สำหรับคนทั่วไปแล้วอายุเป็นเรื่องใหญ่ เมื่ออายุมากถึงจุดๆ หนึ่งก็อยากจะพักผ่อน แต่สำหรับคนอย่างเติ้ง เสี่ยวผิง ชีวิตนั้นอุทิศให้กับสังคมและประเทศชาติ ในขณะที่อายุ 69 ปีนั้นก็ยังพูดว่าจะทำงานอีก 20 ปีเพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ดังที่ปรากฏไว้ในหน้า 215
...วันที่ 10 ป๋าและคณะไปเยี่ยมเยือนตามโรงงานต่างๆ เมื่อไปเยือนโรงงานผลิตน้ำตาลเจ้าหน้าที่บอกว่ามีทางไป 2 ทาง เส้นทางที่ใกล้กว่าแต่เดินไม่ค่อยสะดวก ป๋ารีบบอกว่าไม่เป็นไร ทำไมมีทางลัดไม่ไปต้องไปทางที่ไกลกว่า เส้นทางปฏิวัติของจีนนั้นก็คดเคี้ยวไม่ได้เป็นเส้นตรง พอมีคนจะมาพยุงท่าน ป๋าบอกว่า “ไม่ต้องหรอกเพราะยังแข็งแรงพอที่จะทำงานได้อีกตั้ง 20 ปี” แม่หัวเราะบอกว่า “20 ปีจะไหวหรือ” ป๋าบอกว่า “ฉันเพิ่ง 69 ปีเท่านั้น ยังทำได้ 20 ปีแน่ๆ แค่ 20 ปีไม่เห็นมีอะไรลำบาก”....
ในตอนหนึ่งได้มีการกล่าวถึงคำเตือนของเหมา เจ๋อตุง ที่ให้ต่อนางเจียง ชิง ที่พยายามจะขอเข้าพบ ซึ่งเหมาไม่ยอมให้พบและกล่าวเตือนว่าควรจะทำเรื่องใหญ่ๆ อย่าทำเรื่องหยุมหยิมวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ซึ่งในแง่หนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมจะมีคนที่ยุ่งกับเรื่องหยุมหยิมอย่างมากมายจนนำไปสู่การเสียเวลา เสียทรัพยากร และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ปรากฏอยู่ในหน้า 254
...ไม่ต้องเข้าพบดีกว่า เคยเตือนเธอมานานหลายปีแล้ว ไม่เห็นเธอทำตาม พบกันมากๆ แล้วมีประโยชน์อะไร เธอมีทั้งหนังสือมาร์กซ์เลนินและหนังสือของฉัน แต่ไม่สนใจศึกษา ฉันกำลังเจ็บป่วย อายุ 81 ปีแล้ว ช่างไม่รู้จักคิดบ้างเลย เธอมีอภิสิทธิ์เพราะอะไร หากฉันตายไปแล้ว เธอจะเป็นอย่างไร เธอเป็นคนแบบที่ไม่คิดถึงเรื่องใหญ่ๆ คอยวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ขอให้ใคร่ครวญดูด้วย...
ในแง่ของการปกครองบริหารนั้น ถ้าหากอำนาจอยู่ในมือของคนคนเดียวย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างฉกาจฉกรรจ์ได้ และการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นก็ไม่ใช่จะแก้ได้ง่ายนัก ดังปรากฏในหน้า 281
...ในสถานการณ์ที่ผิดปกติเช่นนี้ อนาคตของพรรคและประเทศชาติ ล้วนอยู่ในกำมือของประธานเหมาเพียงคนเดียว ด้วยความคิดของท่านเพียงวูบเดียว โดยประสบการณ์อันยาวนานของป๋า รู้สึกว่าการผูกอนาคตของประเทศชาติไว้กับบุคคลเพียงคนเดียวอย่างนี้ นับว่าอันตรายมาก แต่ท่านก็ทราบดีว่า เหตุที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะเพียงแค่ข้ามวันข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมที่ซับซ้อน ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาติจีนกว่า 2,000 ปีในระบบเจ้าขุนมูลนาย จะให้ก้าวพรวดเดียวก็หลุดพ้นเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมนั้นอย่าพึงหวัง ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานนักที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย ความเคยชิน ความคิด ทัศนคติ ต้องค่อยๆ เปลี่ยนไปตามลำดับ ต้องใช้วันเวลาหรือต้องเสียสละอย่างเจ็บปวดสาหัสจึงจะได้...
เติ้ง เสี่ยวผิง ยังชี้ให้เห็นถึงการฉกฉวยโอกาสของบางคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างโอกาสจากการเกิดวิกฤตซึ่งตนเป็นผู้ก่อขึ้น การก่อความวุ่นวายจนบ้าคลั่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และก็ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายนั้นสร้างความก้าวหน้าในตำแหน่งและสร้างความมั่งคั่งอย่างสกปรก ดังปรากฏในหน้า 292 เกี่ยวกับการปรับปรุงกิจการรถไฟ
...ปีที่แล้วมีเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับรถไฟน่าตกใจมากถึง 755 เรื่อง จะต้องรีบปรับปรุงแก้ไข หาทางกำจัดพวกก่อกวนให้ได้ พวกนี้ก่อความวุ่นวายจนบ้าคลั่ง หลงลืมหมดแล้วทั้งเรื่องลัทธิมาร์กซ์เลนิน, ความคิดเหมาเจ๋อตง, ลืม พคจ. ต้องเรียกตัวมาศึกษาอบรมกันใหม่ หากแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ต้องมีการลงโทษให้เข็ดหลาบ ยังมีพวกนักฉวยโอกาสหาประโยชน์จากการก่อความวุ่นวายซึ่งมีแฝงอยู่ทุกแห่งทุกอาชีพ ทำลายกฎหมายระเบียบบ้านเมือง ทำลายการพัฒนาประเทศ ฉกฉวยความวุ่นวายให้เป็นประโยชน์ของตนในการก้าวหน้าทางตำแหน่งและสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างสกปรก คนแบบนี้ย่อมปล่อยไว้ไม่ได้...
เติ้ง เสี่ยวผิง ยอมรับว่าการศึกษาของจีนมีปัญหาเนื่องจากคนไม่ชอบเรียนหนังสือ ครูบาอาจารย์อยู่ในฐานะต่ำต้อย มีปัญหาทางวิชาการและการบริหารบุคลากรในสถาบันการศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขอย่างรีบด่วนโดยได้มีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนในหน้า 321
...การวางแผนศึกษาล่วงหน้า 25 ปี ที่สำคัญต้องฟูมฟักบุคลากรในแวดวงการศึกษา..ปัญหาวิกฤตของเราในตอนนี้คือผู้คนไม่ชอบเรียนหนังสือ..ครูบาอาจารย์มีฐานะต่ำในสังคม..กระทรวงศึกษาฯก็มีปัญหาทางบทเรียนวิชาการและการบริหารบุคคล...
ในกรณีของโจว เอินไหล ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและนักการทูตที่สำคัญของจีนนั้น ขณะที่ป่วยหนักได้รับการผ่าตัดใหญ่ 6 ครั้ง ผ่าตัดเล็ก 8 ครั้ง เนื่องจากเป็นมะเร็งและทราบว่าคงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่นานยังเสนอให้มีพิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งบ่งชี้ถึงอุดมการณ์และความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของรัฐบุรุษผู้นี้ซึ่งจะเห็นได้จากการกล่าวไว้ในหน้า 330
...คนตายแล้วทำไมต้องเก็บรักษาเถ้ากระดูกไว้อีก เอาไปทิ้งไว้ในดินก็เป็นปุ๋ยได้ ทิ้งไว้ตามลำน้ำก็เป็นอาหารของปลา..ตอนนี้ วงการแพทย์ยังไม่มีวิธีที่ดีในการรักษามะเร็ง เมื่อฉันตายแล้วเอาศพของฉันไปผ่าตัดวิเคราะห์ดู ใช้ศพของฉันให้เป็นประโยชน์ต่อการแพทย์ของประเทศชาติ ฉันจะรู้สึกสุขใจมาก” ท่านยังสั่งการกับคนใกล้ชิดว่า “งานศพต้องทำให้เรียบง่ายที่สุด อย่าให้ใหญ่โตเอิกเกริกกว่าใครในศูนย์การนำ อย่าทำให้เป็นการพิเศษเฉพาะ ตายแล้วให้เอาเถ้ากระดูกที่เผาแล้วไปโปรยไว้ตามภูเขาและลำน้ำ”...
และในแง่บทเรียนที่ได้จากการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นผู้เขียนได้กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นบทเรียนอันขมขื่นที่ต้องจดจำ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จนถึงแก่นของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบความคิด การเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งในหน้า 405 โดยผู้เขียน
...ทศวรรษของ ปวธ. ยุติแล้ว มหาวิปโยคของการเมืองจีนในศตวรรษที่ 20 ยุติแล้วและกลายเป็นความทรงจำที่ไกลออกไปแสนไกล จมลึกลงในห้วงคำนึงของผู้คน
ทว่า ปวธ. กลายเป็นอดีตไปแล้ว 20 ปี แต่ใครก็ตามที่เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาด้วยตนเอง ย่อมต้องจดจารึกมันไว้ในกระดูกและหัวใจ เวลาล่วงเลยไปไม่มีวันหวนกลับมาอีก แต่สิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในกระดูกและหัวใจย่อมไม่มีวันลบเลือนไปได้
ทศวรรษของ ปวธ. เป็นหน้าพิเศษหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เป็นยุคสมัยที่จะต้องหวนกลับมาพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนนับกัปนับกัลป์
มันเป็นเรื่องการระบายความบ้าคลั่งอย่างสุดขีด เป็นเรื่องการขึ้นลงอย่างซับซ้อนวุ่นวาย และเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ สิ่งที่มันคงเหลือไว้ ไม่ใช่เพียงความเจ็บปวดรวดร้าว แต่ยังอาจใช้เป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์
แม้ว่า ปวธ. จะนำมาซึ่งความสูญเสียมากมายต่อประเทศชาติ ต่อประชาชน ต่อพรรค แต่ความผิดพลาดของมันก็กลายเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่สำคัญยิ่ง
กล่าวได้ว่า หากไม่มี ปวธ. ที่ให้บทเรียนแสนเจ็บปวดนี้ ประเทศของเรา ประชาชนของเรา พรรคของเรา อาจจะยังไม่ก้าวออกมาจากม่านหมอกหนาทึบ อาจจะยังไม่ตัดสินใจที่จะปฏิรูปอย่างจริงจัง อาจจะยังต้วมเตี้ยมอยู่บนเส้นทางที่ต้องแสวงหาอีกยาวนาน...
แต่สิ่งซึ่งน่านำไปพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์คือวิธีการแก้ปัญหาของเติ้ง เสี่ยวผิง อันจะเห็นได้จากการไม่ยอมรับอยู่ตำแหน่งใดๆ ยินดีอยู่เบื้องหลังในตำแหน่งที่ปรึกษา โดยวิธีการแก้ปัญหามุ่งเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มุ่งเน้นเพื่อเสรีภาพทางการเมืองโดยไม่คิดที่จะติดตามล้างแค้นผู้ใด ซึ่งได้กล่าวไว้ในหน้า 406 ด้วยข้อความที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเติ้ง เสี่ยวผิง บุรุษผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งของประเทศจีน หรือแม้ของมนุษยชาติ
...สรุปบทเรียน ปวธ. โดยไม่คำนึงถึงความผิดพลาดชั่วดีของตัวบุคคล แต่มองในรูปธรรม แยกแยะให้ออกถึงเรื่องดีและชั่ว โดยมีเป้าหมายต้องก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้งต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องของประธานเหมา มหาบุรุษผู้ทำผิดฉกรรจ์ในช่วงปัจฉิมวัย
ช่วงเวลานั้น มีกระแสขัดแย้งกันอย่างยิ่ง 2 กระแส ฝ่ายแรกต้องการพิทักษ์ปกป้องรักษาเกียรติภูมิของประธานเหมาไว้ในฐานะเทพเจ้าที่ล่วงละเมิดไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งต้องการทำลายพันธนาการทางความคิดแต่ปฏิเสธทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างกระแส 2 แนวทางนี้ เติ้งไม่คิดบัญชีย้อนหลังต่อใคร ไม่คำนึงถึงบุญคุณความแค้นส่วนตน แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่เสถียรภาพทางการเมือง คำนึงถึงประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศชาติ ไม่ใช่ใครจะแก้ไขได้โดยพลการ หรือตัดห้วงให้ขาดหายโดยพลการ การวิจารณ์บุคคลทางประวัติศาสตร์ ต้องทำเพื่อปัจจุบันและยิ่งต้องทำเพื่ออนาคต...
ผู้อ่านหลายท่านคงเห็นพ้องต้องกันว่า ความเป็นมหาบุรุษมิได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่จิตใจ ปัญญา จริยธรรม ความมุ่งมั่น ความเสียสละ มหาบุรุษหาได้ไม่ง่ายนักแต่ก็จะปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เติ้ง เสี่ยวผิง คือมหาบุรุษผู้หนึ่ง เพราะเป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์และแผ่นดินจีนให้ก้าวไปสู่ความทันสมัย ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมและประวัติส่วนตัวของเติ้ง เสี่ยวผิง จะได้บทเรียนทางการเมืองและบทเรียนแห่งชีวิตอะไรบ้าง
...วันที่ 10 ป๋าและคณะไปเยี่ยมเยือนตามโรงงานต่างๆ เมื่อไปเยือนโรงงานผลิตน้ำตาลเจ้าหน้าที่บอกว่ามีทางไป 2 ทาง เส้นทางที่ใกล้กว่าแต่เดินไม่ค่อยสะดวก ป๋ารีบบอกว่าไม่เป็นไร ทำไมมีทางลัดไม่ไปต้องไปทางที่ไกลกว่า เส้นทางปฏิวัติของจีนนั้นก็คดเคี้ยวไม่ได้เป็นเส้นตรง พอมีคนจะมาพยุงท่าน ป๋าบอกว่า “ไม่ต้องหรอกเพราะยังแข็งแรงพอที่จะทำงานได้อีกตั้ง 20 ปี” แม่หัวเราะบอกว่า “20 ปีจะไหวหรือ” ป๋าบอกว่า “ฉันเพิ่ง 69 ปีเท่านั้น ยังทำได้ 20 ปีแน่ๆ แค่ 20 ปีไม่เห็นมีอะไรลำบาก”....
ในตอนหนึ่งได้มีการกล่าวถึงคำเตือนของเหมา เจ๋อตุง ที่ให้ต่อนางเจียง ชิง ที่พยายามจะขอเข้าพบ ซึ่งเหมาไม่ยอมให้พบและกล่าวเตือนว่าควรจะทำเรื่องใหญ่ๆ อย่าทำเรื่องหยุมหยิมวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ซึ่งในแง่หนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสังคมจะมีคนที่ยุ่งกับเรื่องหยุมหยิมอย่างมากมายจนนำไปสู่การเสียเวลา เสียทรัพยากร และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ปรากฏอยู่ในหน้า 254
...ไม่ต้องเข้าพบดีกว่า เคยเตือนเธอมานานหลายปีแล้ว ไม่เห็นเธอทำตาม พบกันมากๆ แล้วมีประโยชน์อะไร เธอมีทั้งหนังสือมาร์กซ์เลนินและหนังสือของฉัน แต่ไม่สนใจศึกษา ฉันกำลังเจ็บป่วย อายุ 81 ปีแล้ว ช่างไม่รู้จักคิดบ้างเลย เธอมีอภิสิทธิ์เพราะอะไร หากฉันตายไปแล้ว เธอจะเป็นอย่างไร เธอเป็นคนแบบที่ไม่คิดถึงเรื่องใหญ่ๆ คอยวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ ขอให้ใคร่ครวญดูด้วย...
ในแง่ของการปกครองบริหารนั้น ถ้าหากอำนาจอยู่ในมือของคนคนเดียวย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างฉกาจฉกรรจ์ได้ และการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นก็ไม่ใช่จะแก้ได้ง่ายนัก ดังปรากฏในหน้า 281
...ในสถานการณ์ที่ผิดปกติเช่นนี้ อนาคตของพรรคและประเทศชาติ ล้วนอยู่ในกำมือของประธานเหมาเพียงคนเดียว ด้วยความคิดของท่านเพียงวูบเดียว โดยประสบการณ์อันยาวนานของป๋า รู้สึกว่าการผูกอนาคตของประเทศชาติไว้กับบุคคลเพียงคนเดียวอย่างนี้ นับว่าอันตรายมาก แต่ท่านก็ทราบดีว่า เหตุที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะเพียงแค่ข้ามวันข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมที่ซับซ้อน ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาติจีนกว่า 2,000 ปีในระบบเจ้าขุนมูลนาย จะให้ก้าวพรวดเดียวก็หลุดพ้นเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมนั้นอย่าพึงหวัง ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานนักที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย ความเคยชิน ความคิด ทัศนคติ ต้องค่อยๆ เปลี่ยนไปตามลำดับ ต้องใช้วันเวลาหรือต้องเสียสละอย่างเจ็บปวดสาหัสจึงจะได้...
เติ้ง เสี่ยวผิง ยังชี้ให้เห็นถึงการฉกฉวยโอกาสของบางคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างโอกาสจากการเกิดวิกฤตซึ่งตนเป็นผู้ก่อขึ้น การก่อความวุ่นวายจนบ้าคลั่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และก็ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายนั้นสร้างความก้าวหน้าในตำแหน่งและสร้างความมั่งคั่งอย่างสกปรก ดังปรากฏในหน้า 292 เกี่ยวกับการปรับปรุงกิจการรถไฟ
...ปีที่แล้วมีเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับรถไฟน่าตกใจมากถึง 755 เรื่อง จะต้องรีบปรับปรุงแก้ไข หาทางกำจัดพวกก่อกวนให้ได้ พวกนี้ก่อความวุ่นวายจนบ้าคลั่ง หลงลืมหมดแล้วทั้งเรื่องลัทธิมาร์กซ์เลนิน, ความคิดเหมาเจ๋อตง, ลืม พคจ. ต้องเรียกตัวมาศึกษาอบรมกันใหม่ หากแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ต้องมีการลงโทษให้เข็ดหลาบ ยังมีพวกนักฉวยโอกาสหาประโยชน์จากการก่อความวุ่นวายซึ่งมีแฝงอยู่ทุกแห่งทุกอาชีพ ทำลายกฎหมายระเบียบบ้านเมือง ทำลายการพัฒนาประเทศ ฉกฉวยความวุ่นวายให้เป็นประโยชน์ของตนในการก้าวหน้าทางตำแหน่งและสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างสกปรก คนแบบนี้ย่อมปล่อยไว้ไม่ได้...
เติ้ง เสี่ยวผิง ยอมรับว่าการศึกษาของจีนมีปัญหาเนื่องจากคนไม่ชอบเรียนหนังสือ ครูบาอาจารย์อยู่ในฐานะต่ำต้อย มีปัญหาทางวิชาการและการบริหารบุคลากรในสถาบันการศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขอย่างรีบด่วนโดยได้มีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนในหน้า 321
...การวางแผนศึกษาล่วงหน้า 25 ปี ที่สำคัญต้องฟูมฟักบุคลากรในแวดวงการศึกษา..ปัญหาวิกฤตของเราในตอนนี้คือผู้คนไม่ชอบเรียนหนังสือ..ครูบาอาจารย์มีฐานะต่ำในสังคม..กระทรวงศึกษาฯก็มีปัญหาทางบทเรียนวิชาการและการบริหารบุคคล...
ในกรณีของโจว เอินไหล ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและนักการทูตที่สำคัญของจีนนั้น ขณะที่ป่วยหนักได้รับการผ่าตัดใหญ่ 6 ครั้ง ผ่าตัดเล็ก 8 ครั้ง เนื่องจากเป็นมะเร็งและทราบว่าคงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่นานยังเสนอให้มีพิธีศพเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งบ่งชี้ถึงอุดมการณ์และความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของรัฐบุรุษผู้นี้ซึ่งจะเห็นได้จากการกล่าวไว้ในหน้า 330
...คนตายแล้วทำไมต้องเก็บรักษาเถ้ากระดูกไว้อีก เอาไปทิ้งไว้ในดินก็เป็นปุ๋ยได้ ทิ้งไว้ตามลำน้ำก็เป็นอาหารของปลา..ตอนนี้ วงการแพทย์ยังไม่มีวิธีที่ดีในการรักษามะเร็ง เมื่อฉันตายแล้วเอาศพของฉันไปผ่าตัดวิเคราะห์ดู ใช้ศพของฉันให้เป็นประโยชน์ต่อการแพทย์ของประเทศชาติ ฉันจะรู้สึกสุขใจมาก” ท่านยังสั่งการกับคนใกล้ชิดว่า “งานศพต้องทำให้เรียบง่ายที่สุด อย่าให้ใหญ่โตเอิกเกริกกว่าใครในศูนย์การนำ อย่าทำให้เป็นการพิเศษเฉพาะ ตายแล้วให้เอาเถ้ากระดูกที่เผาแล้วไปโปรยไว้ตามภูเขาและลำน้ำ”...
และในแง่บทเรียนที่ได้จากการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นผู้เขียนได้กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า การปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นบทเรียนอันขมขื่นที่ต้องจดจำ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จนถึงแก่นของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบความคิด การเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งในหน้า 405 โดยผู้เขียน
...ทศวรรษของ ปวธ. ยุติแล้ว มหาวิปโยคของการเมืองจีนในศตวรรษที่ 20 ยุติแล้วและกลายเป็นความทรงจำที่ไกลออกไปแสนไกล จมลึกลงในห้วงคำนึงของผู้คน
ทว่า ปวธ. กลายเป็นอดีตไปแล้ว 20 ปี แต่ใครก็ตามที่เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาด้วยตนเอง ย่อมต้องจดจารึกมันไว้ในกระดูกและหัวใจ เวลาล่วงเลยไปไม่มีวันหวนกลับมาอีก แต่สิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในกระดูกและหัวใจย่อมไม่มีวันลบเลือนไปได้
ทศวรรษของ ปวธ. เป็นหน้าพิเศษหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เป็นยุคสมัยที่จะต้องหวนกลับมาพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนนับกัปนับกัลป์
มันเป็นเรื่องการระบายความบ้าคลั่งอย่างสุดขีด เป็นเรื่องการขึ้นลงอย่างซับซ้อนวุ่นวาย และเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ สิ่งที่มันคงเหลือไว้ ไม่ใช่เพียงความเจ็บปวดรวดร้าว แต่ยังอาจใช้เป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์
แม้ว่า ปวธ. จะนำมาซึ่งความสูญเสียมากมายต่อประเทศชาติ ต่อประชาชน ต่อพรรค แต่ความผิดพลาดของมันก็กลายเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่สำคัญยิ่ง
กล่าวได้ว่า หากไม่มี ปวธ. ที่ให้บทเรียนแสนเจ็บปวดนี้ ประเทศของเรา ประชาชนของเรา พรรคของเรา อาจจะยังไม่ก้าวออกมาจากม่านหมอกหนาทึบ อาจจะยังไม่ตัดสินใจที่จะปฏิรูปอย่างจริงจัง อาจจะยังต้วมเตี้ยมอยู่บนเส้นทางที่ต้องแสวงหาอีกยาวนาน...
แต่สิ่งซึ่งน่านำไปพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์คือวิธีการแก้ปัญหาของเติ้ง เสี่ยวผิง อันจะเห็นได้จากการไม่ยอมรับอยู่ตำแหน่งใดๆ ยินดีอยู่เบื้องหลังในตำแหน่งที่ปรึกษา โดยวิธีการแก้ปัญหามุ่งเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มุ่งเน้นเพื่อเสรีภาพทางการเมืองโดยไม่คิดที่จะติดตามล้างแค้นผู้ใด ซึ่งได้กล่าวไว้ในหน้า 406 ด้วยข้อความที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเติ้ง เสี่ยวผิง บุรุษผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งของประเทศจีน หรือแม้ของมนุษยชาติ
...สรุปบทเรียน ปวธ. โดยไม่คำนึงถึงความผิดพลาดชั่วดีของตัวบุคคล แต่มองในรูปธรรม แยกแยะให้ออกถึงเรื่องดีและชั่ว โดยมีเป้าหมายต้องก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้งต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องของประธานเหมา มหาบุรุษผู้ทำผิดฉกรรจ์ในช่วงปัจฉิมวัย
ช่วงเวลานั้น มีกระแสขัดแย้งกันอย่างยิ่ง 2 กระแส ฝ่ายแรกต้องการพิทักษ์ปกป้องรักษาเกียรติภูมิของประธานเหมาไว้ในฐานะเทพเจ้าที่ล่วงละเมิดไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งต้องการทำลายพันธนาการทางความคิดแต่ปฏิเสธทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างกระแส 2 แนวทางนี้ เติ้งไม่คิดบัญชีย้อนหลังต่อใคร ไม่คำนึงถึงบุญคุณความแค้นส่วนตน แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่เสถียรภาพทางการเมือง คำนึงถึงประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศชาติ ไม่ใช่ใครจะแก้ไขได้โดยพลการ หรือตัดห้วงให้ขาดหายโดยพลการ การวิจารณ์บุคคลทางประวัติศาสตร์ ต้องทำเพื่อปัจจุบันและยิ่งต้องทำเพื่ออนาคต...
ผู้อ่านหลายท่านคงเห็นพ้องต้องกันว่า ความเป็นมหาบุรุษมิได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่จิตใจ ปัญญา จริยธรรม ความมุ่งมั่น ความเสียสละ มหาบุรุษหาได้ไม่ง่ายนักแต่ก็จะปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เติ้ง เสี่ยวผิง คือมหาบุรุษผู้หนึ่ง เพราะเป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์และแผ่นดินจีนให้ก้าวไปสู่ความทันสมัย ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมและประวัติส่วนตัวของเติ้ง เสี่ยวผิง จะได้บทเรียนทางการเมืองและบทเรียนแห่งชีวิตอะไรบ้าง