คตส.ฟันแก๊งงาบบ้านเอื้ออาทรอีก 14 ราย “อริสมันต์” โดนด้วยฐานเป็นตัวกลางเรียกรับสินบน งาบหัวคิวไป 7 ล้าน “วัฒนา” เจอเพิ่มอีก 7 กระทง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ขณะที่ “ชวนพิศ” ตามมาติดๆ เจอเพิ่มเป็นกระทงที่ 2 ฐานเอื้อประโยชน์เอกชนทำรัฐเสียหาย 200 ล้าน ด้าน “หมอเลี้ยบ-บอร์ด ทศท.-กสท.” หนาว คตส. ติดดาบ “กล้านรงค์” ตามเชคบิลออกมาตรการเอื้อ เอไอเอส. “หญิงอ้อ” ติดต่อ สนช. บินกลับไทยวันนี้
ในการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) บ่ายวานนี้ (7ม.ค.) มีนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ภายหลังการประชุม นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการบ้านเอื้ออาทร เสนอชี้มูล และแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเพิ่มเติมอีก 3 คดี จำนวน 14 ราย โดยพบว่ามีการทุจริตโควตาโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งพบสินบนแล้ว 1,200 ล้านบาท
ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมมี กลุ่มที่ 1.คดีทุจริต-รับเรียกสินบน คือ นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ หน้าห้องรัฐมนตรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการทุจริต นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนให้รัฐมนตรี โดยได้รับเงินส่วนแบ่ง 7 ล้านบาท นางรัตนา แซ่เฮง เลขาคนสนิทของบริษัท เพรสซิเดนท์ ในฐานะตัวกลางเรียกรับสินบน และผู้บริหารบริษัทไทยเฉนหยู ซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล
กลุ่มที่ 2.คดีทุจริตโควตาเดวา โดยแจ้งข้อกล่าวหานางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ เพิ่มอีก 1 กระทง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ไม่ควรได้ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนโดยจงใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบริษัทได้เสนอขายที่ดินสร้างบ้านเอื้ออาทรในโครงการบางขุนเทียน ยูนิตละ 3.9 แสนบาท ซึ่งเป็นแบบเหมาเบ็ดเสร็จ และมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากนายวัฒนา เมืองสุข เข้ามารับตำแหน่ง ได้มีการถอนเรื่องออกจากสาระบบ และมีการเสนอเรื่องเข้ามาใหม่เป็นระบบโควตา ทำให้รัฐต้องจ่ายเพิ่มจาก 3.9 แสน เป็นยูนิตละ 4.2 แสนบาท กว่า 1 พันยูนิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
กลุ่มที่ 3 คดีฟอกเงินเข้าบริษัทเพรสซิเดนท์ ซึ่ง คตส.จะส่งสำนวนให้ ดีเอสไอ. ดำเนินการตรวจสอบต่อ โดยผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอาทิตย์ ภู่ภักดี นายศรัทธา ภู่ภักดี นายอนุรักษ์ วิศาลจตุรงค์ นายสุรพงษ์ กุลแพ นายศานติ อภัยนนท์ นายทรัพย์ทวี การกิจโอฬาร บริษัทโกลเด้นฯ และบริษัทกู๊ดโกลบอลฯ กับ น.ส. อรวรรณ ศรัทธาสุกล ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องในเส้นทางการฟอกเงิน 8 พันล้านบาท แต่มีเงินที่เกี่ยวข้องกับ คดีเอื้ออาทร 1.2 พันล้านบาทจาก 50 บัญชี โดยพฤติการณ์ มีการส่งเงินไปฮ่องกง อ้างว่าซื้อสินค้าเข้าประเทศ จากนั้นโอนเข้าบริษัทเพรสซิเด้นท์
โดยอ้างว่าเป็นรายได้จากการขายข้าว ส่วนที่ไม่มีชื่อ นายวัฒนา ในกลุ่มนี้ เนื่องจากนายวัฒนา ไม่มีพฤติกรรมการฟอกเงิน แต่มีพฤติกรรมทุจริตเรียกรับสินบน ซึ่ง คตส.ได้ตั้งข้อกล่าวหาไปแล้วในครั้ง ที่คตส. พบว่ามีการฟอกเงิน 80 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ยังถูกตั้งข้อกล่าวเพิ่มอีก 7 กระทง ตามรายชื่อบริษัทที่ถูกสอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่พบเงินจำนวน 1.2 พันล้านบาท หากพบก็จะสามารถอายัดทรัพย์ได้ทันที
ด้าน นายแก้วสรร กล่าวว่า พฤติการณ์เริ่มตั้งแต่นายวัฒนา เมืองสุข เข้ามาเป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการเปลี่ยนระบบจากการให้บริษัทหาที่ดินเป็นแปลงๆ มาเสนอขาย ในราคายูนิตละ 3.9 แสนบาท มาเป็นระบบโควตาเพื่อสร้างในส่วนที่เหลืออยู่ 2 แสนยูนิต คิดราคาตายตัวอยู่ที่ยูนิตละ 4.2 แสนบาท ทำให้ราคาสูงเกิดส่วนต่าง โดยบริษัทที่ได้โควตาต้องเสียเงินให้รัฐมนตรีหน่วยละ 1 หมื่นบาท รวม 2 แสนยูนิตเป็น 2 พันล้านบาท ซึ่งมีการผ่านเส้นทางการฟอกเงิน และที่ผ่านมา คตส. เคยชี้มูลบริษัทเพรสซิเด้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเงินรายใหญ่มาแล้ว
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ตรวจสอบ 15 บริษัท พบ 8 บริษัท ที่ร่วมสู่เส้นทางการฟอกเงิน แต่มี 7 บริษัทที่ให้ความร่วมมือ คณะอนุกรรมการจึงไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และได้กันไว้เป็นพยาน สำหรับกรณีของ นายอริสมันต์ คณะอนุกรรมการตรวจพบว่ามีพฤติการณ์เป็นนายหน้า เข้าเจรจากับเจ้าของที่ดิน และเสนอขายที่ดินเพื่อทำโครงการบ้านเอื้ออาทร แทนที่จะให้บริษัทติดต่อเสนอขายเอง โดยคนกลุ่มนี้ทำตัวเป็นนายหน้า ไปหาเจ้าของที่พอตกลงราคาก็วิ่งเสนอต่อรัฐในราคาเกินจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุจริต เข้าใจว่า บุคคลนี้ได้รับ 2 ต่อจำนวน 7 ล้านบาท จากราคาส่วนต่าง
“พฤติกรรมทั้งหมดมีหลักฐานเอกสารการรับเงินคอร์รัปชั่นครบถ้วน ถือว่าคดีบ้านเอื้ออาทรเกมแล้ว ไม่น่าจะยื้อได้ แต่ถ้าจะประวิงเวลา คงจะทำได้อย่างเก่งไม่เกิน 3 เดือน หลังจากนั้นจะได้แจ้งมติให้ผู้ถูกกล่าวหาคัดค้านการตั้งอนุกรรมการไต่สวน และเข้าแก้ข้อกล่าวหาต่อไป”
นายแก้วสรร กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้อนุกรรมการไต่สวนคดี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน มีอำนาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจคือ ทศท. และกสท. อีก 3 คดี คือ 1. คดีผู้บริหารทศท. แก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานให้เอไอเอส. จาก 25% เหลือ 20% ทำให้รัฐขาดรายได้ 4 หมื่นล้านบาท โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ 4-5 ราย เกี่ยวข้อง
2.ผู้บริหาร ทศท.แก้ไขสัมปทานให้เอไอเอส. หักลดค่าใช้โครงข่ายร่วมโดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหาย 2.3 หมื่นล้านบาท โดยต้องมีผู้ที่ต้องถูกดำเนินคดีทั้งอาญา และแพ่ง 3.รัฐมนตรีไอซีที. ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมอนุมัติแก้ไขสัญญาดาวเทียมเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินแซทเทิลไลท์โดยมิชอบ ในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งไม่ใช่ดาวเทียมสื่อสารพื้นฐานสำหรับประเทศ แต่เป็นการยิงดาวเทียมนอกเหนือสัญญาเพื่อการลงทุนด้านการสื่อสารใน 14 ประเทศ ทำให้ประเทศไทยเกิดความเสียหาย
หลังจากที่ดาวเทียมไทยคม 3 เสียหาย มีการอนุมัติเงินประกันดาวเทียม 30 ล้านดอลล่าร์ไปเช่าดาวเทียมต่างประเทศ ทั้งที่เป็นเงินสำหรับยิงดาวเทียมดวงใหม่ ถือเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และยังพบว่ารัฐมนตรีไอซีที และกระทรวงคมนาคมอนุมัติให้บริษัทชินแซทฯ ลงทุน 1 หมื่นล้านบาทในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ โดยการเพิ่มทุน โดยมีการแก้ไขสัญญาให้บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จากเดิมต้องถือหุ้นในบริษัทชินแซท 51% เหลือ 40% โดยที่เหลือนำไปกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน ถือว่าผิดข้อตกลงในการแก้ไขสัญญาในการยิงดาวเทียมตั้งแต่ต้น ทั้งนี้หากมีการดำเนินคดีกับอดีตรัฐมนตรีไอซีที ซึ่งปัจจุบันเป็น ส.ส. ก็ไม่มีผลต่อการทำงานของ คตส. เพราะ คตส.ไม่มีอำนาจในการจับกุมคุมขัง
รายงานข่าวแจ้งว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประสานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อขอเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อสู้คดีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก จากกองทุนฟื้นฟู และพัฒนาระบอบสถาบันการเงิน ซึ่งศาลออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ โดยจะเดินทางจากประเทศฮ่องกงโดยสายการบินไทย เที่ยวบินทีจี 603 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 09.40น. วันนี้(8 ม.ค.) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วัชรพล ประสานราชกิจ ผู้ช่วยผบ.ตร.(กศ) เป็นผู้รับตัวเพื่อนำตัวส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงทางตำแหน่งทางการเมือง โดยตำรวจได้จัดชุดอารักขาความปลอดภัย ดูแลตั้งแต่สนามบินจนถึงศาลอย่างเข้มงวด
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว ได้ไปติดต่อศาล พร้อมนำเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อประสานขอประกันตัวไว้ล่วงหน้า เบื้องต้นคาดว่าศาลจะอนุมัติให้ประกันตัว
ในการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) บ่ายวานนี้ (7ม.ค.) มีนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ภายหลังการประชุม นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการบ้านเอื้ออาทร เสนอชี้มูล และแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเพิ่มเติมอีก 3 คดี จำนวน 14 ราย โดยพบว่ามีการทุจริตโควตาโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งพบสินบนแล้ว 1,200 ล้านบาท
ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมมี กลุ่มที่ 1.คดีทุจริต-รับเรียกสินบน คือ นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ หน้าห้องรัฐมนตรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการทุจริต นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนให้รัฐมนตรี โดยได้รับเงินส่วนแบ่ง 7 ล้านบาท นางรัตนา แซ่เฮง เลขาคนสนิทของบริษัท เพรสซิเดนท์ ในฐานะตัวกลางเรียกรับสินบน และผู้บริหารบริษัทไทยเฉนหยู ซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล
กลุ่มที่ 2.คดีทุจริตโควตาเดวา โดยแจ้งข้อกล่าวหานางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ เพิ่มอีก 1 กระทง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ไม่ควรได้ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนโดยจงใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบริษัทได้เสนอขายที่ดินสร้างบ้านเอื้ออาทรในโครงการบางขุนเทียน ยูนิตละ 3.9 แสนบาท ซึ่งเป็นแบบเหมาเบ็ดเสร็จ และมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากนายวัฒนา เมืองสุข เข้ามารับตำแหน่ง ได้มีการถอนเรื่องออกจากสาระบบ และมีการเสนอเรื่องเข้ามาใหม่เป็นระบบโควตา ทำให้รัฐต้องจ่ายเพิ่มจาก 3.9 แสน เป็นยูนิตละ 4.2 แสนบาท กว่า 1 พันยูนิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
กลุ่มที่ 3 คดีฟอกเงินเข้าบริษัทเพรสซิเดนท์ ซึ่ง คตส.จะส่งสำนวนให้ ดีเอสไอ. ดำเนินการตรวจสอบต่อ โดยผู้ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายอาทิตย์ ภู่ภักดี นายศรัทธา ภู่ภักดี นายอนุรักษ์ วิศาลจตุรงค์ นายสุรพงษ์ กุลแพ นายศานติ อภัยนนท์ นายทรัพย์ทวี การกิจโอฬาร บริษัทโกลเด้นฯ และบริษัทกู๊ดโกลบอลฯ กับ น.ส. อรวรรณ ศรัทธาสุกล ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องในเส้นทางการฟอกเงิน 8 พันล้านบาท แต่มีเงินที่เกี่ยวข้องกับ คดีเอื้ออาทร 1.2 พันล้านบาทจาก 50 บัญชี โดยพฤติการณ์ มีการส่งเงินไปฮ่องกง อ้างว่าซื้อสินค้าเข้าประเทศ จากนั้นโอนเข้าบริษัทเพรสซิเด้นท์
โดยอ้างว่าเป็นรายได้จากการขายข้าว ส่วนที่ไม่มีชื่อ นายวัฒนา ในกลุ่มนี้ เนื่องจากนายวัฒนา ไม่มีพฤติกรรมการฟอกเงิน แต่มีพฤติกรรมทุจริตเรียกรับสินบน ซึ่ง คตส.ได้ตั้งข้อกล่าวหาไปแล้วในครั้ง ที่คตส. พบว่ามีการฟอกเงิน 80 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ยังถูกตั้งข้อกล่าวเพิ่มอีก 7 กระทง ตามรายชื่อบริษัทที่ถูกสอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่พบเงินจำนวน 1.2 พันล้านบาท หากพบก็จะสามารถอายัดทรัพย์ได้ทันที
ด้าน นายแก้วสรร กล่าวว่า พฤติการณ์เริ่มตั้งแต่นายวัฒนา เมืองสุข เข้ามาเป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการเปลี่ยนระบบจากการให้บริษัทหาที่ดินเป็นแปลงๆ มาเสนอขาย ในราคายูนิตละ 3.9 แสนบาท มาเป็นระบบโควตาเพื่อสร้างในส่วนที่เหลืออยู่ 2 แสนยูนิต คิดราคาตายตัวอยู่ที่ยูนิตละ 4.2 แสนบาท ทำให้ราคาสูงเกิดส่วนต่าง โดยบริษัทที่ได้โควตาต้องเสียเงินให้รัฐมนตรีหน่วยละ 1 หมื่นบาท รวม 2 แสนยูนิตเป็น 2 พันล้านบาท ซึ่งมีการผ่านเส้นทางการฟอกเงิน และที่ผ่านมา คตส. เคยชี้มูลบริษัทเพรสซิเด้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเงินรายใหญ่มาแล้ว
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ตรวจสอบ 15 บริษัท พบ 8 บริษัท ที่ร่วมสู่เส้นทางการฟอกเงิน แต่มี 7 บริษัทที่ให้ความร่วมมือ คณะอนุกรรมการจึงไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และได้กันไว้เป็นพยาน สำหรับกรณีของ นายอริสมันต์ คณะอนุกรรมการตรวจพบว่ามีพฤติการณ์เป็นนายหน้า เข้าเจรจากับเจ้าของที่ดิน และเสนอขายที่ดินเพื่อทำโครงการบ้านเอื้ออาทร แทนที่จะให้บริษัทติดต่อเสนอขายเอง โดยคนกลุ่มนี้ทำตัวเป็นนายหน้า ไปหาเจ้าของที่พอตกลงราคาก็วิ่งเสนอต่อรัฐในราคาเกินจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุจริต เข้าใจว่า บุคคลนี้ได้รับ 2 ต่อจำนวน 7 ล้านบาท จากราคาส่วนต่าง
“พฤติกรรมทั้งหมดมีหลักฐานเอกสารการรับเงินคอร์รัปชั่นครบถ้วน ถือว่าคดีบ้านเอื้ออาทรเกมแล้ว ไม่น่าจะยื้อได้ แต่ถ้าจะประวิงเวลา คงจะทำได้อย่างเก่งไม่เกิน 3 เดือน หลังจากนั้นจะได้แจ้งมติให้ผู้ถูกกล่าวหาคัดค้านการตั้งอนุกรรมการไต่สวน และเข้าแก้ข้อกล่าวหาต่อไป”
นายแก้วสรร กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้อนุกรรมการไต่สวนคดี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน มีอำนาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจคือ ทศท. และกสท. อีก 3 คดี คือ 1. คดีผู้บริหารทศท. แก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานให้เอไอเอส. จาก 25% เหลือ 20% ทำให้รัฐขาดรายได้ 4 หมื่นล้านบาท โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ 4-5 ราย เกี่ยวข้อง
2.ผู้บริหาร ทศท.แก้ไขสัมปทานให้เอไอเอส. หักลดค่าใช้โครงข่ายร่วมโดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหาย 2.3 หมื่นล้านบาท โดยต้องมีผู้ที่ต้องถูกดำเนินคดีทั้งอาญา และแพ่ง 3.รัฐมนตรีไอซีที. ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมอนุมัติแก้ไขสัญญาดาวเทียมเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินแซทเทิลไลท์โดยมิชอบ ในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งไม่ใช่ดาวเทียมสื่อสารพื้นฐานสำหรับประเทศ แต่เป็นการยิงดาวเทียมนอกเหนือสัญญาเพื่อการลงทุนด้านการสื่อสารใน 14 ประเทศ ทำให้ประเทศไทยเกิดความเสียหาย
หลังจากที่ดาวเทียมไทยคม 3 เสียหาย มีการอนุมัติเงินประกันดาวเทียม 30 ล้านดอลล่าร์ไปเช่าดาวเทียมต่างประเทศ ทั้งที่เป็นเงินสำหรับยิงดาวเทียมดวงใหม่ ถือเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และยังพบว่ารัฐมนตรีไอซีที และกระทรวงคมนาคมอนุมัติให้บริษัทชินแซทฯ ลงทุน 1 หมื่นล้านบาทในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ โดยการเพิ่มทุน โดยมีการแก้ไขสัญญาให้บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จากเดิมต้องถือหุ้นในบริษัทชินแซท 51% เหลือ 40% โดยที่เหลือนำไปกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน ถือว่าผิดข้อตกลงในการแก้ไขสัญญาในการยิงดาวเทียมตั้งแต่ต้น ทั้งนี้หากมีการดำเนินคดีกับอดีตรัฐมนตรีไอซีที ซึ่งปัจจุบันเป็น ส.ส. ก็ไม่มีผลต่อการทำงานของ คตส. เพราะ คตส.ไม่มีอำนาจในการจับกุมคุมขัง
รายงานข่าวแจ้งว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประสานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อขอเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อสู้คดีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก จากกองทุนฟื้นฟู และพัฒนาระบอบสถาบันการเงิน ซึ่งศาลออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ โดยจะเดินทางจากประเทศฮ่องกงโดยสายการบินไทย เที่ยวบินทีจี 603 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 09.40น. วันนี้(8 ม.ค.) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วัชรพล ประสานราชกิจ ผู้ช่วยผบ.ตร.(กศ) เป็นผู้รับตัวเพื่อนำตัวส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงทางตำแหน่งทางการเมือง โดยตำรวจได้จัดชุดอารักขาความปลอดภัย ดูแลตั้งแต่สนามบินจนถึงศาลอย่างเข้มงวด
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว ได้ไปติดต่อศาล พร้อมนำเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อประสานขอประกันตัวไว้ล่วงหน้า เบื้องต้นคาดว่าศาลจะอนุมัติให้ประกันตัว