xs
xsm
sm
md
lg

แจกอีก 2 ใบเหลือง พปช.-ปชป. ตร.โอนคดี"ยุทธตู้เย็น"พร้อมซีดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กกต.มีมติแจกอีก 2 ใบเหลือง พปช. -ปชป. รับไปพรรคละ 1 คน ด้าน"ชัยยะ"นำสำนวนพร้อมวีซีดี"ยุทธตู้เย็น" ซื้อเสียง มอบให้กกต.เพื่อส่งมอบให้คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดใหม่ดำเนินการต่อ พร้อมให้ผู้ถูกร้องดูวีซีดีก่อนชี้แจงข้อกล่าวหา หากสรุปสำนวนเสร็จไม่ทันกำหนดเปิดสภา อาจรับรองไปก่อน ถ้าผิดค่อยสอยทีหลัง "สุริยะใส"จวกกกต.ไร้มาตรฐาน ลู่ตามลมการเมือง ศาลฎีกานัดตัดสินคดีฟ้องล้มเลือกตั้งล่วงหน้าโมฆะหรือไม่ 18 ม.ค.นี้ "ลูกปลาไหล" กางมุ้งนอนประท้วง กกต. ไม่ยอมรับใบแดง ผวาลามถึงขั้นยุบพรรค

วานนี้( 11 ม.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลังการประชุมกกต.ว่า กกต.มีมติ สั่งเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) กรณี นายเฉลิมชาติ การุญ ว่าที่ส.ส.เขต 1 จ. สกลนคร พรรคพลังประชาชน เนื่องจากหลักฐานปรากฏว่า มีการสัญญาว่าจะให้ หลอกลวงหรือจูงใจ และสั่งเลือกตั้งใหม่ กรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ว่าที่ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายเงินซื้อเสียง รวมทั้งให้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายชาญชัย

นอกจากนี้ ยังได้ประกาศรับรอง ส.ส.เพิ่ม 4 คน ประกอบด้วย นายวิเชียร อุดมศักดิ์ ส.ส.เขต 1 อำนาจเจริญ พรรคพลังประชาชน, นางบุญรื่น ศรีธเรศ , นายวีรวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ และนายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.เขต 1 กาฬสินธุ์ พรรคพลังประชาชน และ กกต.มีมติยกคำร้องว่าที่ ส.ส. 2 คน คือ นายนิยม เวชกามา, และนายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ลือชา ว่าที่ ส.ส.เขต 1 สกลนคร

ส่วนกรณีการร้องคัดค้านนายเสรี สาระนันท์ และนายจุมพฎ บุญใหญ่ ว่าที่ ส.ส.เขต 2 สกลนคร ฐานแจกวีซีดี และหลอกลวงจูงใจ กกต. กลางมีมติให้กกต.จ.สกลนคร สอบเพิ่มแจ้งข้อกล่าวหา และรับฟังพยานหลักฐานและรายงานกลับภายใน 7 วัน

เมื่อถามถึงกรณีของ นายชาญชัย ที่กกต.มีมติสั่งเลือกตั้งใหม่ แต่ให้ดำเนินคดีอาญา แสดงว่ามีความผิดชัดเจน ทำไม กกต.จึงไม่สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต.เห็นว่ามีความผิด แต่การจะสั่งเพิกถอนสิทธิได้นั้น ต้องใช้มติเสียง 4 ใน 5 ซึ่งเมื่อไม่ได้เสียงจำนวนดังกล่าว จึงกลายเป็นใบเหลือง แต่การดำเนินคดีอาญา ใช้เสียงข้างมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การแจ้งความดำเนินคดีอาญาจะไม่ส่งผลต่อการขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้สมัครส.ส.แต่อย่างใด เพราะคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด

ทั้งนี้รายงานข่าวแจ้งว่า มติในกรณีดังกล่าวเป็น 3 ต่อ 2 โดย 3 เสียง ประกอบด้วย นายสมชัย จึงประเสริฐ นายสุเมธ อุปนิสากร และนางสดศรี สัตยธรรม ที่เห็นว่าควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายชาญชัย ส่วน 2 เสียง แยกเป็นนายประพันธ์ นัยโกวิท ที่เห็นควรสั่งเลือกตั้งใหม่ และนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ที่เห็นควรยกคำร้อง ขณะที่กรณีสั่งเลือกตั้งใหม่ของ นายเฉลิมชาติ นั้นเป็นมติ 4 ต่อ 1 โดย หนึ่งเสียงคือนายสมชัย จึงประเสริฐ ที่เห็นควรยกคำร้อง

**สันติบาลมอบสำนวน"ยุทธ"พร้อมซีดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ พล.ต.ท ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล พร้อมด้วยพล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้นำสำนวนการทุจริตการเลือกตั้ง จ.เชียงราย พร้อมวีซีดี ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ กำนัน จากจ.เชียงราย เดินทางมาพบนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส. สัดส่วน กลุ่มที่ 1 พรรคพลังประชาชน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ มามอบให้กับ กกต. โดย กกต.ก็ได้ให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดใหม่ ที่เพิ่งตั้งขึ้น ซึ่งมีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน มารับมอบ ซึ่งการมอบสำนวน และหลักฐานดังกล่าวใช้ เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ

ทั้งนี้ นายสุวิทย์ กล่าวภายหลังว่า ได้รับมอบเอกสารแล้วทั้งหมดจำนวน 7 แฟ้ม และมีซีดีอีก 8 แผ่น ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ โดยระยะเวลาในการทำงานนั้น จะพยายามทำให้เรียบร้อยที่สุด และถูกต้อง แต่ไม่รับรองว่าจะทันการเปิดประชุมสภาหรือไม่

"ผมเห็นว่า ความถูกต้องน่าจะดีกว่า พยายามทำให้ดีที่สุด และเร็วที่สุด ผมเป็นฝ่ายสอบสวนต้องทำเสนอ กกต. คิดดูก็แล้วกันว่า 2 สัปดาห์มันจะทันไหม เฉพาะผมตรวจรับเอกสารอย่างเดียวพวกคุณก็เห็นแล้วว่าใช้ เวลา 2 ชั่วโมง แล้วผมต้องไปอ่านอีกอย่างน้อยก็ใช้เวลา 7 -10 วัน ดังนั้นอย่าให้ผมรับรองดีกว่าว่าจะทันหรือไม่ทันเปิดประชุมสภา แต่ผมก็จะทำตามหน้าที่ เพื่อให้เกิประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจริงๆ ก็อยากให้ทันเปิดประชุมสภาเหมือนกัน ถ้าไม่ทันก็เป็นเรื่องที่เวลาไม่ให้"

นายสุวิทย์ กล่าวด้วยว่า ถ้าไปยึดเวลาเปิดสภา หรือไปยึดอย่างอื่นอาจจะทำให้กระบวนการพิจารณาไม่สมบูรณ์ และที่ กกต.มอบหมายให้ตนทำงาน ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร โดยเมื่อตนทำงานเสร็จก็จะสรุปข้อเท็จจริงเสนอ กกต.ถือว่าจบหน้าที่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหน้าที่ใครหน้าที่มัน ไม่ได้มีการกดดันอะไร

**อนุญาตให้ผู้ถูกร้องดูวีซีดีได้

นายสุวิทย์ กล่าวว่า การตรวจสอบคดีนี้ เป็นการรวมเอาสำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ ทั้งจาก จ.เชียงราย และสันติบาล โดยยังกำหนดระยะเวลาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จะเปิดโอกาสให้นายยงยุทธ ชี้แจงอย่างเต็มที่ โดยใช้ระบบกระบวนการยุติธรรมที่ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มาชี้แจงและดูเอกสารการกล่าวหา ดังนั้นการที่นายยงยุทธ จะขอดูวีซีดีนั้น จึงอนุญาตให้ดูได้ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่จะดูนั้นต้องนัดหมายกันว่าเมื่อไร เพราะเอกสารพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานที่ได้มาทั้งหมดยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะต้องมีการเรียกพยานมาสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะต้องพื้นที่ด้วยหรือไม่

" ความจริงบ่าย 2 โมงวันเดียวกันนี้ ก็นัดคุณยงยุทธมา เพราะผมก็อยากเจอ จะได้มาหารือกันว่าคุณยงยุทธ ว่าต้องการเวลาเท่าไร อะไรบ้าง แต่ว่าถ้ายังไม่มา ผมก็ให้โอกาสมาวันหลังได้ " นายสุวิทย์ กล่าว และว่า วิธีการที่นี่ไม่เหมือนกับศาล เพราะฉะนั้นในการติดต่อต้องใช้วิธีที่เร็วที่สุด เช่น กรณีนายยงยุทธ ก็ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อโทรศัพท์ไปว่า เราจะพิจารณาเรื่องของเขาเวลานี้วันนี้ ถ้าอยากจะมาก็มา ถ้ายังไม่มา ก็แจ้งวันที่จะมา

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า สำหรับสำนวนที่สันติบาลรับผิดชอบนอกเหนือจากกรณี จ.เชียงรายแล้วยังมีอีก 12 เรื่อง และจะนำมาเสนอ กกต.ในวันจันทร์ที่ 14 ม.ค.นี้ ซึ่งกรณี จ.เชียงราย ที่มีข่าวว่ามีการขอถอนการเป็นพยานเอาผิดนายยงยุทธ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะ ตามขั้นตอน ถือว่าเรื่องร้องเรียนได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ กกต.แล้ว ซึ่งตอนนี้ทางกกต.ได้ตั้งอนุกรรมการฯขึ้นมาไต่สวนแล้ว ทั้งหมดจึงอยู่ในดุลพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งตนไม่สามารถก้าวล่วงได้

**มอบเลขาฯ กกต.สานต่อเรื่องสำนวนรั่ว

ทั้งนี้ การประชุม กกต.ยังได้มีการพิจารณาหนังสือร้องเรียนของนายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ที่ขอให้ตรวจสอบ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน กรณีสำนวนทุจริต จ.เชียงรายรั่วไหล โดยประธานกกต. มอบหมายให้ตนไปดำเนินการต่อไป แต่ขั้นตอนการดำเนินการต่อไปนั้น คงต้องหารือกับประธาน กกต.และกกต.ทุกคนก่อนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร

"แม้ว่าผมจะยังไม่ได้พูดคุยกับนายสมชัย ถึงกรณีดังกล่าว แต่เท่าที่ติดตามข่าวจากสื่อมวลชน นายสมชัย เองก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ทำสำนวนรั่ว จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับนายสมชัยด้วย ทั้งนี้จะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็ว"

**"ยุทธตู้เย็น"บุก กกต.ขอดูวีซีดี

ผู้สื่อข่าวรายว่า ต่อมา เวลา 19.50 น. นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้เดินทางมาที่ กกต.เพื่อที่จะขอดูวีซีดี โดยนายยงยุทธ กล่าวว่า ได้ดูข่าวทางทีวีว่านายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานคณะกรรมการสอบสวนนัดตนมาดูซีดี เวลา 14.00 น.ในวันเดียวกัน แต่ตนไม่ได้รับการติดต่อเลย ดังนั้น เมื่อเห็นข่าวตอนเวลา 19.00 น.จึงรีบเดินเพราะตั้งใจจะดูซีดีจริงๆ ว่ามีการตัดต่อหรือไม่ แต่ขณะนี้ทราบว่า กกต.เดินทางกลับหมดแล้ว จึงขอยื่นหนังสือผ่านเจ้าหน้าที่ให้ลงเลขรับหนังสือไว้ว่าตนเดินทางมาแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่ หากคณะกรรมการสอบสวนฯพร้อมจะให้ตนมาดูซีดีเมื่อใดก็ขอให้แจ้งได้ทันทีที่ เบอร์ 089-755-7555

**"สดศรี"ระบุอย่ามองแง่ร้ายถึงยุบ พปช.

นาง สดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า หากการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการชุดใหม่ ในสำนวนของนายยงยุทธ เสร็จไม่ทันวันที่ 15 ม.ค.นี้ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธไปก่อน และภายหลังหากมีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง จึงจะให้ใบเหลือง หรือใบแดงต่อไป แต่ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับการสอบสวนของกรรมการชุดนี้ว่า เสร็จ และได้ผลสรุปอย่างไร ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ จะต้องทบทวนใหม่หมด ถ้าทำไม่ทัน กกต.จำเป็นที่จะต้องประกาศรับรองไปก่อน แล้วค่อยสอยทีหลังได้ หากข้อมูลหลังฐานชัดเจน

นางสดศรี กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนคดีนายยงยุทธ ความจริงก็เหมือนกับสำนวนการพิจารณาของว่าที่ ส.ส.คนอื่น แต่กลายเป็นประเด็นใหญ่ และมีการมองกันว่า จะมีผลให้ถึงการยุบพรรค แต่ตนมองว่าเป็นการคาดการณ์ในแง่ร้ายเกินไป เพราะ กกต.ต้องพิจารณาตามพยานหลักฐาน หากเรื่องนี้ กกต. ลงมติให้ใบแดง ก็จะโดนโจมตี และถ้าให้ใบขาว ก็จะโดนโจมตีอีก

**ครป.ข้องใจมาตรฐาน กกต.

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่ารู้สึกสับสนกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ที่มีพฤติกรรมลู่ตามลมการเมืองโดยเฉพาะกระบวนการสอบสวนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เคยตั้งทีมสันติบาลมาช่วยงานสอบสวนจนทำให้งานสอบสวน กกต.ดีขึ้น แต่พอถูก นายยงยุทธ ที่เป็นจำเลยของ กกต. ขอให้เปลี่ยนตัว ก็เปลี่ยนเอาดื้อๆ เพียงเพราะเห็นว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล รู้จักกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าหลักคิด กกต.เป็นอย่างนี้ ถามว่าประชาชนทั้งประเทศจะไว้ใจสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อย่างไร เพราะหลายคนเป็นญาติพี่น้อง และเป็นตำรวจร่วมรุ่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มกลับมามีตำแหน่งสำคัญใน สตช.แล้ว

นอกจากนี้ การตั้งนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ซึ่งเป็นตุลาการเสียงข้างน้อย ที่วินิจฉัยไม่เห็นด้วยกับการให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. เป็นโมฆะ มาเป็นอนุกรรมการสอบสวนแทน ก็ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาสอบสวน และ กกต.จะรับรองนายยงยุทธ ไปก่อน ค่อยไปหาวิธีสอยทีหลัง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้เท่ากับปล่อยให้นักการเมืองสีเทาเข้าสู่สภา ทำให้รัฐสภามัวหมอง และสร้างปัญหาตามมา ถือว่า กกต.ผลักภาระให้กับประเทศและประชาชน

นายสุริยะใส กล่าวว่า เรื่องที่กกต. ควรเอาใจใส่ และเป็นเรื่องใหญ่โตกว่า กลับปล่อยเลยตามเลย เช่น กรณีที่มี กกต. บางคนไม่คืนสำนวนสอบสวนและมีพฤติกรรมอิงแอบอำนาจเก่าอย่างชัดเจน ก็ไม่เห็น กกต.เอาจริงเอาจังว่าจะสร้างความกระจ่างให้ประชาชนอย่างไร ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยมาตรฐานในการทำงานของ กกต. หรือแม้แต่กรณีการให้ใบแดง นายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และ นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทย ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นกรรมการบริหารของพรรค กกต. ต้องดำเนินคดีต่อว่า เข้าข่ายความผิดถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ แต่ กกต.ก็ทำเฉยไม่เห็นดำเนินการอะไร

*ตัดสินคดีร้องเลือกตั้งโมฆะ 18 ม.ค.นี้

วานนี้ (11 ม.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน คดีเลือกตั้ง หมายเลขดำที่ ลต.44/2550 ที่ นายสราวุท ทองเพ็ญ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 3 พรรคความหวังใหม่ และโฆษกความหวังใหม่ ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยมีคำสั่งให้การเลือกตั้งส.ส. ล่วงหน้าในวันที่ 15 –16 ธ.ค. เป็นโมฆะ เนื่องจาก กกต. ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ในการออกประกาศ กกต. เรื่องกำหนดวัน และเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลาง ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง ที่เปิดให้ลงคะแนนวันที่ 15 –16 ธ.ค.50 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ที่ลงนามออกประกาศเมื่อวันที่ 26 ต.ค.50 โดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.

โดยการไต่สวน นายสราวุท ผู้ร้อง และตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจาก กกต. ผู้คัดค้าน แถลงต่อศาลรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานเอกสารที่สองฝ่ายยื่นต่อศาล ประกอบด้วย พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป พ.ศ.2550 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 18 ต.ค.50 , ประกาศ กกต. เรื่องกำหนดวัน และเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลาง ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง และนอกเขตจังหวัด ที่เปิดให้ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ที่ออกประกาศเมื่อวันที่ 26 ต.ค.50 โดยนายอภิชาต ประธาน กกต. , ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ฉบับลงประชามติ โดยเฉพาะในมาตรา 235 ที่บัญญัติเกี่ยวอำนาจ กกต. ในการเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้ง รวมทั้งอำนาจประธาน กกต. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรมนูญ ว่าด้วย กกต. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. , พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550

ทั้งนี้ นายสราวุท ผู้ร้อง ได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติม เป็นรายงานการประชุม สนช. ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรมนูญ ว่าด้วย กกต. พ.ศ.2550 และ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ซึ่งได้มาจากเลขาธิการสนช. ขณะที่ฝ่าย กกต. ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติม เป็นประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องกำหนดวัน และเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาปี 2543 และ 2548 รวมทั้ง ประกาศ กกต. เรื่องกำหนดวัน และเวลาลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ออกประกาศเมื่อวันที่ 26 ต.ค.50 ซึ่ง กกต. ระบุว่า การออกประกาศดังกล่าว มีขึ้นก่อนที่จะมี รธน. ปี 50

โดยคู่ความทั้งสองไม่ติดใจไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อพิพาทคดีนี้ เป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า กกต. มีอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลาง ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง ที่เปิดให้ลงคะแนนเมื่อวันที่ 15- 16 ธ.ค.หรือไม่ ซึ่งศาลจะพิจารณาต่อไป โดยศาลมีคำสั่งให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 3 วัน หากพ้นกำหนดแล้ว คู่ความไม่ยื่น ให้ถือว่าไม่ติดใจที่จะยื่นคำแถลงปิดคดีอีกต่อไป ซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งคดีนี้ในวันที่ 18 ม.ค. เวลา 15.00 น

**"เด็กเติ้ง"นอนประท้วงใบแดง กกต.

ในวันเดียวกันนี้ นางนันทนา สงฆ์ประชา อดีตว่าที่ ส.ส.ชัยนาท พรรคชาติไทยที่ถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พร้อมกับนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ได้มาขอดูวีซีดี ที่เป็นหลักฐานว่าตนเองกระทำผิดจนต้องถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต่อกกต. โดยนางนันทนา กล่าวว่า ในการพิจารณาของ กกต. มีการนำหลักฐานที่ผู้สมัครพรรคตรงข้ามนำมายื่นกับกกต. ที่ประกอบด้วยวีดีโอ ซีดี ที่ระบุว่าเป็นการแจกเงินให้กับหัวคะแนน บริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้งกลางในการเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งทาง กกต.ไม่เคยนำมาให้ตนและพี่ชายที่ถูกกล่าวหา เมื่อเทียบกับกรณีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ กกต.จะให้ดูซีดี จึงถือว่าเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรม จึงต้องการดูซีดีดังกล่าว รวมขอโอกาสในการชี้แจงข้อกล่าวหา หากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะกางมุ้งนอนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นางนันทนา ได้นั่งลงหน้าห้องประชุม กกต. จนกระทั่ง พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการกกต. ด้านสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย เดินทางมารับเรื่อง และ พานางนันทนาไปดูซีดีดังกล่าว เมื่อดูเสร็จปรากฏว่า นางนันทนา ได้เข้าร้องเรียนกับ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ว่า ในซีดี เป็นภาพของหัวคะแนนที่ถูกแอบถ่ายหลังต้นไม้ และรูปที่มีการคล้องพวงมาลัยให้ตน จึงไม่เข้าใจว่าหลักฐานเพียงแค่นี้เหตุใดจึงมาให้ใบแดงตนได้ กรณีที่เกิดขึ้นจึงเป็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดกับครอบครัว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ตนจะขอปักหลักอยู่ที่หน้าห้องประชุมกกต.โดยไม่ลุกไปไหน ทั้งนั้น

ด้าน นายสุทธิพล ได้ชี้แจงว่า การทำงานของกกต. เป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งการให้ใบแดงที่ จ.ชัยนาท นั้น มติกกต.ออกมาเป็นเอกฉันท์ เพราะนอกจากเรื่องร้องเรียนที่ผู้สมัครด้วยกันแล้ว ยังมีเรื่องที่ประธาน กกต.จังหวัดชัยนาท ไปพบเหตุด้วยตัวเอง จากการเข้าไปตรวจค้นพบว่า มีการเก็บบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป จึงเสนอเรื่องให้กกต.พิจารณาไปตามพยานหลักฐาน หากนางนันทนา เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ทำเอกสารเสนอไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาความเห็นของกกต.ได้ทันที

แต่ทั้งนี้ คำชี้แจงของเลขาธิการกกต.ไม่เป็นผล นางนันทนา จึงได้นั่งปักหลักประท้วงอยู่ที่หน้าห้องประชุม พร้อมด้วยบุตรชาย จนกระทั่งเวลา 19.30 น. นางนันทนา และบุตรชาย ก็ได้ย้ายไปปักหลักโดยนำมุ้งสีชมพู มากางเพื่อนอนประท้วงกกต. อยู่ที่บริเวณชั้น 1 หน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ของกกต. โดยนันทนา ระบุว่า จะขอนอนอยู่ กกต.ไปเรื่อย ๆ เพื่อประกาศให้สังคมเห็นว่า กกต.มีความไม่ เป็นธรรม

**ชาติไทยผวาถูกยุบพรรคจากใบแดง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีการตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวางในการเรื่องการให้ใบแดงของ กกต.ว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นการที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าหากมีการให้ ใบแดงนายยงยุทธ ในเรื่องการซื้อเสียง ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ในส่วนของพรรคชาติไทยนั้น นายมณเฑียร ก็ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรค และถูกใบแดง เรื่องการซื้อเสียง จะนำไปสู่การยุบพรรคชาติไทย หรือไม่

นายยุวรัตน์ กมลเวชช อดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขึ้นอยู่กับว่า กกต.จะดำเนินการฟ้องร้องให้มีการยุบพรรคชาติไทยหรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูหลักฐานและพยานว่า หากสืบต่อไปแล้วมีความเกี่ยวพันกับใคร เกี่ยวพันกับพรรคหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องอยู่ที่ข้อวินิจฉัยของศาล เรื่องนี้สามารถฟ้องร้องได้ แต่อยู่ที่ศาลว่าจะรับคำฟ้องหรือไม่ ศาลจะเชื่อคำร้องนั้นหรือไม่ เหมือนการสืบพยานว่า ใครฆ่าใครตายก็ต้องสืบพยานว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวพันบ้าง ทุกอย่างอยู่ที่การสืบสวนสอบสวน

หากพรรคพรรคพลังประชาชนโดนใบแดง และถูกยุบพรรคในกรณีซื้อเสียง พรรคชาติไทยซึ่งโดนใบแดงในกรณีเดียวกัน จะถูกยุบพรรคหรือไม่ นายยุวรัตน์ กล่าวว่า คดีแต่ละคดีไม่สามารถเทียบกันได้ คดีที่คล้ายๆกัน ก็เป็นเพียงแค่แนวทางเท่านั้น ทุกอย่างต้องอยู่ที่หลักฐาน

**พปช.อุดรฯ นำม็อบประท้วง กกต.

วานนี้(11 ม.ค.) ผู้สมัครส.ส. อุดรธานี พรรรคพลังประชาชน ประกอบด้วย เขต 1 พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ นายอนันต์ ศรีพันธ์ นายเชิดชัย วิเชียรวรรณ เขต 2 นายธีระชัย แสนแก้ว นายทองดี มนิสสาร นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น และเขต 3 นายจักรพรรดิ ไชยสาส์น พร้อมด้วยกลุ่มมวลชนที่ให้การสนับสนุน และหัวคะแนน ได้เดินทางยังศาลากลางจังหวัดอุดรธานี เพื่อยื่นหนังสือแจ้งวิธีการ และการดำเนินการหาเสียงของพรรคพลังประชาชน จ. อุดรธานีทั้ง 3 เขต ต่อผวจ. อุดรธานี โดยมี นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ รองผวจ. อุดรธานี เป็นผู้ลงมารับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มผู้ชุมนุม

กลุ่มผู้สมัครส.ส.ดังกล่าวแจ้งว่า กกต.จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 20 ม.ค. ซึ่ง ทางผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน เขต 1 อุดรธานี ที่ได้ใบเหลือง จะจะหาเสียงโดย เข้าไปอยู่ในกรงขัง ตลอด 24 ชั่วโมง กินและนอนภายในกรงขัง ดังกล่าว โดยนำเอากรงเหล็กบรรทุกหลังรถ 6 ล้อ ออกหาเสียงจนถึงเวลา 18.00 น. จะกลับมานอนบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานกกต. จังหวัดอุดรธานี จนถึงเวลา 07.00 น. จึงจะออกการหาเสียงพบปะประชาชนต่อไป พร้อมกันนี้ ขอให้กกต. จังหวัดอุดรธานี จัดเจ้าหน้าที่ หรือตัวแทนติดตามและสังเกตการณ์ การหาเสียงด้วย เพื่อป้องกันการร้องเรียนเอาผิดอีก

** ศาลยกคำร้องค้าน 3 ใบแดงบุรีรัมย์

เวลา 16.00 น. วันเดียวกันนี้ ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง คดีเลือกตั้ง หมายดำเลขที่ ลต.4/2551 ที่นายพรชัย ศรีสุริยันตโยธิน ,นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และนายประกิจ พลเดช ว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชน ที่ถูก กกต. แจกใบแดงและตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 1 ปี ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนคำสั่ง กกต.ที่ตัดสิทธิเลือกตั้ง และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการประกาศ กกต.ที่จะให้มีการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.บุรีรัมย์ใหม่ และให้ กกต.ประกาศรับรองว่าได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 1 จ.บุรีรัมย์

อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีของผู้ร้องทั้งสาม ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.บุรีรัมย์ ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องว่า ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. แบบบ่งเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.บุรีรัมย์ กกต.ได้มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้ร้องทั้งสามเป็นเวลา 1 ปี และให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้น คำวินิจฉัยของ กกต. ดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย ม. 239 วรรคหนึ่ง การที่ผู้ร้องทั้งสามอ้างว่ากกต. กระทำผิดกฎหมาย เลือกปฎิบัติโดยมิชอบใช้ดุลยพินิจแตกต่างกัน และคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการร้องขอให้ศาลฎีกาตรวจสอบอำนาจการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้ร้องทั้งสามก่อนประกาศผลการเลือกตั้งของ กกต. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลฎีกา ผู้ร้องทั้งสาม จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
**แฉไล่ กกต.บุรีรัมย์มีวาระซ่อนเร้น

พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. กล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ หลังจากมีการจัดม็อบกดดันกกต. ว่า แกนนำม็อบส่วนหนึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองเก่า จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้ชักจูงมวลชนมาจากที่ต่างๆ เพื่อขับไล่ กกต. 2 คนคือ นายเกษม นาย เกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ และ พ.ต.อ. สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล ประธานฝ่ายสืบสวน กกต.บุรีรัมย์ ทั้งที่กกต.มีทั้งหมด 5 คน และการลงมติในจ.บุรีรัมย์ ก็มีมติ 5-0 แต่ขับไล่แค่ 2 คน

"เมื่อค้นลงไปลึก พบว่าทั้งสองท่านเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีสำคัญๆ ของ จ.บุรีรัมย์ 4 คดี ซึ่งคดีพวกนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลนักการเมืองใหญ่ในบุรีรัมย์ เช่น เรื่องคดีที่ดิน การรุกที่ดินหนองสาคร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า ความต้องการให้ กกต. 2 ท่านนี้ออก เพื่อให้คดีต่างๆ เหล่านี้ถูกชะลอ "

พล.อ.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า คนที่มาชุมนุมส่วนใหญ่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีการใช้รถขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการขนคนมาชุมนุม ซึ่งถือ ว่าไม่ถูกต้อง ตนจึงได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด จะต้องดำเนินการในเรื่องนี้ หากจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อเอาผิด ก็จะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย ในส่วนของแกนนำม็อบที่ดูหมิ่น ข่มขู่ บีบบังคับกกต. ต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยขอให้ กกต.เป็นเจ้าทุกข์ในการฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น