วันหนึ่งเป็นเวลาเที่ยง กินข้าวก็ไม่ลงเพราะรู้สึกจืดชืดและเหม็นหืนอย่างไรชอบกล ดื่มได้ก็แต่น้ำ จึงฝืนดื่มน้ำเพื่อชดเชยแทนอาหาร ดื่มน้ำมากก็ปวดปัสสาวะ แต่พอจะไปปัสสาวะเท่านั้นก็รู้สึกว่าเดินแทบไม่ไหวแล้ว บังเอิญมีกระโถนอยู่ใกล้ๆ จึงต้องปัสสาวะใส่กระโถน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องปัสสาวะใส่กระโถน ปัสสาวะแล้วก็กลับมานอนที่ห้อง
ในพลันนั้นตาก็ชำเลืองไปที่หน้าพระ เห็นรูปพระอาจารย์และเจ้าประคุณสมเด็จตั้งอยู่ จิตก็หวนรำลึกถึงพระ แต่เป็นเรื่องแปลก ความรู้สึกในขณะนั้นกลับรำลึกถึงพระอาจารย์ที่บ้านเกิดมากที่สุด
แวบหนึ่งของความรู้สึกนั้นก็หวนรำลึกถึงคำพระอาจารย์ก่อนเดินทางออกจากบ้านมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ว่าถ้าขัดสนประการใดก็ให้รำลึกถึงผ้ายันต์คาบสมุทรที่พระอาจารย์ได้มอบให้ไว้กำกับตัว
ผมรำลึกถึงคำพระอาจารย์เช่นนั้นใจก็แช่มชื่นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ผ้ายันต์คาบสมุทรอยู่บนหิ้งพระซึ่งเป็นที่สูง เอื้อมมือหยิบไม่ถึง จึงตะเกียกตะกายค่อย ๆ ลากเอาเก้าอี้มารองยืน เห็นผ้ายันต์คาบสมุทรสีแดงฉานยังคงวางอยู่ในพานเบื้องหน้ารูปพระอาจารย์ โดยที่ไม่มีฝุ่นเกาะจับเหมือนกับพื้นที่ตรงอื่นๆ ก็มีความชุ่มชื่นใจยิ่งนัก
ขณะนั้นผมยืนทรงตัวบนเก้าอี้แทบไม่ไหว มือหนึ่งต้องยันไว้ที่ข้างฝา อีกมือหนึ่งยกขึ้นไหว้พระอาจารย์ แต่เป็นการไหว้ด้วยมือข้างเดียว จิตก็น้อมรำลึกสวดบทสรรเสริญพระรัตนตรัย
แล้วบอกกล่าวพระอาจารย์ว่านับแต่เกิดมาไม่เคยป่วยอาการหนักหนาถึงปานนี้เลย อาการป่วยหนักหนาสาหัสถึงขนาดจิตคิดรำลึกถึงความตายแล้ว แต่ยังไม่อยากตาย ยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่รู้ที่จะทำฉันใด และไม่เห็นที่พึ่งอื่นใด ขอพระอาจารย์ได้ช่วยคุ้มครองชีวิตด้วยเถิด
ผมไหว้บอกพระอาจารย์แล้วก็เชิญผ้ายันต์คาบสมุทรกลับมายังที่นอน แล้วเกิดความนึกคิดขึ้นว่าให้ใช้ผ้ายันต์คาบสมุทรทาบบริเวณหน้าท้องที่ปวด ผมก็ทำตามความรู้สึกนึกคิดนั้นแล้วพริ้มตาลง สวดนะโมตัสสะ และบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และพระคาถาบารมี 30 ทัศ จากนั้นก็ร่ายมนต์บทที่พระอาจารย์เคยสอนไว้อีก 2-3 บท
จบแล้วก็พนมมือขึ้นรำลึกถึงพระอาจารย์และพ่อท่านเฒ่าผู้เป็นเจ้าตำรับยันต์คาบสมุทรและตั้งอธิษฐานว่าป่วยครั้งนี้มีอาการมาก ไม่เห็นที่พึ่งใดที่จะรักษาชีวิตได้ ขอบารมีพระอาจารย์และพ่อท่านเฒ่าได้ช่วยคุ้มครองรักษาชีวิตศิษย์ผู้ยากไว้ด้วยเถิด
จากนั้นผมก็ภาวนาพระคาถากำกับยันต์คาบสมุทรและพระคาถาชินบัญชรไปโดยลำดับ แต่เห็นจะไม่ทันจบก็ม่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แล้วบังเกิดความฝันที่มหัศจรรย์ขึ้น โดยเป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิต
ในฝันนั้นว่าผมกำลังเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบก็ไม่ใช่ ที่เนินก็ไม่เชิง เพราะเป็นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่เป็นพื้นเรียบ ไม่มีความขรุขระแต่ประการใด ไม่มีต้นไม้ สิงสาราสัตว์ หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไม่มีแสงอาทิตย์ แสงดาว หรือแสงเดือน หรือสายลม บรรยากาศช่างสลัวและเวิ้งว้างเต็มที
เป็นสถานที่และบรรยากาศที่ไม่เคยพบเห็นหรือประสบหรือรู้สึกนึกคิดมาก่อนเลยในชีวิต แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นกว้างใหญ่เหลือประมาณนัก มองไปสุดลูกหูลูกตาก็มีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน ข้าง ๆ ทางมีเนินดินเล็ก ๆ คล้ายเนินดินหลังฮวงซุ้ยอยู่เป็นจำนวนมาก และรู้สึกว่าใต้เนินดินนั้นมีศพวางนอนอยู่เป็นจำนวนมาก
บังเกิดความคิดขึ้นว่าอยากจะตะโกนปลุกให้ศพเหล่านั้นตื่นฟื้นขึ้นมา แต่พอคิดได้เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็รู้สึกว่าตัวมายืนอยู่ตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง ที่ฝั่งตรงกันข้ามมีแสงวาบขึ้น จึงหยุดความคิดเช่นนั้นแล้วทอดสายตาไปดู
แสงนั้นก็หายไป กลายเป็นขนำเล็ก ๆ หลังหนึ่ง เห็นพระอาจารย์ครองจีวรสีกลักนั่งยิ้มอยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา แล้วโบกมือเรียกผมเข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าขนำ กราบพระอาจารย์แล้วถามว่าทำไมพระอาจารย์จึงมาอยู่ที่นี่
แต่พระอาจารย์กลับพูดว่าจะตะโกนปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาไม่ได้ ในขณะที่พูดนั้นพระอาจารย์ก็ล้วงมือเข้าไปในย่าม แล้วหยิบเอาของสิ่งหนึ่งขึ้นมาเป็นสีน้ำตาลแกมดำ มีขนาดเท่านิ้วชี้ ยาวขนาดสามสี่องคุลีควั่นเป็นเกลียวอยู่ แต่ดูไปแล้วมิใช่เป็นวัตถุ และน่าจะเป็นผลไม้แห้งหรือว่านสักอย่างหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก
พระอาจารย์ยื่นของสิ่งนั้นมาที่ผม ผมก็แบมือรับ แล้วยกมือขึ้นไหว้พระอาจารย์ ในขณะที่พระอาจารย์ก็เตือนว่าให้รีบกินเข้าไป ความป่วยไข้ก็จะหาย ผมก็รีบเอาเข้าปาก เคี้ยวกลืนอย่างรวดเร็ว
ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนของแห้งแต่กลับนุ่ม ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนของเหนียวแต่อ่อนละมุนราวกับขนมโมจิ แต่ไร้รสไร้ชาติหรือกลิ่นใด ๆ
พอผมกลืนลงคอเท่านั้น พระอาจารย์ก็บอกว่ารีบกลับไปเถิด ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว สิ้นเสียงพระอาจารย์ก็เหมือนกับมีแสงวาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกตกใจตื่นขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวาดูรอบตัว รำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งประหนึ่งว่าชั่วครู่เดียวเท่านั้น แต่ดูนาฬิกาแล้วเป็นเวลาเกือบ 17.00 น. ซึ่งหมายความว่าผมนอนหลับไปร่วม 4 ชั่วโมง
ผมรู้ว่าเป็นความฝัน แต่ในพลันนั้นก็นึกถึงยันต์คาบสมุทร จึงเอามือแตะไปที่หน้าท้องซึ่งวางผ้ายันต์คาบสมุทรทาบอยู่ ก็ปรากฏว่าทุกสิ่งยังอยู่ในที่เดิมเหมือนกับตอนเริ่มนอนทุกประการ แต่อาการเจ็บหายไปเป็นปลิดทิ้ง และรู้สึกว่ามีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น มีความรู้สึกอยากกินโน่นกินนี่มากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะ
ผมลุกไปปัสสาวะและรู้สึกว่าความอ่อนเพลียหายไปเป็นปลิดทิ้งเหมือนกัน แต่ปัสสาวะยังเหลืองเข้มอยู่ และเข้มกว่าเก่าอีกด้วย แต่ความเจ็บปวดไม่เหลืออยู่แล้ว ผมรู้ตัวดีว่านี่เกิดขึ้นได้จากการที่พระอาจารย์แผ่บารมีมาช่วยเป็นแน่แท้ จึงผินหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นทิศสำนักของพระอาจารย์ ยกมือพนมขึ้นเหนือหัว ขอบคุณพระอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง
ผมรู้สึกในขณะนั้นว่าด้วยอานุภาพแห่งผ้ายันต์คาบสมุทรและบารมีของพระอาจารย์จึงบันดาลให้เกิดนิมิตเช่นนั้น และนิมิตดังกล่าวนี้ก็คงเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมเดินทางไปสู่แดนมัจจุราชแล้ว หากมิได้บารมีพระอาจารย์และผ้ายันต์คาบสมุทรคุ้มครองรั้งชีวิตเอาไว้ก็อาจจะตายไปแล้ว
เวลาหลังจากนั้นหลายปี ผมได้อ่านหนังสือและฟังคำเล่าเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้นมากมายหลายเรื่องราวก็รู้สึกแปลกประหลาดว่าบรรยากาศสถานที่และสภาพต่าง ๆ ของคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างนั้นจะไปยังดินแดนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมาแล้วจะต้องตายและไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปทางไหนก็ขอให้รำลึกนึกรู้ไว้เถิดว่าดินแดนที่จะพบเห็นอาจจะเป็นดังนิมิตที่ว่านี้ก็ได้
ผมกินอาหารเย็นวันนั้นด้วยความรู้สึกอร่อยเป็นมื้อแรกหลังจากเจ็บป่วยมาหลายวัน และเป็นการกินอิ่มมื้อแรกหลังความเจ็บไข้คราวนี้มาเยือน ในค่ำวันนั้นผมนอนหลับแต่หัวค่ำ และหลับสนิททั้งคืนโดยไร้ความวิตกหวาดกลัวหรือความฝันใด ๆ มาแผ้วพาน
ผมตื่นในตอนเช้าด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับจะเป็นปกติแล้ว ครั้นเข้าห้องน้ำ น้ำปัสสาวะไม่มีสีเหลืองเหมือนอย่างเคย กลายเป็นสีขาวเหมือนกับสีปัสสาวะปกติ ล้างหน้าล้างตาแล้วมาดูกระจกก็เห็นหน้าและตาที่เคยเหลืองจางออกไป มีสีเลือดระเรื่อให้เห็นอย่างชัดเจน
ถึงวันนัดหมอ ผมก็ไปให้หมอตรวจตามที่นัดหมาย หมอตรวจนั่นตรวจนี่แล้วก็แปลกใจตกตะลึง แล้วบอกว่าเธอไปรักษาหรือกินยาดีอะไรมาเพราะอาการที่ป่วยนั้นหายสนิท ผมก็บอกว่าไม่ได้ไปรักษาที่ไหน หมอแปลกใจระคนอยู่ จึงบอกว่าอีกสัปดาห์ให้มาตรวจใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ถึงกำหนดนัดผมก็ไปตรวจตามนัด ผลการตรวจก็ยืนยันเหมือนครั้งก่อนว่าอาการป่วยเจ็บหายสิ้นแล้ว ด้วยความแปลกประหลาดใจของหมอ แต่มันก็เป็นความจริงเช่นนั้น และความหายขาดของอาการไข้คราวนั้นก็หายขาดจริงๆ เพราะแม้ผมมีอายุล่วงเข้า 60 ปีแล้ว อาการป่วยไข้แบบนั้นก็ไม่ฟื้นคืนกลับมาอีกเลย.
ในพลันนั้นตาก็ชำเลืองไปที่หน้าพระ เห็นรูปพระอาจารย์และเจ้าประคุณสมเด็จตั้งอยู่ จิตก็หวนรำลึกถึงพระ แต่เป็นเรื่องแปลก ความรู้สึกในขณะนั้นกลับรำลึกถึงพระอาจารย์ที่บ้านเกิดมากที่สุด
แวบหนึ่งของความรู้สึกนั้นก็หวนรำลึกถึงคำพระอาจารย์ก่อนเดินทางออกจากบ้านมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ว่าถ้าขัดสนประการใดก็ให้รำลึกถึงผ้ายันต์คาบสมุทรที่พระอาจารย์ได้มอบให้ไว้กำกับตัว
ผมรำลึกถึงคำพระอาจารย์เช่นนั้นใจก็แช่มชื่นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ผ้ายันต์คาบสมุทรอยู่บนหิ้งพระซึ่งเป็นที่สูง เอื้อมมือหยิบไม่ถึง จึงตะเกียกตะกายค่อย ๆ ลากเอาเก้าอี้มารองยืน เห็นผ้ายันต์คาบสมุทรสีแดงฉานยังคงวางอยู่ในพานเบื้องหน้ารูปพระอาจารย์ โดยที่ไม่มีฝุ่นเกาะจับเหมือนกับพื้นที่ตรงอื่นๆ ก็มีความชุ่มชื่นใจยิ่งนัก
ขณะนั้นผมยืนทรงตัวบนเก้าอี้แทบไม่ไหว มือหนึ่งต้องยันไว้ที่ข้างฝา อีกมือหนึ่งยกขึ้นไหว้พระอาจารย์ แต่เป็นการไหว้ด้วยมือข้างเดียว จิตก็น้อมรำลึกสวดบทสรรเสริญพระรัตนตรัย
แล้วบอกกล่าวพระอาจารย์ว่านับแต่เกิดมาไม่เคยป่วยอาการหนักหนาถึงปานนี้เลย อาการป่วยหนักหนาสาหัสถึงขนาดจิตคิดรำลึกถึงความตายแล้ว แต่ยังไม่อยากตาย ยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่รู้ที่จะทำฉันใด และไม่เห็นที่พึ่งอื่นใด ขอพระอาจารย์ได้ช่วยคุ้มครองชีวิตด้วยเถิด
ผมไหว้บอกพระอาจารย์แล้วก็เชิญผ้ายันต์คาบสมุทรกลับมายังที่นอน แล้วเกิดความนึกคิดขึ้นว่าให้ใช้ผ้ายันต์คาบสมุทรทาบบริเวณหน้าท้องที่ปวด ผมก็ทำตามความรู้สึกนึกคิดนั้นแล้วพริ้มตาลง สวดนะโมตัสสะ และบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และพระคาถาบารมี 30 ทัศ จากนั้นก็ร่ายมนต์บทที่พระอาจารย์เคยสอนไว้อีก 2-3 บท
จบแล้วก็พนมมือขึ้นรำลึกถึงพระอาจารย์และพ่อท่านเฒ่าผู้เป็นเจ้าตำรับยันต์คาบสมุทรและตั้งอธิษฐานว่าป่วยครั้งนี้มีอาการมาก ไม่เห็นที่พึ่งใดที่จะรักษาชีวิตได้ ขอบารมีพระอาจารย์และพ่อท่านเฒ่าได้ช่วยคุ้มครองรักษาชีวิตศิษย์ผู้ยากไว้ด้วยเถิด
จากนั้นผมก็ภาวนาพระคาถากำกับยันต์คาบสมุทรและพระคาถาชินบัญชรไปโดยลำดับ แต่เห็นจะไม่ทันจบก็ม่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แล้วบังเกิดความฝันที่มหัศจรรย์ขึ้น โดยเป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิต
ในฝันนั้นว่าผมกำลังเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบก็ไม่ใช่ ที่เนินก็ไม่เชิง เพราะเป็นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่เป็นพื้นเรียบ ไม่มีความขรุขระแต่ประการใด ไม่มีต้นไม้ สิงสาราสัตว์ หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไม่มีแสงอาทิตย์ แสงดาว หรือแสงเดือน หรือสายลม บรรยากาศช่างสลัวและเวิ้งว้างเต็มที
เป็นสถานที่และบรรยากาศที่ไม่เคยพบเห็นหรือประสบหรือรู้สึกนึกคิดมาก่อนเลยในชีวิต แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นกว้างใหญ่เหลือประมาณนัก มองไปสุดลูกหูลูกตาก็มีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน ข้าง ๆ ทางมีเนินดินเล็ก ๆ คล้ายเนินดินหลังฮวงซุ้ยอยู่เป็นจำนวนมาก และรู้สึกว่าใต้เนินดินนั้นมีศพวางนอนอยู่เป็นจำนวนมาก
บังเกิดความคิดขึ้นว่าอยากจะตะโกนปลุกให้ศพเหล่านั้นตื่นฟื้นขึ้นมา แต่พอคิดได้เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็รู้สึกว่าตัวมายืนอยู่ตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง ที่ฝั่งตรงกันข้ามมีแสงวาบขึ้น จึงหยุดความคิดเช่นนั้นแล้วทอดสายตาไปดู
แสงนั้นก็หายไป กลายเป็นขนำเล็ก ๆ หลังหนึ่ง เห็นพระอาจารย์ครองจีวรสีกลักนั่งยิ้มอยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา แล้วโบกมือเรียกผมเข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าขนำ กราบพระอาจารย์แล้วถามว่าทำไมพระอาจารย์จึงมาอยู่ที่นี่
แต่พระอาจารย์กลับพูดว่าจะตะโกนปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาไม่ได้ ในขณะที่พูดนั้นพระอาจารย์ก็ล้วงมือเข้าไปในย่าม แล้วหยิบเอาของสิ่งหนึ่งขึ้นมาเป็นสีน้ำตาลแกมดำ มีขนาดเท่านิ้วชี้ ยาวขนาดสามสี่องคุลีควั่นเป็นเกลียวอยู่ แต่ดูไปแล้วมิใช่เป็นวัตถุ และน่าจะเป็นผลไม้แห้งหรือว่านสักอย่างหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก
พระอาจารย์ยื่นของสิ่งนั้นมาที่ผม ผมก็แบมือรับ แล้วยกมือขึ้นไหว้พระอาจารย์ ในขณะที่พระอาจารย์ก็เตือนว่าให้รีบกินเข้าไป ความป่วยไข้ก็จะหาย ผมก็รีบเอาเข้าปาก เคี้ยวกลืนอย่างรวดเร็ว
ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนของแห้งแต่กลับนุ่ม ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนของเหนียวแต่อ่อนละมุนราวกับขนมโมจิ แต่ไร้รสไร้ชาติหรือกลิ่นใด ๆ
พอผมกลืนลงคอเท่านั้น พระอาจารย์ก็บอกว่ารีบกลับไปเถิด ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว สิ้นเสียงพระอาจารย์ก็เหมือนกับมีแสงวาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกตกใจตื่นขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวาดูรอบตัว รำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งประหนึ่งว่าชั่วครู่เดียวเท่านั้น แต่ดูนาฬิกาแล้วเป็นเวลาเกือบ 17.00 น. ซึ่งหมายความว่าผมนอนหลับไปร่วม 4 ชั่วโมง
ผมรู้ว่าเป็นความฝัน แต่ในพลันนั้นก็นึกถึงยันต์คาบสมุทร จึงเอามือแตะไปที่หน้าท้องซึ่งวางผ้ายันต์คาบสมุทรทาบอยู่ ก็ปรากฏว่าทุกสิ่งยังอยู่ในที่เดิมเหมือนกับตอนเริ่มนอนทุกประการ แต่อาการเจ็บหายไปเป็นปลิดทิ้ง และรู้สึกว่ามีความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น มีความรู้สึกอยากกินโน่นกินนี่มากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะ
ผมลุกไปปัสสาวะและรู้สึกว่าความอ่อนเพลียหายไปเป็นปลิดทิ้งเหมือนกัน แต่ปัสสาวะยังเหลืองเข้มอยู่ และเข้มกว่าเก่าอีกด้วย แต่ความเจ็บปวดไม่เหลืออยู่แล้ว ผมรู้ตัวดีว่านี่เกิดขึ้นได้จากการที่พระอาจารย์แผ่บารมีมาช่วยเป็นแน่แท้ จึงผินหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นทิศสำนักของพระอาจารย์ ยกมือพนมขึ้นเหนือหัว ขอบคุณพระอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง
ผมรู้สึกในขณะนั้นว่าด้วยอานุภาพแห่งผ้ายันต์คาบสมุทรและบารมีของพระอาจารย์จึงบันดาลให้เกิดนิมิตเช่นนั้น และนิมิตดังกล่าวนี้ก็คงเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมเดินทางไปสู่แดนมัจจุราชแล้ว หากมิได้บารมีพระอาจารย์และผ้ายันต์คาบสมุทรคุ้มครองรั้งชีวิตเอาไว้ก็อาจจะตายไปแล้ว
เวลาหลังจากนั้นหลายปี ผมได้อ่านหนังสือและฟังคำเล่าเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้นมากมายหลายเรื่องราวก็รู้สึกแปลกประหลาดว่าบรรยากาศสถานที่และสภาพต่าง ๆ ของคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างนั้นจะไปยังดินแดนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมาแล้วจะต้องตายและไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปทางไหนก็ขอให้รำลึกนึกรู้ไว้เถิดว่าดินแดนที่จะพบเห็นอาจจะเป็นดังนิมิตที่ว่านี้ก็ได้
ผมกินอาหารเย็นวันนั้นด้วยความรู้สึกอร่อยเป็นมื้อแรกหลังจากเจ็บป่วยมาหลายวัน และเป็นการกินอิ่มมื้อแรกหลังความเจ็บไข้คราวนี้มาเยือน ในค่ำวันนั้นผมนอนหลับแต่หัวค่ำ และหลับสนิททั้งคืนโดยไร้ความวิตกหวาดกลัวหรือความฝันใด ๆ มาแผ้วพาน
ผมตื่นในตอนเช้าด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับจะเป็นปกติแล้ว ครั้นเข้าห้องน้ำ น้ำปัสสาวะไม่มีสีเหลืองเหมือนอย่างเคย กลายเป็นสีขาวเหมือนกับสีปัสสาวะปกติ ล้างหน้าล้างตาแล้วมาดูกระจกก็เห็นหน้าและตาที่เคยเหลืองจางออกไป มีสีเลือดระเรื่อให้เห็นอย่างชัดเจน
ถึงวันนัดหมอ ผมก็ไปให้หมอตรวจตามที่นัดหมาย หมอตรวจนั่นตรวจนี่แล้วก็แปลกใจตกตะลึง แล้วบอกว่าเธอไปรักษาหรือกินยาดีอะไรมาเพราะอาการที่ป่วยนั้นหายสนิท ผมก็บอกว่าไม่ได้ไปรักษาที่ไหน หมอแปลกใจระคนอยู่ จึงบอกว่าอีกสัปดาห์ให้มาตรวจใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ถึงกำหนดนัดผมก็ไปตรวจตามนัด ผลการตรวจก็ยืนยันเหมือนครั้งก่อนว่าอาการป่วยเจ็บหายสิ้นแล้ว ด้วยความแปลกประหลาดใจของหมอ แต่มันก็เป็นความจริงเช่นนั้น และความหายขาดของอาการไข้คราวนั้นก็หายขาดจริงๆ เพราะแม้ผมมีอายุล่วงเข้า 60 ปีแล้ว อาการป่วยไข้แบบนั้นก็ไม่ฟื้นคืนกลับมาอีกเลย.