ก็คงจะยังไม่มีโอกาส เพราะเรื่องเฉพาะหน้าคือ เรื่องการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลของตนไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำในส่วนนี้ อย่างที่ได้พูดว่าถ้าเป็นการเปลี่ยนผ่านถ้าเป็นไปโดยเรียบร้อยก็จะเป็นสิ่งที่ดี
ต่อข้อถามว่าคิดว่าเลยจุดที่จะพูดคุยกันแล้วหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนมองในส่วนหนึ่งคือเรื่องของเวลา เวลาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการคลี่คลายเรื่องราว ต่าง ๆ ให้บรรเทาลงได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรใหม่ขึ้นมาอีก บาดแผลมันก็จะค่อยๆ รักษาตัวมันเอง นั่นเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นไปโดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปขยายแผล
เมื่อถามว่าเวลานั้นจะมาถึงหรือยัง หรือต้องทอดระยะเวลาไปอีกนาน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตอบเป็นครั้งที่ 6 แล้วว่าไม่รู้อนาคต
**สมัครควรนั่งนายกฯหรือไม่อยู่ที่พรรคร่วม
ผู้สื่อข่าวถามว่าในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ มีคำถามว่านายสมัคร เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ กล่าวว่า สิ่งที่นายสมัครตอบไว้ดีที่สุดแล้วคือการที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีให้เลือกในสภา ไม่ใช่เลือกกันอยู่ข้างนอก นั่นหมายถึง พรรคการเมืองที่จะเข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลคงจะมีการหารือกันและมีการโหวตเสียงในสภา ส่วนในฐานะที่กำลังจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี คิดว่านายกรัฐมนตีคนต่อไป ควรมีลักษณะอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า บอกไม่ได้ มันอยู่ที่พรรคการเมือง ที่เกี่ยวข้องจะโหวตกันไปกำหนดอะไรไม่ได้ ตนไม่มีความคิดเห็นในเรื่องตัวบุคคลเหล่านี้
เมื่อถามย้ำว่าความนุ่มนวล อ่อนน้อม เกี่ยวข้องหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คงไปบอกไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ถามย้ำอีกว่านายสมัคร เหมาะหรือไม่ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า อยู่ที่พรรคการเมือง อย่างที่บอกว่าจะต้องมีการเลือกกันในสภา ถ้าเขาเห็นว่าเหมาะก็เป็นวิถีทางที่ถูกต้อง เป็นขั้นตอนที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯคนใหม่ต้องยึดแนวทางสมานฉันท์ต่อหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบต้องไปถามท่านเอง เมื่อมีการโหวตแล้ว ตนไม่รู้ว่าใครจะเป็น ต่อข้อถามว่าถ้านายสมัครได้เป็นนายกรัฐมนตรี เสียงส่วนน้อยในปัจจุบันรวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีเองที่บอกว่าเป็นเสียงส่วนน้อยจะรู้สึกอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นเสียงส่วนน้อย เพียงแต่บอกว่าในวิถีทางการเมืองมันจะต้องมีเสียงส่วนมากและเสียงส่วนน้อย แต่เสียงส่วนน้อยต้องปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนใหญ่ก็ต้องเคารพในความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อย นั่นคือวิถีทางที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันมากจนเกินไป หรือถ้าหากว่าเราอยู่กันอย่างนี้โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ มันก็จะทำได้ง่ายขึ้น ขอย้ำว่าตนเองไม่ได้เป็น เสียงส่วนน้อย ตนเพียงแต่บอกว่า ทำหน้าที่เป็นกรรมการ
ส่วนหากนายสมัคร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคิดว่าจะนำพาประเทศไปอย่างที่คาดหวังหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ย้อนผู้สื่อข่าวว่า ถามถึงอนาคตอีกแล้ว
**ขอพูดฝากงานเป็นการส่วนตัวกับนายกฯใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากฝากอะไรไปยังรัฐบาลหน้า พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มี ต้องรอให้มีโอกาสได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตนจะได้ฝากสิ่งเหล่านั้น ตอนนี้คงไม่บอกผ่านสื่อ แต่เชื่อว่าจะต้องมีโอกาสได้คุยกันเพื่อส่งมอบงานให้ รายละเอียดยังไม่พูดตอนนี้ขอเก็บไว้ก่อนไว้พูดกันสองคน โดยจะพูดคุยกันอย่างเป็นทางการหากมีเวลาที่จะพบและพูดคุยกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นนายกฯ ยังแสดงความยินดีใครไม่ได้
ส่วนได้แสดงความยินดีกับพรรคที่ชนะการเลือกตั้งหรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์ หัวเราะและกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่เคยติดต่อกับพรรคพลังประชาชน อย่างที่บอกว่าทำหน้าที่เป็นกรรมการมันก็ลำบากอย่างนี้
**อยากได้นายกฯซื่อสัตย์-จงรักภักดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งอยากได้นายกรัฐมนตรีแบบไหน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า อยากได้นายกรัฐมนตีอย่างที่คนไทยทุกคนอยากเห็น คือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทำงานเพื่อส่วนรวม มีความจงรักภักดี เท่านี้ก็พอสมควรแล้ว
ส่วนผลการเลือกตั้งที่ออกมาตรงใจหรือไม่นั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตรง เพราะคนที่ตนอยากให้เขาเข้ามา เขาก็เข้ามาได้ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นความลับส่วนตัว (ในพื้นที่ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ใช้สิทธิ์ เขตพญาไท ประชาธิปัตย์ได้ยกทีม)
ต่อข้อถามว่านายกรัฐมนตรียอมรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา แล้วในส่วน พล.อ.สนธิ ยอมรับด้วยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า เท่าที่คุยกัน เมื่อผ่านตามขั้นตอนทุกอย่างก็ถือว่าถูกต้อง ขั้นตอนการเลือกตั้ง ขั้นตอนการตรวจสอบของ กกต. ที่มีปัญหาต่าง ๆ ที่เข้าสู่ศาลต่าง ๆ เมื่อผ่านสิ่งเหล่านี้ไปแล้วนั่นก็ถือว่าถูกต้อง
**ให้เวลาเยียวยาปัญหาให้คลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้ พล.อ.สนธิหายไปไหน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้หาย ยังอยู่ ยังไม่ได้ไปไหน วันอังคารนี้ก็คงมาประชุม ครม.
เมื่อถามว่าได้หารือกับพล.อ.สนธิ ถึงกรณีการเตรียมรับมือกลุ่มอำนาจเก่าที่จะกลับมาบริหารประเทศหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องมีการพูดคุยอะไรกัน เพราะทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าเมื่อมาตามหลักการตามขั้นตอน ก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่จะทำหน้าที่กันต่อไป
”อย่างที่ผมได้เรียนว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็จะคลี่คลายไปเอง และทุกคนก็จะตระหนักว่าถ้าเผื่อเรายังยึดทิฐิยึดสิ่งที่จะต้องมีการอย่างที่พูดกันในหนังจีนว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ มันก็ไม่จบ มันก็จะเป็นอย่างนี้”พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวพร้อมตอบคำถามว่าถ้ามีโอกาสก็สอยใช่หรือไม่ว่า ไม่รู้ ตนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยึดสุภาษิตจีนที่ว่า บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไปเดาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้
**เผยกองทัพไม่ได้ต่อรองเก้าอี้รมว.กห.
ส่วนที่มีการมองกันว่ากำลังเกี๊ยะเซี๊ยะกันระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ โดยเฉพาะกรณีข่าวการต่อรองเก้าอี้ รมว.กลาโหม พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการต่อรองอะไรกัน เห็นถามกันทางสื่อ ก็คงไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดจากันโดยตรง ตนไม่แน่ใจ เท่าที่ฟังดูคงไม่น่าจะใช่การเกี๊ยะเซี๊ยะ แต่เป็นการถามตอบกันผ่านสื่อ จริงๆ ตนไม่แน่ใจว่าจะมีการพูดจากันหรือไม่ เพราะเห็นแต่รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เมื่อตนถามว่าได้คุยกันด้วยหรือ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ก็บอกว่าไม่ได้พูด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการกลับมาของคุณหญิง พจมาน ชินวัตร มีผลต่อการแถลงร่วมรัฐบาล 6 พรรคหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตอบคำถามตรงนี้ได้ เราไม่มีข้อมูลในส่วนนี้
**รับแม้วมีอิทธิพลเพราะเงินเยอะ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วถึงเวลาเหมาะสมที่พ.ต.ท. ทักษิณ จะกลับมาหรือยัง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่าตนพูดมานานแล้วว่า ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดสินใจอย่างไร เป็นสิทธิ และถ้าเป็นไปได้จะได้มาต่อสู้คดีต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดี
เมื่อถามว่ามองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ให้คุณหญิงพจมานกลับมาสู้คดีเพื่อกรุยทาง หากชนะคดีพ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมา แต่ถ้าแพ้คดีจะไม่กลับมา พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนบอกไม่ได้จริง ๆ ว่ามีความประสงค์และมีเจตนาอะไร เราไปคิดแทนคนอื่นมันลำบาก ตนคิดไม่ได้แต่ตอบของตัวเองได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าถึงวันนี้คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอิทธิพลหรือบารมีอยู่ใน เมืองไทยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวยอมรับว่า ตนคิดว่าอย่างน้อย ท่านก็เป็นนายกรัฐมนตรีมา 6 ปี ก็คงมีพวกมีเพื่อนมีอะไรต่าง ๆ และรวมทั้งมีเงินด้วย (หัวเราะ)
“ผมก็มองเหมือนคนในสังคมของเราว่า คนที่อยู่ในฐานะอย่างนี้ก็น่าจะมีบารมี และน่าจะมีอิทธิพล ถ้าไปถามกับชาวบ้านที่ในจังหวัดต่าง ๆ ก็ส่วนหนึ่งที่เห็นว่าคุณทักษิณเป็นคนที่เขาชื่นชอบ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงมีอิทธิพลอยู่ในเมืองไทยอีกนาน ด้วยความที่เป็นคนมีเงินเยอะใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ถ้าปัจจุบันเราก็พอวิเคราะห์ได้ แต่ในอนาคตเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง และตนก็มักจะไม่ยอมพูดถึงอนาคต