วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 63 คือวันที่แอปเปิล (Apple) พร้อมจัดงานเปิดตัวสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน “ไอโฟน” (iPhone) ประจำปีนี้ ความสำคัญของการเปิดตัว iPhone รอบนี้คือความคาดหวังว่าอาจมีการออกแบบเคสใหม่ครั้งสำคัญนับตั้งแต่ปี 2018 รวมถึงการรองรับเครือข่าย 5G ที่ทำให้มีโอกาสที่สาวกจะอัปเกรดครั้งใหญ่ ทั้งหมดนี้น่าจับตาแม้นักวิเคราะห์จะเชื่อกันว่าสินค้ารุ่นใหม่จะวางจำหน่ายได้ล่าช้ากว่าที่เคย
Apple เปิดตัว iPhone 12 รองรับ 5G แยกย่อย 4 รุ่น พร้อมสีใหม่ให้เลือก
เคที ฮูเบอร์ตี้ (Katy Huberty) นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley เป็นหนึ่งในผู้ที่มองว่าการเปิดตัวของแอปเปิลจะเป็นงาน iPhone ที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี ที่ผ่านมาแอปเปิลจะเปิดตัว iPhone ในเดือนกันยายนและวางจำหน่ายไม่นานหลังจากนั้น แต่ปีนี้ทุกอย่างแตกต่างเพราะ แอปเปิลเลือกเปิดตัวนาฬิกา Apple Watch รุ่นใหม่เมื่อเดือนกันยายนแทน แล้วเลื่อนการเปิดตัว iPhone ออกไปจนถึงเดือนตุลาคม ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้สายการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกหยุดชะงัก รวมถึงพนักงานแอปเปิลที่ส่วนใหญ่ต้องทำงานจากบ้าน
สำหรับปีนี้ เชื่อกันว่า iPhone จะออกแบบใหม่ครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปี 2017 ที่แอปเปิลเปิดตัว iPhone X ที่มีระบบจดจำใบหน้า คาดว่ารุ่นปีนี้จะมีขอบคล้าย iPad และต่างจาก iPhone ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังคาดกันว่า แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone ในซีรีส์รวม 4 รุ่นที่มีขนาดหน้าจอและราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายกว่าในอดีต
การเพิ่มทางเลือกนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะครั้งสุดท้ายที่แอปเปิลลงมือเปลี่ยนแปลง iPhone ครั้งใหญ่ในปี 2014 เวลานั้น iPhone 6 แจ้งเกิดพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและมีให้เลือก 2 ขนาดที่แตกต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ วงจรการอัปเกรดครั้งใหญ่ซึ่งสื่ออเมริกันเรียกว่า “super-cycle” นำไปสู่ยอดขายกว่า 231 ล้านเครื่องใน 4 ไตรมาสถัดมา ทำสถิติยอดขายทะยานขึ้นทุกปีจนกระทั่งแอปเปิลหยุดรายงานยอดขาย iPhone เป็นหน่วยเครื่องในปี 2018
เบื้องต้นนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า แอปเปิลจะจัดส่ง iPhone ได้ประมาณ 220 ล้านเครื่องในปีงบประมาณ 2021 ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบเป็นรายปี แปลว่าวงจรการอัปเกรดครั้งใหญ่จะทำให้แอปเปิลเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากขึ้น
เช่นเดียวกับข่าวหลุด iPhone เรื่อง iPhone Mini ใหม่ที่มีมาก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley คาดว่าจะมี อุปกรณ์ใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 12 Mini ขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว ที่จะเป็น iPhone ที่เล็กที่สุดนับตั้งแต่มีการเปิดตัวเวอร์ชันเต็มหน้าจอ (ไม่มีพื้นที่ว่างที่ขอบ) ยังมีรุ่น iPhone 12 รุ่นมาตรฐานที่มีหน้าจอ 6.1 นิ้วขนาดเดียวกับปัจจุบัน รวมถึง iPhone 12 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว ที่มีสเปกสูงกว่า และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งจะมีหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่ 6.7 นิ้ว (iPhone 11 Pro Max ในปัจจุบันมีขนาด 6.5 นิ้ว)
นอกจากนี้ iPhone ใหม่รองรับเครือข่าย 5G ก็จะถือเป็นการรับประกันว่า iPhone ใหม่จะใช้เวลาในการดาวน์โหลดที่เร็วขึ้น แต่ปัญหาคือเครือข่าย 5G ยังไม่มีการให้บริการอย่างสมบูรณ์ในสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศ แถม 5G ของแต่ละประเทศยังมีประเภทที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่มีความแน่นอนว่า iPhone ใหม่จะรองรับทั้ง 3 เวอร์ชันของ 5G ในโทรศัพท์ทุกรุ่นหรือไม่ หรืออาจจะจำหน่ายเฉพาะรุ่นตามภูมิภาคและตามประเทศที่โฟกัส 5G ที่ต่างกัน
สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ การขาย iPhone ที่จะเริ่มขึ้นช้ากว่าปกติ แม้ว่า Luca Maestri ประธานฝ่ายการเงิน หรือ CFO ของแอปเปิลจะเคยย้ำว่า iPhone จะวางจำหน่ายเร็วกว่ากำหนดการเปิดตัวที่เคยเกิดขึ้นในเดือนกันยายน แต่ก็เป็นไปได้ว่าสถานการณ์ในวงการผลิตจะเปลี่ยนไปในยุคหลังโควิด-19 ทั้งหมดต้องลุ้นกันในงานนี้เนื่องจากแอปเปิลมักจะประกาศวันเริ่มจำหน่ายบนเวที
ว่าแล้วก็กำเงินรอซื้อกันเลย
