ดีแทค ปรับกลยุทธ์ตลาดเติมเงินที่ต้องการเป็นผู้ช่วยของคนไทย บนความเข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ผ่านซิมเติมเงินที่ให้ช่วยเติมชีวิต ผ่าน 3 สิ่งดีๆ “สัญญาณดี ราคาดี และบริการใจดี”
ฮาว ริเร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากข้อมูลการใช้งานของลูกค้าดีแทคเติมเงินตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับในช่วงปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในแต่ละภูมิภาคพุ่งสูงขึ้นกว่าในกรุงเทพฯ ถึง 5 เท่า แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตของกลุ่มลูกค้าเติมเงินที่มีสัดส่วนราว 80% ของตลาด
ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ดีแทคเร่งพัฒนาสินค้า และบริการที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าเติมเงินมากขึ้น ภายใต้ 3 แนวคิดสำคัญคือ 1.สัญญาณดี ด้วยการเพิ่มสถานีฐาน 2300 MHz ในทุกๆ ชั่วโมง มีการนำเทคโนโลยี MassiveMIMO มาให้บริการเพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้น
2.ราคาดี ด้วยการนำซิมเติมเงินที่มีบริการเสริมหลากหลายเข้าไปจับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการสื่อสาร และ 3.บริการใจดี ที่มีตัวหลักอย่างใจดีให้ยืม และล่าสุดคือใจดีจ่ายค่ายาให้ ยามจำเป็น
สุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดระบบเติมเงิน ดีแทค กล่าวว่า ดีแทค เติมเงินไม่ได้วางตำแหน่งเป็นแค่ซิมเติมเงิน แต่อยากเติมเต็มความสุขให้แก่ลูกค้า พยามเข้าใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพื่อมอบบริการให้ตอบโจทย์การใช้งาน รวมถึงต้องการเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด ผ่านสัญญาณดี ราคาที่คุ้มค่า และบริการใจดี
ปัจจุบัน ซิมดีแทคเติมเงิน จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกันคือ ซิมแฮปปี้เน็ต ให้ลูกค้าใช้งานเน็ตสำหรับเฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม แมสเซนเตอร์ และทวิตเตอร์ ความเร็วเต็มสปีดแบบไม่อั้น และอินเทอร์เน็ตสำหรับยูทูป 500 MB เมื่อเติมเงิน 50 บาท จะได้รับ 1 สิทธิต่อ 7 วัน รับสิทธิได้ 4 สิทธิ์ต่อเดือนนาน 12 เดือน
ส่วนซิมแฮปปี้คอล จะเน้นการโทร.ราคาประหยัดนาทีละ 0.69 บาท ที่ให้สิทธิพิเศษ เมื่อเติมเงิน 50 บาท จะได้รับสิทธิใช้งานเน็ตสำหรับแชตและโทรผ่านไลน์ พร้อมอินเทอร์เน็ตพื้นฐานความเร็ว 16 Kbps กันเน็ตรั่ว นาน 12 รอบบิลเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ฐานลูกค้าดีแทคเติมเงินลดลงมาอยู่ที่ 12.7 ล้านราย เมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาส 1 อยู่ที่ 13.47 ล้านราย โดยเป็นผลมาจากการที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาเดินทางได้ ทำให้ปริมาณลูกค้าเติมเงินของดีแทคลดลง