ไทยติดทำเนียบประเทศกลุ่มแรกที่แอปเปิล (Apple) จะให้บริการฟีเจอร์ใหม่ "แฟมิลี่เซ็ตอัป" (Family Setup) บริการนี้มีจุดเด่นที่เด็กและผู้สูงวัยจะใช้งานนาฬิกาอัจฉริยะ 'แอปเปิลวอทช์' (Apple Watch) ได้แม้ไม่มีไอโฟน โดยทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟสามารถเทียบชั้นพันธมิตรระดับโลกที่พร้อมให้บริการทันทีที่เปิดตัว ส่งให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ตลาดโลกที่จุดพลุได้ก่อนพื้นที่อื่นซึ่งต้องรอถึงปลายปี
หนึ่งในนัยสำคัญของเรื่องนี้คือพลังของโอเปอเรเตอร์ไทย ซึ่งทำให้แอปเปิลมองไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการขยายฐานผู้ใช้ Apple Watch เพราะ Family Setup เป็นบริการที่แอปเปิลปั้นมาเพื่อให้ไอโฟน 1 เครื่องสามารถจัดการ Apple Watch ได้มากกว่า 1 ตัว (แต่ต้องเป็นรุ่น Series 4 หรือใหม่กว่า) เป็นหมากตาสำคัญที่จะทำให้แอปเปิลเพิ่มยอดขายในตลาดนาฬิกาไฮเทค
ความคืบหน้าของ Family Setup ถูกประกาศในงานเปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุดที่แอปเปิลจัดขึ้นเมื่อ 15 กันยายนที่ผ่านมา ไฮไลท์ของงานอยู่ที่การเปิดตัว 2 รุ่นใหม่ให้ Apple Watch ได้แก่รุ่นหลัก Apple Watch 6 และรุ่นราคาเบา Apple Watch SE ยังมีการปรับดีไซน์ใน iPad Air ใหม่และการเพิ่มชิปตัวเก่งให้ iPad 8
รอบนี้แอปเปิลประกาศตัดทิ้งไม่แถมอะแดปเตอร์ยูเอสบีสำหรับชาร์จกับปลั๊กไฟมาให้ในกล่องสินค้า เหตุผลคือเพื่อลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมโลก โดยในไอโฟนรุ่นใหม่ที่มีคิวเปิดตัวตุลาคมนี้ ก็จะไม่มีอะแดปเตอร์ยูเอสบีสำหรับชาร์จมาให้ในกล่องเช่นกัน
***ลดของแต่ไม่ลดราคา
แม้จะลดของในกล่องสินค้าลง แต่ราคาจำหน่ายสินค้าใหม่ที่แอปเปิลเพิ่งเปิดตัวนั้นยังอยู่ในระดับเดิม โดยปีที่แล้วแอปเปิลเปิดตัว "Apple Watch Series 5" วันที่ 10 กันยายน 2019 แล้วจึงเริ่มจำหน่าย Apple Watch Series 5 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 25 ตุลาคม โดยแบ่งเป็น 2 รุ่นคือ GPS ราคาเริ่มต้นที่ 13,400 บาทและ GPS+Cellular เริ่มต้นที่ 16,900 บาท ราคาของ Series 5 นี้เมื่อเทียบราคากับ Series 4 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2018 ถือว่าลดลง 1,000 บาททั้งรุ่น GPS และ GPS+Cellular
มาปีนี้ Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) จะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 13,400 บาท และ Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) ราคาเริ่มต้นที่ 16,900 บาท ไม่ต่างกัน
แต่ความต่างอยู่ที่คุณสมบัติ เพราะแอปเปิลเพิ่มความสามารถให้ Watch Series 6 มีเซ็นเซอร์วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด แถมด้วยชิป S6 สุดแรงซึ่งแอปเปิลระบุว่าเป็นโปรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11
หน้าจอของ Apple Watch Series 6จะสว่างขึ้น 2.5 เท่าเมื่อใช้งานกลางแจ้ง มีมาตรวัดความสูงแบบเปิดตลอดเวลา ตัวเรือนมีสีใหม่หลายสี ทั้งอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน สแตนเลสสีทอง สแตนเลสสีเทาแกรไฟต์ และยังเป็นครั้งแรกที่มีรุ่น Apple Watch Product Red พร้อมด้วยกราฟิกหน้าปัดใหม่ละลานตา
แอปเปิลยังเปิดตัวสายรัดข้อมือแบบใหม่ที่เรียกว่าโซโลลูป (Solo Loop) เป็นวงซิลิโคนแบบยืดได้โดยไม่ต้องใช้ตัวล็อค มีให้เลือกหลายขนาด ยังมี Solo Loop แบบถักที่มีให้เลือก 5-7 สี
ในสหรัฐฯ Apple Watch Series 6 เริ่มต้นที่ 399 เหรียญสำหรับรุ่น GPS สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้แล้วและจะวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 18 กันยายนนี้
สำหรับ Apple Watch SE มีคุณสมบัติหลายอย่างเหมือน Series 6 เช่น ระบบวัดความเร่งในตัว มีไจโรสโคป เซ็นเซอร์วัดความสูง และการตรวจจับการพลัดตก จุดต่างคือการใช้พลังงานจากชิป S5 ที่ใช้ในรุ่น Series 5 ของปีที่แล้ว และสามารถแสดงผลหน้าจอตลอดเวลาเหมือนใน Series 5
ในประเทศไทย Apple Watch SE รุ่นเล็กจะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 9,400 บาท และ 10,900 บาท สำหรับ GPS และ Cellular ตามลำดับ
การวางจำหน่ายรุ่นเล็กราคาประหยัดเป็นเพียง 1 ใน 2 สิ่งที่แอปเปิลเริ่มทำเพื่อขยายตลาดสมาร์ทวอทช์อย่างจริงจังในปีนี้ อีกสิ่งที่แอปเปิลจะลุยคือการเปิดตัวคุณสมบัติ Family Setup เพื่อให้เด็กและผู้สูงอายุในครอบครัวสามารถใช้งาน Apple Watch ได้โดยไม่ต้องมี iPhone แต่ต้องเป็นรุ่น Series 4 หรือใหม่กว่า ซึ่ง iPhone เครื่องเดียวสามารถจัดการรายชื่อติดต่อที่เชื่อมต่อกับ Apple Watch ได้หลายเครื่อง ตลอดจนส่งการแจ้งเตือนตำแหน่งอัตโนมัติได้
คุณสมบัตินี้เรียกเสียงว้าวได้ดังพอสมควร โดยตลาดที่พร้อมให้บริการแล้วได้แก่ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง ญี่ปุ่น โปแลนด์ สเปน สวิสเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เบื้องต้นเชื่อว่าการที่ไทยติดกลุ่มประเทศแรกของการเปิดตัว Family Setup คือความพร้อมของตลาดและตัวโอเปอเรเตอร์ไทยที่ร่วมงานกับแอปเปิลจนแข็งแกร่งแนบแน่น เนื่องจากฟีเจอร์นี้จะทำได้กับรุ่น cellular เท่านั้น
***คนไทยแห่ซื้อสมาร์ทวอทช์
ข้อมูลจากกรมศุลกากรไทยระบุว่า ประเทศไทยมีการนำเข้าสินค้ากลุ่มสมาร์ทวอทช์มากกว่า 3.9 ล้านเครื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของตลาดแม้จะไม่สูงเท่าฮาร์ดแวร์ไอทีกลุ่มอื่น แต่ก็ถือว่าไทยเป็นตลาดที่สำคัญในสายตาของผู้ผลิตสมาร์ทวอทช์อย่างแอปเปิล
ขณะที่ข้อมูลจากบริษัทวิจัยสเตรทิจี อะแนลไลติกส์(Strategy Analytics)ชี้ว่าแอปเปิลจัดส่งสมาร์ทวอทช์มากกว่า 7.6 ล้านเครื่องทั่วโลกในช่วงไตรมาส 1 ปี2020 เพิ่มขึ้น 23% เทียบจาก 6.2 ล้านเครื่องที่เคยทำได้ในไตรมาส 1 ปี 2019
ตัวเลขนี้แปลว่ายอดขายของ Apple Watch เพิ่มขึ้นแม้ว่าผู้คนจำนวนมากทั่วโลกจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นในช่วงโควิด นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ซีอีโอ 'ทิม คุก' เปิดตัว Apple Watch รุ่นใหม่โดยอ้างถึงประโยชน์ของนาฬิกาที่ช่วยเหลือสุขภาพของผู้ใช้ได้จริงในช่วงโควิด-19
ที่ผ่านมา แอปเปิลถูกยกให้เป็นบริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาด 55% ของตลาดสมาร์ทวอทช์ในไตรมาส 1 ปี2020 โดยซัมซุง (Samsung) อยู่ในอันดับที่ 2 อันดับที่ 3 คือการ์มิน (Garmin) ที่มีส่วนแบ่งตลาด 13.9% และ8% ตามลำดับ
สัดส่วนนี้แปลว่ากลุ่มอุปกรณ์สวมใส่ของแอปเปิลกำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัท โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยอดขาย iPhone ชะลอตัวลง
***iPad สวยบวกเก่ง
งานนี้แอปเปิลเปิดตัวแท็บเล็ต iPad Airรุ่นใหม่ซึ่งมีหน้าจอคล้ายรุ่นใหญ่ iPad Pro นั่นคือ Liquid Retina ขนาดใหญ่ 10.9 นิ้วความละเอียด 2,360 x 1,640 โดยย้ายปุ่ม Touch IDจากด้านหน้าเครื่องไปติดไว้ด้านบนในปุ่มพัก ทำให้TouchID ยังเป็นกุญแจเพื่อปลดล็อกเครื่องเช่นเดิม
iPad Airใหม่มีชิปใหม่ที่ออกแบบโดยแอปเปิล นั่นคือ A14 Bionicที่เป็นซีพียูรุ่นแรกที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล 40% เพิ่มความสามารถด้านกราฟิก 30% รองรับการตัดต่อวิดีโอ 4K ได้อย่างลื่นไหล กล้องหน้ามีความละเอียด7 ล้านพิกเซล รองรับการใช้งานFaceTime HDส่วนกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกับในiPad Proและปรับมาใช้งานพอร์ต USB-C เช่นเดียวกัน
iPad Airจะเริ่มวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ ราคาเริ่มต้นที่19,900 บาท และ 24,400 บาท สำหรับรุ่นWiFi และLTE ตามลำดับ ขณะที่ความจุมีให้เลือก64 GBและ256 GB
ส่วน iPad Gen 8มีหน่วยประมวลผล A12 Bionicที่ประมวลผลได้เร็วขึ้น 40% เพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกขึ้น 2 เท่า ทำให้ iPad รุ่นนี้เร็วกว่าโน้ตบุ๊กรุ่นที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด 2 เท่า เร็วกว่าแท็บเล็ตAndroid 3เท่า และเร็วกว่าChromebook 6เท่า ทั้งหมดจะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ ในราคาเริ่มต้น10,900 บาท สำหรับรุ่นWiFi และ15,400 บาท สำหรับรุ่นCellular ในสีเงิน สีเทา และสีทอง รุ่นความจุ 32 GBและ128 GB
พร้อมกันนี้ iPad 8ยังมีราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา รวมถึงผู้ปกครอง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับชั้น ในรุ่นเริ่มต้นที่10,200 บาท ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับ iPad OS14ที่จะเปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานในวันที่ 17 กันยายนนี้
***จัดเต็มบริการ
นอกเหนือจากฮาร์ดแวร์แล้ว แอปเปิลยังเพิ่มบริการเพื่อสุขภาพใหม่อย่าง 'ฟิตเนส พลัส' (Apple Fitness+) บริการที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้งานออกกำลังกายและเข้าคอร์สออกกำลังกายต่างๆที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละราย บริการนี้จะเริ่มให้บริการในออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ก่อนทยอยเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วโลกได้ใช้ในปลายปีนี้ในราคา 9.99 เหรียญต่อเดือนหรือ 79.99 เหรียญต่อปี
ขณะเดียวกัน แอปเปิลลงมือรวบรวมบริการหลากหลายเข้าเป็นแพกเกจเหมาจ่าย 'แอปเปิลวัน' (Apple One)ที่จะรวมบริการบอกรับสมาชิกทั้ง iCloud, Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade, Apple News+และ Apple Fitness+เข้าด้วยกันในราคาเริ่มต้นเดือนละ 225 บาท
ทั้งนี้ ในประเทศไทยจะยังไม่มีApple Oneแบบ Premium ให้บริการในช่วงแรก เนื่องจากApple News+และ Apple Fitness+ยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้มีเฉพาะการรวมบริการอย่าง Apple Music, TV+ , Arcadeและ iCloud เริ่มต้นที่ 50 GBสำหรับบุคคล และ200 GBสำหรับครอบครัว
สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 14, iPadOS 14, watchOS 7และ tvOS 14พร้อมเปิดให้ผู้ใช้อัปเดทแล้ว โดยwatchOS 7จะเปิดให้ใช้งานกับ Apple Watch Series 3และรุ่นใหม่กว่า และต้องใช้iPhone 6sหรือใหม่กว่าที่มี iOS 14แน่นอนคุณสมบัติบางประเภทอาจใช้ไม่ได้ในบางเครื่อง.