xs
xsm
sm
md
lg

Apple เปิดตัว iPhone 12 รองรับ 5G แยกย่อย 4 รุ่น พร้อมสีใหม่ให้เลือก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แอปเปิล (Apple) เปิดตัว iPhone 12 เพิ่มไลน์ Mini จับกลุ่มผู้ที่ต้องการเครื่องขนาดเล็กพกพาง่าย พร้อมสีใหม่ให้เลือกรวมเป็น 4 รุ่น ประกอบด้วย iPhone 12 Mini iPhone 12 iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ทุกรุ่นรองรับการใช้งาน 5G

แม้ว่าในปีนี้ Apple จะเลื่อนงานเปิดตัวไอโฟน (iPhone) รุ่นใหม่ออกมาเป็นช่วงเดือนตุลาคม จากที่ช่วงเวลาปกติเปิดตัวในเดือนกันยายน โดยเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต แต่กลายเป็นว่าผู้บริโภคก็ยังให้ความสนใจ iPhone 12 นี้ และเชื่อว่าจะเป็นรุ่นที่มาทำให้การใช้งาน 5G แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล เริ่มต้นด้วยการย้ำให้เห็นว่าปัจจุบัน iPhone กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ผู้บริโภคพึงพอใจมากที่สุดในโลกและเมื่อใช้งานร่วมกับ App Store จะเปิดโลกในการใช้งานที่หลากหลายและที่สำคัญคือเรื่องของความปลอดภัยที่ข้อมูลทุกอย่างจะถูกประมวลผลบนตัวเครื่องเท่าั้น

ตามด้วยการพูดถึงความสำคัญของ 5G ที่มาพร้อมกับ iPhone 12 ที่จะช่วยปลดล็อกการใช้งานที่น่าสนใจจากความเร็วในการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น ความหน่วงต่ำ ทำให้การเชื่อมต่อใช้งานบน iPhone รวดเร็วขึ้นแม้อยู่ในสถานที่ที่มีการใช้งานหนาแน่น


ตัวเครื่อง iPhone 12 จะกลับมาใช้รูปทรงใกล้เคียงกับ iPhone 5 ที่เป็นเหลี่ยมมุมมากขึ้นโดยมีการปรับมาใช้วัสดุเป็น Ceramic Shield ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ตัวเครื่องรองรับแรงกระแทกได้สูงขึ้น 4 เท่า ตัวเครื่องบางลง 11% เล็กลง 15% และเบาขึ้น 15%

พร้อมรองรับการใช้งาน 5G บนคลื่นความถี่ sub-6 GHz เพื่อให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยในประเทศไทยเริ่มมีการให้บริการ 5G บนคลื่นความถี่ 2600 MHz เรียบร้อยแล้ว ส่วนคลื่น 700 MHz และ 26 GHz กำลังอยู่ในช่วงเตรียมให้บริการในอนาคต


สำหรับ iPhone 12 จะแบ่งออกเป็น 4 รุ่นย่อยโดยมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Apple A14 Bionic ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ช่วยให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น 40% และประหยัดพลังงานมากขึ้น

ทำให้ iPhone 12 เร็วกว่าสมาร์ทโฟนในท้องตลาดถึง 50% ทั้งการประมวลผลปกติ และการประมวลผลภาพ มีชิปเซ็ตแยกสำหรับแมชชีนเลิร์นนิ่ง ทำให้สามารถวิเคราะห์และเรียนรู้ได้เร็วกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 70%


iPhone 12 มากับกล้อง 2 เลนส์ โดยแบ่งเป็นกล้อง Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เลนส์ระยะ 13 มม. 120 องศา และ Wide f/1.6 เลนส์ ระยะ 26 มม.ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยและการถ่ายภาพวิดีโอที่เก็บรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้น


พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีการชาร์จไร้สายรูปแบบใหม่ในชื่อ MagSafe ที่นำแม่เหล็กมาช่วยในการชาร์จเครื่องที่ให้กำลังไฟสูงถึง 15W ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Watch ด้วย

สิ่งที่แตกต่างคือ ขนาดของหน้าจอที่ iPhone 12 Mini จะมากับหน้าจอ 5.4 นิ้ว ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะอยู่ที่ 6.1 นิ้ว ส่วน iPhone 12 Pro Max จะอยู่ที่ 6.7 นิ้ว จะเห็นได้ว่าในรุ่นของ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะมากับขนาดหน้าจอที่เท่ากัน


โดยในรุ่น Pro ของปีนี้จะเพิ่มความแตกต่างในส่วนของวัสดุที่ใช้จากอะลูมิเนียม เป็นสเตนเลส และในส่วนของกล้องหลังด้วยการเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR ที่มาช่วยวัดระยะวัตถุเพิ่มเติมซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่ Apple เริ่มนำมาใช้งานร่วมกับ iPad Pro รุ่นล่าสุดเพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งาน ARให้ดียิ่งขึ้น

iPhone 12 Pro มากับกล้องหลัก Wide 12 ล้านพิกเซล f/1.6 ระยะเลนส์ 26 มม. ส่วนกล้อง Telephoto มากับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.0 ระยะเลนส์ 52 มม. สามารถซูมแบบออปติคัลได้ 5 เท่า ส่วนเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เช่นเดียวกับใน iPhone 12

ขณะที่ iPhone 12 Pro Max เลือกใช้กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล f/1.6 ที่ให้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น 47% เพิ่มความสามารถในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยขึ้นถึง 87% ทำให้สามารถถือเครื่องถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้นิ่งถึง 2 วินาที พร้อมกับเลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ระยะเลนส์ 65 มม. ซูมได้ 5 เท่า

ยังมีรูปแบบไฟล์ภาพ Apple ProRAW ที่เปิดให้ผู้ใช้ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max สามารถปรับแต่งรูปภาพได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการถ่ายภาพวิดีโอ ที่สามารถบันทึกภาพวิดีโอแบบ HDR 10-bit ได้แล้ว และเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่สามารถบันทึกภาพแบบ Dolby Vision HDR

ทั้งนี้ การเปิดตัว iPhone 12 ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการแยกรุ่นออกมาถึง 4 รุ่นย่อยด้วยกัน จากในปีที่ผ่านมามีเพียง 3 รุ่นย่อย คือ iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่นับแต่ละความจุที่แยกย่อยไปอีกรุ่นละ 3 ความจุ คือ iPhone 12 และ iPhone 12 Mini มีให้เลือก 64 GB 128 GB และ 256 GB ส่วน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มีให้เลือก 128 GB 256 GB และ 512 GB


iPhone 12 Mini และ iPhone 12 จะมีให้เลือกด้วยกัน 5 สี คือ ดำ ขาว แดง เขียว และ น้ำเงินส่วน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีให้เลือก 4 สี คือ น้ำเงิน Pacific Blue (มาแทนสีเขียว) ทอง ดำ และขาว

นอกจากนี้ ใน iPhone 12 ซีรีส์ ยังนำวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% มาเป็นส่วนประกอบในการผลิตและเพื่อให้ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น iPhone 12 ได้ตัดหูฟัง และอะเดปเตอร์ชาร์จออกจากภายในกล่อง โดยมีให้เฉพาะสาย USB-C to Lighting มาให้เท่านั้น ทำให้บรรจุภัณฑ์มีขนาดเล็กลงและช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยรวมลงด้วย


โดยราคาจำหน่ายของ iPhone Mini เริ่มต้นที่ 699 เหรียญสหรัฐ ส่วน iPhone 12 เริ่มที่ 799 เหรียญ ขณะที่ iPhone 12 Pro เริ่มที่ 999 เหรียญ และ iPhone 12 Pro Max เริ่มที่ 1,099 เหรียญ

ทั้งนี้ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะเริ่มให้สั่งจองล่วงหน้าในสหรัฐฯ 16 ตุลาคมนี้ ก่อนวางจำหน่าย 23 ตุลาคม ส่วน iPhone 12 Pro Max และ iPhone 12 Mini จะเริ่มเปิดให้จองในวันที่ 6 พฤศจิกายน และวางจำหน่ายในวันที่ 13 พฤศจิกายน


กำลังโหลดความคิดเห็น