‘สมคิด’ ขึ้นปาฐกถาพิเศษในการพัฒนาประเทศไทยสู่ดิจิทัล ทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนผ่านดิจิทัล ที่ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงได้ รวมถึงการผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจเข้าถึงดิจิทัลเพื่อช่วยผลักดันประเทศให้เติบโตแบบก้าวกระโดด
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ Thailand’s development landscape forward ภายในงาน “Digital Intelligent Nation 2018” โดยกล่าวถึงโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น หากทำได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออก ก็มีโอกาสที่จีดีพี ประเทศจะเติบโตมากกว่า 4.1%
“จากเดิมที่ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่เป็นพื้นฐาน ถือเป็นโครงสร้างที่ล้าสมัย มูลค่าต่ำมาก เพราะขาดการพัฒนามาเป็นสิบ ๆ ปี ดังนั้น สิ่งที่จะเข้ามาช่วย คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่ก็มีความเสียง ซึ่งถ้าไม่ทำในวันนี้ อนาคตจะลำบาก เพราะจะแข็งขันไม่ได้”
ดังนั้น ในช่วงเวลา 3-4 ปีข้างหน้า ถือเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากตอนนี้เศรษฐกิจโลกกำลังเติบโต อาเซียนกลายเป็นบ่อทอง และไทยกลายเป็นประเทศที่ได้รับการจับตามองจากทั่วโลก ซึ่งถ้าประเทศไทยสามารถก้าวเพื่อรับกับการมาของการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ ก็จะช่วยให้แข่งขันได้
“ภาครัฐบาลตื่นแล้วเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา และพยามปลุกให้คนไทยทั้งประเทศ รับรู้ว่ากำลังก้าวไปสู่อีกยุค ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด แต่โลกทั้งโลกเปลี่ยนไปหมด ที่สำคัญประเทศไทยจะต้องก้าวไปสู่เรื่องนี้อย่างจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล นอกเหนือจากภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมกันแล้ว ภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ต้องร่วมกัน บนพื้นฐานการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาผลักดันให้เกิดได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังระบุว่าการพัฒนาทางดิจิทัลที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่า Digital for All ที่ไปสู่ทุกคนในประเทศให้ได้ เนื่องจากในประเทศไทยมีความเลื่อมล้ำ ช่องว่างทางสังคมมีอยู่สูงมาก ดังนั้น ถ้าดิจิทัลไม่กระจายไปให้ทั่วถึง ก็จะถ่างช่องว่างเหล่านี้ออกไปอีก
อย่างน้อยที่สุดอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านต้องไปให้ถึง ให้รับรู้ว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากดิจิทัลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ และทุกแห่งที่มีความสำคัญ เพื่อให้เข้าถึงประชาชน โดยเฉพาะการศึกษา และสาธรณสุขอย่างจริงจัง
“ในอนาคต อยากเห็นภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือกัน เพื่อช่วยให้ประเทศสามารถพัฒนาไปได้”
ถัดมา คือ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ซึ่งถ้าดูจากจีดีพีประเทศที่คาดว่าจะเติบโต 4.1% ถือเป็นการคาดการณ์จากยุคเดิม ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นดิจิทัลจะเติบโตแบบยกกำลัง โดยเฉพาะถ้าองค์กรธุรกิจสามารถนำดิจิทัลมาใช้ ก็จะช่วยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และจีดีพี จะไม่ใช่ 4.1% แน่นอน
“โลกมันเปลี่ยนจริง ๆ จากเดิมที่การค้าขายบางอย่างมีบาเรียอยู่ แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ผ่านอีคอมเมิร์ซ ทุกหมู่บ้านสามารถ้าขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ นำการท่องเที่ยวมาเสริมผ่านการให้ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต”
ดร. สมคิด ยังระบุว่า SMEs จะกลายเป็นกำลังหลัก โดยมีสตาร์ทอัป คือ ต้นกล้าที่จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกเป็นดิจิทัลให้ได้ โดยมีการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงดีอี ที่ต้องเข้าไปช่วยเสริม
ภาครัฐจะเข้ามาสนับสนุนในการสร้างอินฟราสตรักเจอร์ และสร้างอีโคซิสเตมส์ พร้อมผลักให้เอกชนนำไป โดยมีรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญ คือ ต้องไม่กลัวเทคโนโลยี และรับมันเข้ามาเพื่อใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงที่สุด
สุดท้าย ประเทศไทยต้องมีการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารประเทศ เพื่อช่วยให้สังคม และประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ที่สำคัญ คือ ต้องอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น ใน 3 ปีนี้ ถือป็นเวลาที่สำคัญ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐมนตรี ใครจะเป็นรัฐบาล ต้องเปลี่ยนผ่านให้ได้