xs
xsm
sm
md
lg

จุดเริ่มต้นของ “มานะ” ปลายทางของ “มิตซูฯ” ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากใช้ความพยายามมาถึง 3 ปีที่สุดชื่อของ มานะ พรศิริเชิด ในสนามแรลลี่ ดาการ์ ก็ได้กลายเป็นนักขับชาวไทยอีกหนึ่งรายต่อจาก “พรสวรรค์ ศิริวัฒนกุล” ที่ถูกบันทึกชื่อไว้ว่า สามารถลงควบพาหนะคู่ใจ "ปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชัน" เข้าสู่เส้นชัยในสเตจสุดท้ายได้สำเร็จ และถึงแม้จะไม่ได้ตำแหน่งบนโพเดียมหากผลงานของยอดนักขับชาวไทยที่ลงสู่สนามอันหฤโหดเพื่อเกียรติภูมิแห่งบ้านเกิดภายใต้ประโยคที่ว่า “Race for Thailand” ก็ได้กลายเป็นการจุดโคมแห่งความสำเร็จขึ้น เพื่อเชื่อมต่อไปยังเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในการแข่งขันครั้งหน้า

แต่พลันที่ประกาศยุติบทบาทและให้ความสนับสนุนทีมแข่งรถของ มิตซูบิชิ มอร์เตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ ฝันของมานะและ ทีมแรลลี่ อาร์ต ต่อดาการ์ 2010 ก็มีอันต้องสิ้นสุด ด้วยเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ช่วงถดถอย ทำให้มิตซูบิชิต้องประกาศยุบทีมแข่งแรลลี แน่นอนว่าผลของคำสั่งดังกล่าวกระทบโดยตรงมาถึงบรรดานักขับในทีมอย่าง สเตฟาน ปีเตอร์ อองเซล รวมถึง มานะ พรศิริเชิด ที่มีสถานะไร้ต้นสังกัด โดยเฉพาะ “เจ้าหนึ่ง” โอกาสที่จะได้ลงสนามแข่งอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตอาจเหลือเพียงแค่ความทรงจำ

1.

หลังความสำเร็จจากดาการ์ 2009 มานะ พรศิริเชิด ที่กลายเป็นนักขับชาวไทยคนที่ 2 ที่สามารถพิชิตเส้นทางอันหฤโหดของดาการ์สำเร็จ ได้เดินทางมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “สุดฟากสนาม Alive” ทางช่องเอเอสทีวี 3 (แฮปปี้วาไรตี้ ชาแนล) ถึงประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิต หลังจากเพียรพยายามมาถึง 3 ปีเต็ม รวมไปถึงก้าวต่อไปในอนาคตของตนเองบนเส้นทางแรลลี หฤโหดรายการนี้

"ส่วนตัวแล้วผมมองว่าเส้นทางนี้ท้าทายกว่าสนามแข่งเดิมที่แอฟริกามาก รวมถึงสภาพอากาศแต่ละเมืองก็ไม่เหมือนกันเลย วันนี้ร้อน พรุ่งนี้หนาว วันถัดไปมีฝนตก ถัดไปอีกหน่อยก็มีหิมะ ไม่เหมือนกันเลยสักวันส่วนเส้นทางที่เลวร้ายที่สุดของดาการ์ 2009 เห็นจะเป็นสเตจที่ 13 ผมต้องขับรถผ่านทะเลทรายทากาคามา ซึ่งมีเนินทรายที่สูงที่สุดในโลก เทียบได้กับตึก 40-50 ชั้น พอรถยนต์ยิ่งวิ่งสู่ความสูงที่เพิ่มมากขึ้น สภาพความกดอากาศก็ยิ่งต่ำลงมา รวมถึงออกซิเจนก็ต่ำลงด้วย ส่งผลให้รถไม่มีกำลังในการเผาผลาญเชื้อเพลิง พูดง่ายๆ คือเดิมรถมี 200 แรงม้า แต่พอเจออากาศแบบนี้มันเหมือนมีม้าไม่ถึง 100 ตัวมาลาก ยากลำบากมากทีเดียวกว่าจะผ่านมาได้"

ด้วยประสบการณ์ที่เคยเผชิญกับอุปสรรคมาแล้วถึงสองครั้งทำให้ มานะ มิใช่ “นิวคิดอินทาวน์” อีกต่อไปบนเส้นทางอาร์เจนตินา–ชิลี เจ้าหนึ่งใช้ประสบการณ์จากเส้นทางเดิมที่มุ่งหน้าสู่กาฬทวีปลุยผ่านทะเลทรายมาปรับให้เป็นประโยชน์ บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยลูกรังและการไต่ขึ้นภูเขาสูง ซึ่งมานะสามารถบรรยายภาพการแข่งขันที่ผ่านมาพ้นไปแล้วเกือบหนึ่งเดือนได้อย่างแจ่มชัดว่า

"เส้นทางในอาร์เจนตินา-ชิลีนั้น แม้ส่วนตัวจะชอบ แต่อันตรายก็มีมากเช่นกัน บางช่วงจำเป็นต้องวิ่งไต่เขาขึ้นไป ขณะที่ด้านขวาเป็นภูเขาสูง แต่ด้านซ้ายเป็นเหวลึก ด้วยประสบการณ์และการสังเกตทำให้ผมต้องระวังให้มากว่าช่วงไหนมีแฟนกีฬามามุงมากๆ แสดงว่าจุดนั้นต้องอันตราย เนื่องจากเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วไม่ว่าใครก็อยากดูหายนะของคนอื่น พอเจอคนมาดูเยอะ ผมต้องเบาเครื่องลงเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากต้องการขับให้จบเส้นทาง ไม่อยากประสบอุบัติเหตุเหมือนรถคันอื่น นักขับบางคนเห็นมีคนมากก็อยากจะโชว์ ซึ่งถือว่าเสี่ยงมากกับเส้นทางแบบนั้น รถหลายคันก็แข่งไม่จบเพราะอุบัติเหตุนี่เอง"

ความสำเร็จครั้งนี้ “เจ้าหนึ่ง” มิได้ฉกฉวยเอาความดีไว้กับตนเองเพียงผู้เดียวหากแต่ยังยกย่องเนวิเกเตอร์ชาวฝรั่งเศสอย่าง เธียร์รี่ ลาคอมป์ ที่ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกันว่า

“ตลอดเส้นทางที่ทั้งเหนื่อยและโหดระหว่างเรามีทะเลาะกันบ้างเหมือนกัน คือเขาเป็นคนบอกเส้นทาง บางครั้งสั่งให้เราเลี้ยวซ้าย แต่เราดูแล้วไปไม่ได้แน่ๆ ก็ต้องมาคุยกันว่าทำไมเราถึงไม่เลี้ยว เมื่อพูดคุยกันก็เข้าใจ ไม่มีอะไรติดค้างในใจ พอรถมีปัญหาเราก็มาช่วยกันแก้ไข และด้วยประสบการณ์ของเนวิเกเตอร์ที่เคยเป็นสิงห์นักบิดในดาการ์ ทำให้ผลงานในครั้งนี้ออกมาได้ดีชนิดที่หลายคนในทีมคาดไม่ถึงเหมือนกัน”

2.

แม้ว่านักขับเด็กปั้นของทีมมิตซูบิชิไทยแลนด์จะนำ "ปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชัน" รถคู่ใจเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ ในอันดับที่ 73 โอเวอร์ออล โดยมีรถยนต์จบการแข่งขันวันสุดท้ายเพียง 90 คัน จากทั้งหมด 194 คัน ทว่ากว่าจะถึงจุดหมายปลายทางยังประเทศชิลีในสเตจสุดท้าย "เจ้าหนึ่ง" ได้เจอกับบททดสอบแสนทรหดจนเกือบถูกตัดจากการแข่งขันเพียงสเตจที่ 5 เท่านั้น

"ปัญหาเริ่มตั้งแต่สเตจที่ 2 เพราะรถผมดันไปติดหล่มทรายขึ้นไม่ได้ แถมยังโดนรถทรัก (รถบรรทุก) คันใหญ่วิ่งมาชน ตอนนั้นใจหายมาก ลองคิดดูว่ารถใหม่ออกสตาร์ทมาได้แค่ 2 วันก็โดนชนเลย แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่โดนชน รถคันอื่นที่ติดหล่มใกล้ๆ กันก็โดนรถคันนั้นชนด้วย จากนั้นผมก็มองดูด้วยสายตาเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะโดนชนด้านหลังคงไม่รุนแรงอะไร แค่ตัวถังยุบไปนิดหน่อย แต่พอออกวิ่งมาได้สักพักถึงได้ทราบว่าการโดนชนครั้งนั้นส่งผลให้เพลาท้ายรถบิด พอวิ่งออกมาสเตจที่ 3 เพลาด้านซ้ายขาด กลายเป็นรถขับเคลื่อน 3 ล้อทันที คือวิ่งได้ด้วย 2 ล้อหน้า และ 1 ล้อหลังเท่านั้น" มานะ กล่าว

"พอรถออกในสเตจที่ 4 แม้ว่าระยะทางค่อนข้างง่าย แต่ผมก็เสียเวลาไปเยอะมากเนื่องจากปัญหาดังกล่าว จากที่ทำความเร็วได้ 160-170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลับต้องมาวิ่งแค่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเพลาขาดและต้องวิ่งในเกียร์ที่เป็นโฟร์โลว์ ส่งผลให้วิ่งแบบใช้ความเร็วไม่ได้

"ถึงสเตจที่ 5 ปัญหาเพลาขาดยังอยู่ แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่สภาพอากาศย่ำแย่ เมื่อฝนเทลงมาช่วงเย็นวันนั้น เส้นทางขึ้นเนิน ขึ้นเขามีสภาพเหมือนเป็นดินผสมทราย และมีต้นหญ้าแซมอยู่ด้วย พอเปียกฝนก็เป็นเลนลื่นหนักเลย แล้วรถเราขับเคลื่นล้อหน้าขึ้นเขาได้ลำบากมาก

“บางช่วงผมต้องถอยหลังขึ้นเขาเป็นกิโลฯ เหมือนกัน แต่ก็มาถึงช่วงเนินที่รถเราไม่สามารถไปต่อได้ เหมือนกับรถจอดอยู่ที่ก้นกล่อง คือไปต่อไม่ได้เลย ผมต้องลงจากรถเพื่อเดินเท้าสำรวจเส้นทางเป็น 10 กิโลเมตร เพื่อหาทางออกจากจุดนั้นให้ได้” ขณะนั้นมืดแล้ว และไม่ได้มีแค่รถเราคันเดียว แต่มีรถอีกหลายสิบคันจอดเรียงรายกันอยู่เพราะออกจากก้นกล่องไม่ได้ แต่รถทรักคันใหญ่เขาขึ้นไหว ออกได้ ผมก็เลยคิดว่าให้เขาช่วยลากเราขึ้นไป พอเอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้เนื่องจากเกินกำลังที่เขาจะลากไหวสุดท้ายเลยไปต่อไม่ได้ ต้องรอรถลากของฝ่ายจัดการแข่งขันมาลากออกจากจุดนั้น"

ซึ่งกว่าที่รถลากของฝ่ายจัดการแข่งขันจะผ่านมาช่วยเหลือ "ปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชัน" ออกจากจุดนั้นกินเวลาไปถึงช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากต้องคอยช่วยเหลือรถคันอื่นๆ มาตลอดเส้นทาง ส่งผลให้ มานะ ไม่อาจเข้าสู่จุดหมายในสเตจที่ 5 ได้ทันกำหนดตามกฎของการแข่งขัน จนถูกตัดออกจากการแข่งขันในช่วงสเตจที่ 6 พร้อมกับนักขับที่มีชะตาเดียวกันเกือบ 200 คัน หลังมีรถได้วิ่งต่อในสเตจต่อไปเพียงแค่ 28 คันเท่านั้นก่อนที่ฝ่ายผู้จัดจะประกาศยกเลิกสเตจที่ 5 และ 6 เพื่อให้รถทุกคันได้กลับเข้าสู่การแข่งขันอีกครั้ง แต่ก็แลกมาด้วยการบวกเวลารวมให้กับรถที่วิ่งไม่จบสเตจที่ 5 ถึง 200 ชั่วโมง

โดยยอดนักขับชาวไทยยอมรับว่าเหมือนตายแล้วฟื้นเลยทีเดียว

"ผมทำใจไว้แล้วว่ามันเป็นไปตามกฎที่เขาระบุไว้ว่าเราจะไม่ได้แข่งต่อ ตอนนั้นทุกคนในทีมรู้สึกแย่กันหมด แต่เมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันแจ้งว่าให้ยกเลิกในสเตจที่เรามีปัญหาทำให้รู้สึกดีใจมาก คืนนั้นผมกับเนวิเกเตอร์ได้นอนไปแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็แข่งต่อเลย โชคดีมากแม้ว่าจะโดนบวกเวลาไปอีก 200 ชั่วโมงก็ตาม"

"เหนือสิ่งอื่นใดที่ผมดีใจที่สุดคือการได้แข่งขันต่อทำให้ความตั้งใจของผมสัมฤทธิผล เพราะผมสามารถแข่งขันจนจบ และสามารถนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมธงชาติไทยไปโบกสะบัดเมื่อขึ้นสู่โพเดียมได้ตามความตั้งใจไว้แต่เดิมของตัวเอง"

3.

เมื่อจบการแข่งขันแรลลี ดาการ์ 2009 มานะยอมรับว่ายังไม่พอใจกับการแข่งขันรายการนี้จนจบเส้นทางได้เป็นครั้งที่ 2 จากการแข่งขัน 3 ครั้งในรอบ 4 ปี

"ถ้าไม่โดนปรับเวลาเพิ่มก็น่าจะติด 1 ใน 30 อันดับแรก เพราะในวันท้ายๆ เมื่อรถวิ่งได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร เราติดอันดับ 1 ใน 20 ทุกวัน ถ้าเทียบกับวันแรกๆ ตำแหน่งเราก็ขึ้นมาทุกวัน จากวันแรกอยู่ในอันดับ 68 วันต่อมาอันดับที่ 54 แต่พอเกิดปัญหาเรื่องสภาพเส้นทาง ปัญหาทางเทคนิคเรื่องรถ ทำให้อันดับร่วงลง"

แม้จะรั้งอันดับ 73 เมื่อจบการแข่งขัน แต่ก็ยังน่าพอใจกว่านักขับระดับโลกอีกหลายราย อาทิ สเตฟาน ปีเตอร์อองเซล, ลุค อัลฟองด์, ฮิโรชิ มาซูโอกะ และ คาร์ลอส แซงค์ ที่ต่างล้วนไปไม่ถึงเส้นชัยสุดท้าย ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์ที่ยอดเยี่ยมถึงความทรหดของนักแข่งวัย 30 ปีจากประเทศไทย รวมถึงรถปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชันได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามฝันร้ายยังตามหลอกหลอน มานะและทีมงาน เมื่อบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น เจ้าแห่งแรลลีหฤโหด ตัดสินใจประกาศถอนทีมแข่งจากการแข่งขันแรลลีครอสคันทรีทั่วโลก รวมไปถึงการแข่งขันดาการ์ 2010 ซึ่งจะทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทีมมิตซูบิชิ ประเทศไทย โดยตรง

ซึ่งมานะเองก็ยังไม่ทราบอนาคตของตัวเองว่าจะได้กลับสู่แรลลีสุดโหดอีกครั้งหรือไม่

"ผมยังไม่แน่ใจว่าจะได้ไปแข่งขันในปีต่อไปหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ไม่เอื้ออำนวยให้มิตซูบิชิต้องมาลงทุนในเรื่องนี้ ขนาดบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นประกาศถอนทีม ซึ่งเมืองไทยคงเป็นเรื่องยาก จากเท่าที่สังเกตในการแข่งขันดาการ์ 2009 ก็เห็นอยู่แล้วว่ามีรถเข้าแข่งขันน้อยกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา ส่วนตัวแล้วผมเข้าใจเรื่องนี้ดี"

ขณะที่ ศุภศักดิ์ ดุละลัมพะ ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและกิจกรรมการตลาด สำนักการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ในเวลานี้โอกาสในการเข้าแข่งดาการ์ 2010 ยังไม่แน่นอน

"เวลานี้เราจำเป็นต้องทำตามนโยบายของบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งจากการประกาศออกมาทำให้เราต้องถูกตัดงบประมาณลงไปมากพอสมควร ซึ่งบางทีเราอาจจะต้องหยุดทำกิจกรรมด้านการแข่งขันไปซักประมาณ 1-2 ปี เพื่อให้เข้าสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน"

แม้ว่าคำตอบจากฝ่ายบริหารของมิตซูบิชิไทยแลนด์ จะทำให้ปฐมบทจบสเตจของมานะในดาการ์ 2009 กลายเป็นจุดสิ้นสุดบนเส้นทางกว่า 9,000 กิโลเมตร และต่อจากนี้ถึงแม้การแข่งขันดาการ์ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีนักขับชาวไทยเข้าร่วม หากแต่ภาพในสเตจสุดท้ายของดาการ์ 2009 เชื่อว่ายังคงชัดเจนอยู่ในใจคนไทย ส่วนอนาคตต่อจากนี้คงได้แต่ภาวนาให้ “เทพีแห่งโชค” กลับมายืนเคียงข้างมานะเหมือนเมื่อครั้งประสบปัญหาในสเตจที่ 5 อีกครั้ง และถ้าคำขอของแฟนแรลลีชาวไทยเป็นจริง รถ “ปาเจโร สปอร์ต อีโวลูชัน” ที่มีข้อความว่า “Race for Thailand” ก็จะได้กลับมาโลดแล่นบนเส้นทางแรลลีอันดับหนึ่งของโลกเหมือนเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

*****************

เรื่อง-เชษฐา บรรจงเกลี้ยง








กำลังโหลดความคิดเห็น