“ทนายวิญญัติ” ทนายคดีชายชุดดำ โวยอัยการคดีพิเศษ ขอเพิ่มพยานฝ่ายโจทก์ เพื่อจะเบิกตัวสืบพยาน เอาผิดชายชุดดำยิงทหารดับ ที่แยกคอกวัว เมื่อปี 53 สุดท้ายศาลไม่อนุญาต
วันนี้ (3 พ.ย.) นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทีมทนายความฝ่ายจำเลย คดีชายชุดดำยิงทหาร คดี อ.212/2564 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี ชาว กทม., นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาว จ.เชียงใหม่ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าเเละพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อนว่า
เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ทีมทนายความจำเลยกำลังสืบพยานโจทก์นัดสุดท้าย สำนวนคดีชายชุดดำภาคสองที่ศาลอาญารัชดา ทางอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มพยานบุคคลฝ่ายโจทก์ อีก 1 ปาก ชื่อนายรณฤทธิ์ สุริชา ซึ่งเป็นอดีตจำเลยในคดีชายชุดดำภาคแรก แต่กลับมาเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งทีมทนายความจำเลยได้คัดค้านพยานปากดังกล่าว เนื่องจากเป็นพยานที่ไม่ได้ผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรก และได้กันไว้เป็นพยาน เพราะมีข้อเท็จจริงว่าพยานปากนี้ น่าจะถูกจูงใจหรือขู่เข็ญให้ปรักปรำจำเลยในคดี ทั้งที่เคยเบิกความในศาลว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดและถูกทำร้ายร่างกายระหว่างถูกคุมขังในค่ายทหาร และการกันจำเลยไว้เป็นพยานโจทก์อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่พนักงานอัยการกลับนำพยานรายนี้เพื่อจะมาสืบในชั้นศาล ทั้งที่แต่เดิมในบัญชีระบุพยานฝ่ายโจทก์ ไม่มีรายชื่อนายรณฤทธิ์แต่อย่างใด
ซึ่งแม้สุดท้ายศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้เพิ่มพยานโจทก์ คือ นายรณฤทธิ์ แต่ตนต้องขอตั้งข้อสังเกตถึงพยานโจทก์รายนี้ มีใครอยู่เบื้องหลังไปคุยกับครอบครัวเขาหรือไม่ถึงได้กลับคำให้การดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีชายชุดดำสำนวนคดีเเรก ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2564 ที่ เป็นคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และ นางปุนิกา หรือ อร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือ ปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี
โดยศาลฎีกายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย