หากไล่ตามดิจิทัลเพย์เมนต์ยุคใหม่ไม่ทัน ธนาคารในอาเซียนอาจจะสูญรายได้มากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทหรือประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2025 แต่ถ้าทำได้ ธนาคารจะสามารถเจาะโอกาสธุรกิจมูลค่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญเพื่อเป็นแหล่งรายได้บริการชำระเงินใหม่ได้ ขอเพียงมีการปรับรูปแบบธุรกิจโดยใช้นวัตกรรม
สถิติระบุว่าในประเทศไทย ธนาคารมีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินประมาณ 17% หรือราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกทดแทนด้วยระบบชำระเงินดิจิทัลและการแข่งขันจากภาคนอกธนาคาร (non-bank)
รายงานฉบับใหม่ของเอคเซนเชอร์ ยังประเมินว่า 14.3% ของรายได้บริการชำระเงินที่ธนาคารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยได้รับ อาจถูกแทนที่ด้วยการชำระเงินดิจิทัลที่กำลังขยายตัวและการแข่งขันจากภาคธุรกิจ non-bank เพราะการชำระเงินกลายเป็นธุรกรรมที่ทำได้โดยทันที ไม่ต้องมีคนช่วยจัดการ และไม่มีค่าใช้จ่าย
รายงานฉบับนี้พบว่า รายได้บริการชำระเงินในภูมิภาคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6.1% ต่อปี จาก 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 เป็นร่วม 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025 ทั้งนี้ หากธนาคารเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจโดยนำเทคโนโลยีล่าสุดเข้ามาใช้และเน้นให้บริการที่ให้มูลค่าเพิ่มแก่ลูกค้า จะสามารถเจาะส่วนแบ่งจากตลาดมูลค่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และดันรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้นได้
นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริการทางการเงิน เอคเซนเชอร์ ประเทศไทยกล่าวว่าโลกแห่งการชำระเงินที่ทำได้โดยทันที ไม่ต้องมีคนช่วยจัดการ และไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร จะทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจน้อยลงจนเกิดแรงกดดัน จากทั้งคู่แข่งใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-wallet) เฟื่องฟูมาก
“เมื่อระบบการชำระเงินที่ทันสมัย มีพัฒนาการที่ดีมากในอาเซียน โดยหลาย ๆ ประเทศได้นำระบบการชำระเงินทันที (instant payment) มาใช้แล้ว รายได้ที่มาจากลูกค้าในปัจจุบันจึงน้อยมาก ๆ หรือเกือบจะเป็นศูนย์ ยกเว้นธุรกิจบัตรต่าง ๆ ประเด็นที่เร่งด่วนสำหรับภูมิภาค จึงเป็นการหาทางเลือกแหล่งรายได้อื่นและประหยัดต้นทุนให้ได้”
รายงานหัวข้อ “Banking Pulse Survey: Two Ways To Win” เป็นรายงานจากการใช้โมเดลวิเคราะห์รายได้และความเสี่ยงที่เอคเซนเชอร์พัฒนาขึ้น เพื่อประเมินแนวโน้มการชำระเงินของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้ค้า เทคโนโลยี และ กฎระเบียบต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยข้อมูลจากการสำรวจผู้บริหารที่ดูแลด้านการชำระเงิน 240 คนใน 22 ประเทศ เพื่อให้ทราบว่าผู้บริหารมีแผนจะลดผลกระทบและใช้ประโยชน์จากการพลิกโฉมของวงการการชำระเงินอย่างไร จึงจะเสริมสร้างความภักดีของลูกค้า รายได้ และอัตราการทำกำไร
“ตลาดการชำระเงินกำลังบูม และมีโอกาสมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสำหรับผู้ที่มีความพร้อมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และใช้โมเดลธุรกิจที่ปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย ธนาคารที่ตามไม่ทันจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งห่างในตลาดบริการชำระเงิน”
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ในอีก 6 ปีข้างหน้า ธนาคารต่าง ๆ จะมีแรงกดดันมากขึ้นในด้านรายได้ธุรกรรมจากบัตรต่าง ๆ และค่าธรรมเนียม เพราะธุรกรรมชำระเงินทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่งผลให้รายได้บริการการชำระเงินสัดส่วน 9.6% ในภูมิภาคนี้ ต้องสั่นคลอน นอกจากนี้ การแข่งขันจากธุรกิจนอกภาคธนาคารในด้าน invisible payment การชำระเงินจึงทำผ่านทางกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ได้ รายได้ของธนาคารราว 3.1% จึงสั่นคลอนด้วยเช่นกัน อีกทั้งระบบการชำระเงินทันทียังเข้ามาทดแทนการใช้บัตร การโอนและชำระรายการต่าง ๆ สามารถทำได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งธนาคารอาจไม่ได้สนใจเท่าใดนัก แต่ก็อาจกระทบต่อรายได้ 1.7% ของบริการการชำระเงินส่วนนี้
สถานการณ์จะเข้มข้นจากรายได้ธุรกรรมจากบัตรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ลดลง โดยทั้งกฎระเบียบและเทคโนโลยีก็จะเป็นปัจจัยทำให้ธนาคารมีบทบาทด้านการชำระเงินน้อยลงด้วย ซึ่งในระหว่างปี 2015-2018 รายได้จากธุรกรรมบัตรเครดิตองค์กรของธนาคารทั่วโลกนั้น ลดลง 33% ขณะที่รายได้ธุรกรรมบัตรเดบิตลดลงเกือบ 15% ส่วนรายได้จากบัตรเครดิตลดลงเกือบ 12%
รายงานฉบับนี้พบว่า อุตสาหกรรมธนาคารมีความตระหนักเกี่ยวกับความท้าทายจากเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อบริการชำระเงิน โดยกว่า 2/3 หรือ 71% ของผู้บริหารที่สำรวจจากทุกตลาด เห็นพ้องว่ามีหลายธุรกรรมการชำระเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย และเกือบ 3/4 หรือ 73% ก็เชื่อว่าการชำระเงินส่วนใหญ่ทำได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางแล้ว หรือจะทำได้ภายในอนาคตอันใกล้คือ 12 เดือนข้างหน้า ผู้บริหาร 78% ยังกล่าวว่าการชำระเงินในปัจจุบัน สามารถทำได้โดยทันที หรือจะทำได้ภายในอนาคตอันใกล้คือ 12 เดือนข้างหน้านี้
“การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลของระบบการชำระเงินในภูมิภาคจะส่งผลกระทบเชิงลึกต่อผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม ซึ่งธนาคารจะต้องเปลี่ยนในระดับฐานรากเกี่ยวกับมุมมองต่อรายได้ในส่วนนี้” นายนนทวัฒน์กล่าว “แต่ก่อนธนาคารมีรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากช่องทางเหล่านี้ แต่ก็กำลังจะเสียส่วนนี้ไปเมื่อมีการแข่งขันเข้มข้นขึ้น จึงต้องพัฒนาโมเดลธุรกิจดิจิทัลสำหรับการแข่งขันยุคใหม่”
เพื่อรับมือกับความท้าทายในตลาด 18% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ประเด็นสำคัญสำหรับธนาคารคือ การสร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการชำระเงินสำหรับรายย่อย และราว 1/4 หรือ 22% ได้ระบุถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ การเรียนรู้ของเครื่อง และนวัตกรรมศูนย์รวมการชำระเงิน ในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องนำมาปรับใช้เข้ากับระบบหลัก ๆ เพื่อให้การชำระเงินทำได้ต่อเนื่องและฉับไว
สำหรับประเทศไทยนั้น ธนาคารมีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินประมาณ 17% หรือราวหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกทดแทนด้วยระบบชำระเงินดิจิทัลและการแข่งขันจากภาคนอกธนาคาร รายงานฉบับนี้ ประเมินว่ารายได้บริการชำระเงินในไทย จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5.2% ต่อปี จากร่วม 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 เป็น 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2025 จึงมีโอกาสการสร้างรายได้อีก 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ธนาคารสามารถทำได้เมื่อนำเทคโนโลยีใหม่และโมเดลธุรกิจใหม่ในเชิงนวัตกรรมเข้ามาใช้