ผู้จัดการรายวัน - นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการหารือกับประธานสมาคมหลักทรัพย์ เพื่อชี้แจงข้อมูลในการดึงบริษัทหลักทรัพย์เข้าเป็นสมาชิกของเครดิตบูโร โดยได้ชี้เห็นถึงความสำคัญของการรู้จักตัวตนหรือฐานะที่แท้จริงของลูกค้าในส่วนของสินเชื่อ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ลูกค้าไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้ ขณะที่ส่วนของสินทรัพย์ เช่น เงินฝาก ทางบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการตรวจสอบอยู่แล้ว โดยประธานสมาคมเห็นประโยชน์ในเรื่องดังกล่าวแล้ว และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างประสานงานกับสมาชิก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางบริษัทต้องกลับไปศึกษาเพิ่มเติมคือ จะเริ่มจากบัญชีประเภทใดระหว่างบัญชีเงินสดกับบัญชีมาร์จิ้น และเมื่อเริ่มดำเนินการแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งจะต้องเป็นสมาชิกพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ โดยบริษัทจะเข้าไปพูดคุยกับประธานสมาคมหลักทรัพย์อีกครั้งภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าว่าบริษัทหลักทรัพย์มีความพร้อมมากเพียงใด ขณะที่ในส่วนของเครดิตบูโรได้เตรียมการมาปีกว่าแล้ว หากสำเร็จก็จะถือเป็นเรื่องที่ดีต่อระบบการซื้อ ขายหลักทรัพย์โดยรวม
"การที่ บล.จะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ได้น่าจะเป็นประโยชน์ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับความเสี่ยงจากการชำระราคาหลักทรัพย์ของลูกค้าโบรกเกอร์ แต่หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้มีปัญหามากพอสมควร ซึ่งการตรวจสอบลูกค้าทำให้ได้รู้ว่าเขามีบัญชีซื้อขายที่ไหนบ้าง จะได้คำนวณมาร์จินที่จะให้กับลูกค้าได้ตามความเหมาะสม และเชื่อว่าทางผู้บริหารบล.ต่างๆจะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายนิวัฒน์ได้กล่าวถึงเป้าหมายการทำงานในปีนี้ว่า จะเน้นให้เป็นปีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากที่ผ่านมา บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ แต่ไม่สามารถจัดอันดับเครดิตใดๆได้ แต่หลังจากที่กฎหมายข้อมูลบัตรเครดิตผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)แล้ว บริษัทจะเน้นการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อบริหารหนี้ในแนวทางที่ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางบริษัทต้องกลับไปศึกษาเพิ่มเติมคือ จะเริ่มจากบัญชีประเภทใดระหว่างบัญชีเงินสดกับบัญชีมาร์จิ้น และเมื่อเริ่มดำเนินการแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งจะต้องเป็นสมาชิกพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ โดยบริษัทจะเข้าไปพูดคุยกับประธานสมาคมหลักทรัพย์อีกครั้งภายใน 1-2 เดือนนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าว่าบริษัทหลักทรัพย์มีความพร้อมมากเพียงใด ขณะที่ในส่วนของเครดิตบูโรได้เตรียมการมาปีกว่าแล้ว หากสำเร็จก็จะถือเป็นเรื่องที่ดีต่อระบบการซื้อ ขายหลักทรัพย์โดยรวม
"การที่ บล.จะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ได้น่าจะเป็นประโยชน์ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับความเสี่ยงจากการชำระราคาหลักทรัพย์ของลูกค้าโบรกเกอร์ แต่หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้มีปัญหามากพอสมควร ซึ่งการตรวจสอบลูกค้าทำให้ได้รู้ว่าเขามีบัญชีซื้อขายที่ไหนบ้าง จะได้คำนวณมาร์จินที่จะให้กับลูกค้าได้ตามความเหมาะสม และเชื่อว่าทางผู้บริหารบล.ต่างๆจะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายนิวัฒน์ได้กล่าวถึงเป้าหมายการทำงานในปีนี้ว่า จะเน้นให้เป็นปีที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากที่ผ่านมา บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ แต่ไม่สามารถจัดอันดับเครดิตใดๆได้ แต่หลังจากที่กฎหมายข้อมูลบัตรเครดิตผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)แล้ว บริษัทจะเน้นการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อบริหารหนี้ในแนวทางที่ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
