xs
xsm
sm
md
lg

ชท.ไม่สนถูกด่าผสมพันธ์ พปช. ครป.ผิดหวัง“บรรหาร”-จี้เช็คส่วนผสมพวกลวงโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ครม.เห็นชอบ ร่างพ.ร.ฎ.เรียกประชุมสภา 51รอโปรดเกล้าฯ ด้าน “บิ๊กบัง” ยันไม่เครียดผลการเลือกตั้งยังยิ้มสู้ได้ แจงเหตุหยุดให้สัมภาษณ์เพราะพูดไปก็ไม่มีน้ำหนัก ด้าน ครป. ชี้โฉมหนารัฐบาลใหม่ ภาคประชาชนต้องตรวจเข้ม เพราะมีส่วนผสมของนักการเมืองประเภทลวงโลกไร้จุดยืน บอกผิดหวัง “บรรหาร” เลือกประโยชน์ส่วนตัว ด้าน ลิ้วล้อ “เติ้ง” ไม่สนถูกด่าร่วมงาน พปช. อ้างเพื่อให้ตั้งรัฐบาลได้ ย้อนถามร่วมงาน ปชป.แล้วตั้งรัฐบาลได้ไหม ไม่เชื่อ พปช.จะโง่ถึงขนาดตั้ง ประธานสภาฯ และรมต.ประเภทยี้เข้ามาซึ่งจะทำให้พัง “สุวิทย์” เตรียมโทร.นัด ชท.แถลงร่วมรัฐบาลกับ พปช. แต่ “วัฒนา” ขวาง

นายประชาสัณห์ ชนะสงคราม ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงวานนี้ (8 ม.ค.) ว่า ครม.เห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2551 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ยกร่างเสนอ โดยที่ยังไม่ได้ระบุวันที่เรียกประชุมรัฐสภา และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกับสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักราชเลขาธิการเมื่อ กกต. ได้ประกาศผลการเลือกตั้งและ ส.ส.รายงานตัวเกินกึ่งหนึ่งแล้ว เพื่อกำหนดวันที่จะเสด็จพระราชดำเนินหรือโปรดเกล้าฯ ให้พระรัชทายาททรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกต่อไป

ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 127 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งจะครบ 30 วันจากการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.2550 คือ วันที่ 21 ม.ค.2551 และมาตรา 128 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม และพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกตามมาตรา 127 วรรคหนึ่ง ด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นผู้แทนพระองค์ มาทำรัฐพิธีก็ได้การเรียกประชุมรัฐสภาให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่หยุด ให้สัมภาษณ์ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นว่า หน้าที่จบแล้ว ภารกิจเลือกตั้งก็เสร็จเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งเสร็จแต่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ น่าจะพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองได้บ้าง พล.อ.สนธิ เลี่ยงที่จะตอบพร้อมกับกล่าวว่า เดี๋ยวไปทานข้าวกันดีกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับตัวท่านมีปัญหาอะไรหรือไม่ แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาว่าพรรคพลังประชาชนจะกลับมา และมองกันว่า ท่านเครียดมากในเวลานี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า โอ้โห ยังยิ้มอยู่ ยังยิ้มได้

ส่วนที่ต้องนิ่งไม่ออกมาให้สัมภาษณ์นั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า พูดไปก็ไม่มีน้ำหนักอะไร ในเวลานี้ต้องรอเวลา เมื่อถามว่าเวลาไหนที่เหมาะสม พล.อ.สนธิ กล่าวว่า แล้วจะบอกพร้อมกับโบกมือลา แล้วเดินขึ้นรถทันที

เงื่อนไขชท.-พผ.เพื่ออ้างความชอบธรรม

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชิปไตย (ครป.) กล่าวว่าสังคมไม่ควรคาดหวังกับเงื่ออนไข 5 ข้อที่พรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดิน มีต่อพรรคพลังประชาชนในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นเพียงการสร้างความ ชอบธรรมในการเข้าร่วมรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีความจริงใจอะไร เพราะนายบรรหาร ศิปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยกล้าถึงขั้นบิดพลิ้วสัญญาประชาคมในช่วงหาเสียงว่าจะไม่สังฆกรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฉะนั้นเงื่อนไข 5 ข้อจึงไม่มีความหมายสำหรับนายบรรหาร และพรรคชาติไทย

นายสุริยะใส กล่าวว่า การเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนของ พรรคชาติไทย ที่เคยประกาศเป็นพันธมิตรขั้วฝ่ายค้านกับพรรคประชาธิปัตย์ ได้สร้างความเคลือบแคลงให้กับประชาชนโดยเฉพาะคนที่เลือกพรรคชาติไทย

“การเดินเกมการเมืองแบนี้ทำให้การหาเสียงเลือกตั้งในอนาคต ไม่มีความหมายเพราะนักการเมืองไม่รักษาคำพูดหรือสัญญาประชาคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเมืองไทยตกอยู่ในวังวนน้ำเน่าไม่ได้พัฒนาไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคชาติไทย อาจจะสูญพันธุ์เพราะถูกลงโทษจากสังคม”

นายสุริยะใส กล่าวว่า น่าเสียดายที่บั้นปลายชีวิตทางการเมืองของนายบรรหาร ก็ยังไม่พยายามสร้างมาตรฐานให้กับการเมืองไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง ซ้ำร้าย กลับพบว่าการตัดสินใจของนายบรรหาร อยู่บนเงื่อนไขพิเศษสารพัดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ หยิบยื่นให้

“เมื่อดูโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่แล้วภาคประชาชนคงจะต้องตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่อย่างเข้มข้น เพราะวันนี้เรากำลังจะได้รัฐบาลที่มีส่วนผสมของคนลวงโลก และพรรคการเมืองที่ไม่มีจุดยืน ทำให้รัฐบาลชุดใหม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ตลอดเวลา”

ชท.ชี้เหลือง-แดงไม่มีผลตั้งรัฐบาล

นายเกษม สรศักดิ์เกษม กรรมการบริหารพรรคชาติไทย ในฐานะที่ประธานคณะกรรมการกฎหมายพรรคชาติไทย กล่าวถึงการให้ใบเหลือง ใบแดง ของ กกต.ว่า หากมองตัวเลขของแต่ละพรรคจะทำให้จำนวน ส.ส.เปลี่ยนแปลงบ้าง แต่การเลือกตั้งใหม่มีแนวโน้มพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะได้กลับคืนมาเป็นส่วนใหญ่ ตัวเลข ส.ส.จึงยังเฉลี่ยอยู่ใน 6 พรรคที่คาดว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

“สมมติว่าที่ จ.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์เพลี่ยงพล้ำก็ลดไป 1 ที่นั่ง แต่ถ้าเขาได้มาก็เท่าเดิม ผลเปลี่ยนแปลงจึงไม่มี แต่เกณฑ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยังคงเดิม ไม่มาก แม้จะเปลี่ยนแปลงประมาณ 10 ที่นั่งก็ยังไหว ยังเป็นเสียงข้างมาก รัฐบาลต้องตั้งมาจากเสียงข้างมาก ไม่เช่นนั้นหากตั้งรัฐบาลไม่ได้การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีประโยชน์ ต้องตั้งไว้ก่อน”

นายเกษม ยังเชื่อว่าการพิจารณาของ กกต.จะทันกำหนดเปิดประชุมสภาในวันที่ 22 ม.ค. เพราะเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 13,17, 20 ม.ค.นี้จะเสร็จเร็ว รวมคะแนนได้เร็ว คงประกาศได้ไม่เกิดวันที่ 21 ม.ค. ครบ 456 คน ถ้าจะขาดอย่างน้อยคงประมาณ 24 คน ซึ่งถ้าสอบสวนไม่เสร็จก็ประกาศรับรองไปก่อนแล้วมาสอยทีหลังได้

เชียร์ให้ปล่อยไปก่อนแล้วสอยที่หลัง

ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าหากปล่อยไปก่อนแล้วมาสอยทีหลังจะเป็นการปล่อย ให้คนมือสกปรกมาเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้ใครจะสะอาด หรือสกปรกยังไม่รู้กัน อย่าเอาใจตัวเองไปวัด คนจะสกปรก หรือถูกสอยออกนั้นมีกกต. ทำหน้าที่อยู่แล้ว การปล่อยไปก่อนเพราะเวลาจำกัด จะมาบอกว่า การเปิดสภาและตั้งรัฐบาลไม่เกี่ยวกับ กกต.ไม่ได้ มันเชื่อมโยงกันตามอำนาจรัฐธรรมนูญ

นายเกษม กล่าวว่า การปล่อยไปก่อนสอยทีหลังในบ้านเมืองเราที่ผ่านมาก็มี แต่จุดสำคัญคือให้มีรัฐบาลและเดินไปก่อน ถ้ารัฐบาลไม่ดีมาเปลี่ยนกันโดยรัฐสภา ถ้าขัดแย้งกันตั้งแต่เริ่มต้นบ้านเมืองก็จะสะดุดอีก ยุบสภาอีก คืนอำนาจประชาชน มาเลือกใหม่แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เป็นไม่ถึงปีก็ยุบสภาแล้ว จะมองว่าคืนอำนาจ ประชาชนมันก็ถูก แต่บ้านเมืองมันสะดุดอยู่เรื่อย

เตือนเลือกประธานสภาต้องไม่ยี้

นายเกษม กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งประธานรัฐสภานั้นพรรคที่ได้เสียงข้างมาก จะหาใครมาทำหน้าที่ก็ต้องคิดให้ดี โดยเฉพาะภาพลักษณ์ เพราะฝีมือแต่ละคนต้องพอ ๆ กัน แต่ภาพลักษณ์นั้นสำคัญ ในพรรคนั้นคนดีๆ มีอยู่หลายคน แต่ต้องมีโอกาส ได้แสดงฝีมือ มีอาวุโสในทางนิติบัญญัติ ขอให้เลือกให้ดี ให้เหมาะสม เพราะประธานสภาฯต้องเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการฯ ในการตั้งนายกรัฐมนตรี อย่าให้ยี้ตั้งแต่ยกแรก จำเป็นต้องดูให้รอบคอบ ต้องเป็นคนนุ่มนวล อย่าโฉ่งฉาง อย่าเห็นแก่พวกพ้องมากเกินไป ต้องเอาประเทศเป็นที่ตั้ง ส่วนความเจ็บแค้นทิ้งไปก่อน

ไม่สนถูกวิจารณ์ร่วมตั้งรัฐบาลกับ พปช.

ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมกำลังเกิดคำถามว่าทำไมพรรคชาติไทยจึงเข้าร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชาชน นายเกษม กล่าวว่า ถามว่าหากไม่เข้าร่วมแล้วตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ตั้งได้ เกิน 10-15 เสียงก็ตั้งได้ แต่ถามว่ามั่นคงหรือไม่ มีรัฐบาลก็ต้องการให้รัฐบาลมั่นคง การร่วมรัฐบาลไม่ใช่เรื่องเสียหายของชาติ ถ้าไม่ร่วม ชั่งน้ำหนักแล้วจะเสียมากกว่าดี บ้านเมืองก็สะดุด ถามว่าไม่ร่วมซีกพรรคพลังประชาชน มาร่วมซีกพรรคประชาธิปัตย์คะแนนยิ่งหนัก แล้วจะเกณฑ์ 5 พรรคที่เหลือมาร่วมทางนี้ มันเกณฑ์กันได้หรือไม่ คงต้องอยู่ที่ความสมัครใจ อยู่ที่มติพรรค อยู่ที่ผู้บริหาร แนวโน้มต้องมองไปในอนาคต ไม่ใช่มองแค่ว่ากวักมือ เคาะกะลา แล้วมารวมกัน มันไม่ใช่ แต่ต้องดูประเทศชาติด้วย มาถึงวันนี้ต้องมองไกลอย่ามองใกล้

“จะโดนวิจารณ์ยับมันก็ช่วยไม่ได้ ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เข้าไปทำงานเสียก่อน แก้ปัญหาที่รออยู่ข้างหน้ามากกมาย ปัญหาให้จะแก้ถ้าไม่มีรัฐบาล มันยืดหยุ่นไปไม่ได้แล้วเพราะรัฐธรรมนูญบังคับ ไม่เช่นนั้นฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญกันหมด รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้เขาเก็บเสื้อผ้าจะกลับบ้านกันอยู่แล้ว”

ร่วม ปชป.แล้วตั้งรัฐบาลไม่ได้จะอยู่ทำไม

ผู้สื่อข่าวแย้งว่า แต่หัวหน้าพรรคชาติไทยเคยให้สัจจะกับพรรคประชาธิปัตย์ และประกาศมีความกตัญญูต่อผู้ใหญ่เอาไว้ นายเกษมกล่าวว่า แต่แนวทางการร่วมรัฐบาลตามที่เสนอไป 5 ข้อ ทางพรรคพลังประชาชนก็ตอบสนองดี ส่วนจะรับเต็มที่หรือไม่เขาตอบสนองก็แล้วกัน ทั้ง 5 ข้อไม่ใช่เงื่อนไขพิเศษเลย แต่เป็นทาง ช่วยกันประคับประคองไปให้ได้ หากทุกคนมีแนวทางตรงนั้นร่วมกันมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรในการที่พรรคชาติไทยจะเข้าร่วมรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่พรรคชาติไทยเคยให้คำมั่นกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพันธมิตรกัน นายเกษม กล่าวว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พอเลือกตั้งแล้วก็ต้องเอาคะแนนมาดู ถ้าคะแนนรวมกันแล้วมันตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปรวมเพื่ออะไร มันไม่ใช่ประโยชน์ส่วนพรรคทั้งสองพรรคแล้ว ต้องเอาประโยชน์บ้านเมืองมาตั้งแล้วช่วยประคับประคองไป จะมากจะน้อยขอประคับประคองไปก่อน

เมื่อถามว่า ไม่ใช่เป็นการทิ้งเพื่อนใช่หรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า ไม่หรอก วนอยู่ในอ่างเดียวกัน มองกันได้ ต่อไปวันข้างหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าถามว่าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้หรือไม่ถ้าคะแนนเท่านี้ ไม่ได้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมทย์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นมาแล้ว 10 กว่าวัน รัฐบาลเสียงข้างน้อยคว่ำทันที กระบวนการในรัฐสภาก็ปล่อยและทำงานต่อไปไม่ได้ ขณะนี้จะมัวมองใกล้ไม่ได้ บ้านเมืองจะเสียหาย ต้องมองให้ไกล ปล่อยให้เดินหน้าไปสัก 2 ปีแล้วรัฐบาลไม่ดีอยากจะยุบสภา เมื่อถึงตรงนั้นก็นิมนต์

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าพรรคชาติไทยยอมโดนด่าในการตัดสินใจครั้งนี้ นายเกษม กล่าวว่า ก็จำเป็นและต้องใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน

เชื่อ พปช.ไม่โง่ที่จะตั้งรัฐมนตรียี้

ส่วนอดีตพรรคไทยรักไทยซึ่งส่วนใหญ่เปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชน ก็ถูกสอบสวนและวิพากษ์วิจารณ์ผลการกระทำที่ผ่านมา นายเกษม กล่าวว่า ถูกต้องแล้ว ที่ต้องโดนตรวจสอบ แต่ผู้บริหารของพรรคพลังประชาชนเมื่อเป็นเสียงข้างมาก ก็ต้องวางตำแหน่งให้ถูกต้อง อย่าไปโหยหาอดีต ส่วนคดีซุกหุ้นหรือคดีอะไรต่าง ๆ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเขาว่ากันไป แต่ฝ่ายบริหารมีหน้าที่แก้ปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชน ตั้งต้นใหม่และทำให้ประชาชนเห็น ประชาชนจะได้เข้าใจและเห็นใจมากขึ้น โดยเฉพาะครม.ชุดใหม่ที่กำลังจะตั้งขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะมีหน้าเดิมๆเข้ามาบ้าง แต่ต้องวางตำแหน่งให้ถูกต้อง อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ

ส่วนถ้าครม.ชุดใหม่หน้าตาไม่ดีแล้วประชาชนยี้จะทำอย่างไรนั้น นายเกษม กล่าวว่า ก็ต้องปล่อยไประยะหนึ่ง แต่ตนเชื่อว่าเขาคงไม่โง่พอที่จะทำอย่างนั้น เพราะเขาอยู่ในสายตาถูกคนจับจ้องมาก ถ้ายิ่งทำเสียหายคราวนี้หนักแน่ จะเสียอนาคต ทางการเมืองกันหมด เชื่อว่าเขาคงไม่คิดสั้น ตอนนี้ต้องช่วยกันประคับประคองบ้านเมือง มีรัฐบาลเสียงข้างมากแล้ว มี ครม. 36 คน พรรคพลังประชาชนมี 25-27 คน แล้วมาทำกันเรื่อยเปื่อยคงไม่ได้ เท่ากับเขาฆ่าตัวเอง

“ผมเชื่อว่าพรรคพลังประชาชนคงไม่กล้าสร้างความเสียหายอีกแล้ว ถ้า ไม่ยอมถอยก็จะนองเลือดกันอีก ประเทศชาติจะเสียหายหนัก เพราะฉะนั้นควรจะต้องตั้งหลัก ตั้งสติกันเสียใหม่ ทำสมาธิก่อนรับหน้าที่ รัฐบาลใหม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ อะไรที่อืดอาดอยู่ตอนนี้ต้องรีบทำ เศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น ต่างชาติมองแล้วน่าเข้ามาลงทุน จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่ต้องดี ต้องหาคนตั้งใจทำงาน และที่สำคัญต้องไม่ยึดติดพวกพ้อง”

พด.เตรียมนัด ชท.แถลงร่วมรัฐบาล

นายวชิระมนฑ์ คุณเกษมธนาวัฒน์ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการร่วมแถลงการร่วมจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคชาติไทยว่า จากการพูดคุยกับผู้ใหญ่ภายในพรรค โดยเฉพาะนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคระบุว่าจะมีการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับแกนนำพรรคชาติไทย ภายในวันที่ 9 -10 ม.ค. นี้เพื่อกำหนดเวลาและวันที่ที่ชัดเจนในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ต่อสื่อมวลชนต่อไป

ส่วนกรณีที่ กกต. ยังไม่รับรองว่าที่ส.ส.ทั้ง 6 คนในเขตจ.นครราชสีมานั้น จากการพูดคุยกับว่าที่ส.ส.ทั้ง 6 คนมั่นใจว่า ทุกคนจะสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ กกต.ภายในครั้งเดียวและจะได้รับรองสิทธ์ในที่สุด

สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่จ.บุรีรัมย์นั้นในเวลาที่เหลือ ทางพรรคเพื่อแผ่นดินก็จะเร่งประชาสัมพันธ์ตัวผู้สมัครของพรรคให้ทั่วถึงมากที่สุดเนื่องจากมีเวลาอยู่อย่างจำกัด มั่นใจว่าผู้สมัครของพรรคจะได้รับเลือกเข้ามาเป็น ส.ส. เหตุเพราะผู้สมัครของพรรคหลายคนเป็นอดีตส.ส.เก่าเป็นที่รู้จักของประชาชนในพื้นที่อยู่แล้วอีกทั้งคะแนนและลำดับจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรค ก็อยู่ที่ อันดับที่ 4-6 ซึ่งใกล้เคียงกับการเป็นว่าที่ ส.ส.อย่างที่สุด

“วัฒนา”สกัดร่วมงาน พปช.

รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากที่นายสุวิทย์ ได้กล่าวยืนยันชัดเจนว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งในช่วงเย็นของวันที่ 7 ม.ค. บรรดาแกนนำ พรรคได้เข้าพบ นายวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรค ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการร่วมกับพรรคพลังประชาชนมาตั้งแต่ต้น ที่บ้านอัศวเหม ซ.พัฒนาการ 20 โดยปิดห้องหารือกันอย่างเคร่งเครียดหลายชั่วโมง

โดยนายวัฒนา บอกกับแกนนำพรรคว่าขณะนี้ยังไม่ต้องการให้พรรคประกาศตัวชัดเจนอยากให้รอผลการแจกใบแดงใบเหลืองให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชน เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนการแถลงข่าวจับมือกับพรรคพลังประชาชน อย่างเป็นทางการออกไปจากที่เคยกำหนดไว้ว่าจะแถลงภายใน 1-2 วันนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น