ชาติไทยเตรียมยื่นกฤษฎีการ้อง 2 ใบแดง ชัยนาท เดินหน้าลุยเลือกตั้งซ่อม เชื่อเปิดสภาทัน 22 ม.ค.ได้แน่ แจงเหตุเดินตามเสียงเคาะกะลา เพื่อชาติ แม้จะยอมถูกด่าให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เตือน พปช.ตั้งสติเฟ้น ครม.ใหม่อย่าคิดสิ้นทำชาติพังอีกรอบ
วันนี้ (8 ม.ค.) ที่พรรคชาติไทย นายเกษม สรศักดิ์เกษม กรรมการบริหารพรรคชาติไทย ในฐานะที่ประธานคณะกรรมการกฎหมายพรรคชาติไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี 2 ใบแดงของพรรคชาติไทย ที่ จ.ชัยนาท ว่า จากนี้ไปทางพรรคชาติไทยจะยื่นขอชี้แจงเพิ่มเติมต่อกฤษฎีกา ซึ่งเป็นไปตามเส้นทางกฎหมายเลือกตั้ง โดยให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิมีโอกาสชี้แจงเพิ่มเติมได้ โดยต้องถือเป็นการด่วน เนื่องกฤษฎีกามีเวลาพิจารณา 5 วันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ใช้เวลาไม่นาน 2 วันก็เสร็จ เนื่องจากประเด็นไม่ได้ซับซ้อน เพียงวินิจฉัยว่ากระบวนการที่ กกต.ทำมานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ วินิจฉัยโดยสุจริต เที่ยงธรรมหรือไม่ ดังนั้น ผู้ชี้แจงต้องมีพยานหลักฐานที่สำคัญใหม่ ที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้ เพราะถ้าเป็นพยานหลักฐานเดิมคงไม่รับพิจารณา ผู้สื่อข่าวถามว่า คาดหวังได้กี่เปอร์เซ็นต์ นายเกษม กล่าวว่า ยากมาก เพราะเมื่อเป็นใบแดงแล้วก็โอกาสน้อย แต่เมื่อเป็นกระบวนการที่จะชี้แจงได้ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการหักล้างต่อ กกต.ไม่เป็นผล เพราะถ้าการหักล้างเคลือบแคลงเป็นผลคงโดนแค่ใบเหลือง
“เรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะพรรคเราหาเสียงอยู่ในกรอบอยู่แล้ว แต่ตัวผู้สมัครไปกระทำการใดๆ พรรคไม่รู้ไม่ทราบ ถ้าพรรครู้จะไม่ยอมปล่อยให้ทำอย่างนี้ จะเสียหายต่อผู้สมัครเอง เสียเวลาเลือกตั้งซ่อม เพราะเลือกตั้งใหม่ ทั้ง 2 คนที่โดนใบแดงนี้ต้องเสียค่าเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดให้ กกต.ทั้งหมดด้วย ไม่ว่าจะ 7-10 ล้าน หรือ 20 ล้าน ก็ต้องเสียแทนด้วย ไม่ว่าจะโดนเหลืองหรือแดง เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ผู้ที่ก่อกระทำให้เกิดการเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ถูกจัดให้มีการเลือกตั้ง ผู้นั้นต้องรับผิดชอบชดใช้ทั้งหมดเต็มจำนวนที่ต้องใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นอีกบทบังคับหนึ่ง นอกเหนือจากถูกเพิกถอนสิทธิ 1 ปีแล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้เกี่ยวโยงถึงการยุบพรรคหรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า กรณีนั้นพรรคต้องรู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยด้วย แต่นี่พรรคได้มีหนังสือแจ้งให้ทุกคนทราบแล้วตั้งแต่ต้นว่า การรณรงค์หาเสียงไม่ให้ปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ กกต.พรรคเตือนต้องระมัดระวัง หากทำผิดก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ส่วนกรณีโดนใบเหลืองที่ จ.ชัยภูมิ นั้น ยังมีโอกาสมาเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ยังไม่โดนประหารชีวิต แต่แข่งขันใหม่ก็อันตรายอีกเพราะกระแสการตอบรับ กระแสพรรค ปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งผู้สมัครต้องเตรียมตัวเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ อย่างไรก็ตามถือเป็นภาระที่หนัก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อกติกาเป็นอย่างนี้ก็ต้องยอมรับสภาพ
เมื่อถามว่า ตัวเลขจำนวน ส.ส.แต่ละพรรคเปลี่ยนแปลงจะสิ่งผลกระทบต่อการร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า หากมองตัวเลขอาจจะมีคลาดเคลื่อนบ้าง แต่การเลือกตั้งใหม่นั้นพรรคที่มีแนวโน้มร่วมรัฐบาลเองจะได้กลับคืนมาเป็นส่วนใหญ่ ตัวเลขยังเฉลี่ยอยู่ใน 6 พรรคที่คาดว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล สมมติว่าที่ จ.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์เพลี่ยงพล้ำก็ลดไป 1 ที่นั่ง แต่ถ้าเขาได้มาก็เท่าเดิม ผลเปลี่ยนแปลงจึงไม่มี แต่เกณฑ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยังคงเดิม ไม่มาก แม้จะเปลี่ยนแปลงประมาณ 10 ที่นั่งเสียงก็ยังไหว ยังเป็นเสียงข้างมาก รัฐบาลต้องตั้งมาจากเสียงข้างมาก ไม่เช่นนั้นหากตั้งรัฐบาลไม่ได้การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ไม่มีประโยชน์ ต้องตั้งไว้ก่อน
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าจะเปิดสภาทันกำหนด 22 ม.ค.นี้หรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าทัน เพราะเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 13, 17, 20 ม.ค.นี้จะเสร็จเร็ว รวมคะแนนได้เร็ว คงประกาศได้ไม่เกิดวันที่ 21 ม.ค.ครบ 456 คน ถ้าจะขาดอย่างน้อยคงประมาณ 24 คน ซึ่งถ้าสอบสวนไม่เสร็จก็ประกาศรับรองไปก่อนแล้วมาสอยทีหลังได้ ซึ่งที่มีการวิจารณ์ว่าหากปล่อยไปก่อนแล้วมาสอยทีหลังนั้นจะเป็นการปล่อยให้คนมือสกปรกมาเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้ใครจะสะอาด หรือสกปรก ตอนนี้ยังไม่รู้กัน อย่าเอาใจตัวเองไปวัด คนจะสกปรก หรือถูกสอยออกนั้นมีกกต.ทำหน้าที่อยู่แล้ว การปล่อยไปก่อนเพราะเวลาจำกัด จะมาบอกว่าการเปิดสภา และตั้งรัฐบาลไม่เกี่ยวกับ กกต.ไม่ได้ มันเชื่อมโยงกันตามอำนาจรัฐธรรมนูญ ซึ่งการปล่อยไปก่อนสอยทีหลังในบ้านเมืองเราที่ผ่านมาก็มี แต่จุดสำคัญคือให้มีรัฐบาลและเดินไปก่อน ถ้ารัฐบาลไม่ดีมาเปลี่ยนกันโดยรัฐสภา “ถ้าขัดแย้งกันตั้งแต่เริ่มต้นบ้านเมืองก็จะสะดุดอีก ยุบสภาอีก คืนอำนาจประชาชนมาเลือกใหม่แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เป็นไม่ถึงปีก็ยุบสภาแล้ว จะมองว่าคืนอำนาจประชาชนมันก็ถูก แต่บ้านเมืองมันสะดุดอยู่เรื่อย”
นายเกษม กล่าวว่า สำหรับตำแหน่งประธานรัฐสภานั้น พรรคที่ได้เสียงข้างมากจะหาใครมาทำหน้าที่ก็ต้องคิดให้ดี โดยเฉพาะภาพลักษณ์ เพราะฝีมือแต่ละคนต้องพอๆ กัน แต่ภาพลักษณ์นั้นสำคัญ ในพรรคนั้นคนดีๆ มีอยู่หลายคน แต่ต้องมีโอกาสได้แสดงฝีมือ มีอาวุโสในทางนิติบัญญัติ ขอให้เลือกให้ดี ให้เหมาะสม เพราะประธานสภาฯต้องเป็นคนรับสนองฯในการตั้งนายกฯ อย่าให้ยี้ตั้งแต่ยกแรก จำเป็นต้องดูให้รอบคอบ ต้องเป็นคนนุ่มนวล อย่าโฉ่งฉาง อย่าเห็นแก่พวกพ้องมากเกินไป ต้องเอาประเทศเป็นที่ตั้ง ส่วนความเจ็บแค้นทิ้งไปก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมกำลังเกิดคำถามว่าทำไมพรรคชาติไทยจึงเข้าร่วมรัฐบาลพลังประชาชน นายเกษม กล่าวว่า ถามว่าหากไม่เข้าร่วมแล้วตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ตั้งได้เกิน 10-15 เสียงก็ตั้งได้ แต่ถามว่ามั่นคงหรือไม่ มีรัฐบาลก็ต้องการให้รัฐบาลมั่นคง การร่วมรัฐบาลไม่ใช่เรื่องเสียหายของชาติ ถ้าไม่ร่วม ชั่งน้ำหนักแล้วจะเสียมากกว่าดี บ้านเมืองก็สะดุด ถามว่าไม่ร่วมซีกพลังประชาชนมาร่วมซีกประชาธิปัตย์คะแนนยิ่งหนัก แล้วจะเกณฑ์ 5 พรรคที่เหลือมาร่วมทางนี้มันเกณฑ์กันได้หรือไม่ คงต้องอยู่ที่ความสมัครใจ อยู่ที่มติพรรค อยู่ที่ผู้บริหาร แนวโน้มต้องมองไปในอนาคต ไม่ใช่มองแค่ว่ากวักมือ เคาะกะลา แล้วมารวมกัน มันไม่ใช่ แต่ต้องดูประเทศชาติด้วย มาถึงวันนี้ต้องมองไกลอย่ามองใกล้
“จะโดนวิจารณ์ยับมันก็ช่วยไม่ได้ ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เข้าไปทำงานเสียก่อน แก้ปัญหาที่รออยู่ข้างหน้ามากกมาย ปัญหาให้จะแก้ถ้าไม่มีรัฐบาล มันยืดหยุ่นไปไม่ได้แล้วเพราะรัฐธรรมนูญบังคับ ไม่เช่นนั้นฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญกันหมด รัฐบาลชุดนี้เขาเก็บเสื้อผ้าจะกลับบ้านกันอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า แต่หัวหน้าพรรคชาติไทยเคยให้สัจจะกับพรรคประชาธิปัตย์ และประกาศมีความกตัญญูต่อผู้ใหญ่เอาไว้ นายเกษม กล่าวว่า แต่แนวทางการร่วมรัฐบาลตามที่เสนอไป 5 ข้อ ทางพรรคพลังประชาชนก็ตอบสนองดี ส่วนจะรับเต็มที่หรือไม่เขาตอบสนองก็แล้วกัน ทั้ง 5 ข้อไม่ใช่เงื่อนไขพิเศษเลย แต่เป็นทางช่วยกันประคับประคองไปให้ได้ หากทุกคนมีแนวทางตรงนั้นร่วมกันมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรในการที่พรรคชาติไทยจะเข้าร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่า แต่พรรคชาติไทยเคยให้คำมั่นกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพันธมิตรกัน นายเกษม กล่าวว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พอเลือกตั้งแล้วก็ต้องเอาคะแนนมาดู ถ้าคะแนนรวมกันแล้วมันตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปรวมเพื่ออะไร มันไม่ใช่ประโยชน์ส่วนพรรคทั้งสองพรรคแล้ว ต้องเอาประโยชน์บ้านเมืองมาตั้งแล้วช่วยประคับประคองไป จะมากจะน้อยขอประคับประคองไปก่อน เมื่อถามว่าไม่ใช่เป็นการทิ้งเพื่อนใช่หรือไม่ นายเกษม กล่าวว่า ไม่หรอก วนอยู่ในอ่างเดียวกัน มองกันได้ ต่อไปวันข้างหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าถามว่าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้หรือไม่ถ้าคะแนนเท่านี้ ไม่ได้ อาจารย์เสนีย์ ปราโมทย์ เคยเป็นมาแล้ว 10 กว่าวัน รัฐบาลเสียงข้างน้อยคว่ำทันที กระบวนการในรัฐสภาก็ปล่อยและทำงานต่อไปไม่ได้ ขณะนี้จะมัวมองใกล้ไม่ได้ บ้านเมืองจะเสียหาย ต้องมองให้ไกล ปล่อยให้เดินหน้าไปสัก 2 ปีแล้วรัฐบาลไม่ดีอยากจะยุบสภา เมื่อถึงตรงนั้นก็นิมนต์
เมื่อถามว่า แสดงว่า พรรคชาติไทยยอมโดนด่าในการตัดสินใจครั้งนี้ นายเกษม กล่าวว่า ก็จำเป็นและต้องใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน ผู้สื่อข่าวถามว่า อดีตพรรคไทยรักไทยซึ่งส่วนใหญ่เปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชนก็ถูกสอบสวนและวิพากษ์วิจารณ์ผลการกระทำที่ผ่านมา นายเกษม กล่าวว่า ถูกต้องแล้วที่ต้องโดนตรวจสอบ แต่ผู้บริหารของพรรคพลังประชาชนเมื่อเป็นเสียงข้างมากก็ต้องวางตำแหน่งให้ถูกต้อง อย่าไปโหยหาอดีต ส่วนคดีซุกหุ้นหรือคดีอะไรต่างๆ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเขาว่ากันไป แต่ฝ่ายบริหารมีหน้าที่แก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ดังนั้น ตั้งต้นใหม่และทำให้ประชาชนเห็น ประชาชนจะได้เข้าใจและเห็นใจมากขึ้น โดยเฉพาะ ครม.ชุดใหม่ที่กำลังจะตั้งขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะมีหน้าเดิมๆ เข้ามาบ้าง แต่ต้องวางตำแหน่งให้ถูกต้อง อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ
เมื่อถามว่า ถ้า ครม.ชุดใหม่หน้าตาไม่ดีแล้วประชาชนยี้ นายเกษม กล่าวว่า ก็ต้องปล่อยไประยะหนึ่ง แต่ตนเชื่อว่าเขาคงไม่โง่พอที่จะทำอย่างนั้น เพราะเขาอยู่ในสายตาถูกคนจับจ้องมาก ถ้ายิ่งทำเสียหายคราวนี้หนักแน่ จะเสียอนาคตทางการเมืองกันหมด เชื่อว่า เขาคงไม่คิดสั้น ตอนนี้ต้องช่วยกันประคับประคองบ้านเมือง มีรัฐบาลเสียงข้างมากแล้ว มี ครม.36 คน พรรคพลังประชาชน มี 25-27 คน แล้วมาทำกันเรื่อยเปื่อยคงไม่ได้ เท่ากับเขาฆ่าตัวเอง ตนเชื่อว่า พรรคพลังประชาชนคงไม่กล้าสร้างความเสียหายอีกแล้ว ถ้าไม่ยอมถอยก็จะนองเลือดกันอีก ประเทศชาติจะเสียหายหนัก เพราะฉะนั้นควรจะต้องหลัก ตั้งสติกันเสียใหม่ ทำสมาธิก่อนรับหน้าที่ รัฐบาลใหม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ อะไรที่อืดอาดอยู่ตอนนี้ต้องรีบทำ เศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น ต่างชาติมองแล้วน่าเข้ามาลงทุน จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่ต้องดี ต้องหาคนตั้งใจทำงาน และที่สำคัญต้องไม่ยึดติดพวกพ้อง