ศาลฎีกาพิพากษายืน บริษัท สยามโตโยต้าฯ ไม่ผิดฐานสำแดงภาษีเท็จ ส่วนคดีแพ่งพิพากษาแก้ให้เพิกถอนประเมินภาษีนำเข้าชิ้นส่วนเครื่องยนต์ จำนวน 18 ฉบับ แต่ไม่เพิกถอนภาษีมูลค่าเพิ่ม
วันนี้ (18 ต.ค.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยวิธีถ่ายทอดภาพและเสียงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังศาลภาษีอากรกลาง ในคดีแพ่ง ที่บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง กรมศุลกากร จำเลยที่ 1 และกรมสรรพากร จำเลยที่ 2 ทุนทรัพย์ 188,000,000 บาทเศษ และไปยังศาลจังหวัดพัทยา ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด จำเลยที่ 1และ นายสุรศักดิ์ เป้ามาลา จำเลยที่ 2
โดยคดีแพ่งโจทก์ฟ้องว่า บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด ได้นำเข้าสินค้าเพิกถอนการประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้า 18 ฉบับ แต่ไม่เพิกถอนภาษีมูลค่าเพิ่ม ขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่เรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามใบขนสินค้า 114 ฉบับ โดยฉบับที่นำเข้าเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2552 ชำระอากรประเภทย่อยที่ 8282.50.00 ยกเว้นอัตราอากร ส่วนการนำเข้าในปี 2548-2552 จำนวน 113 ฉบับ ชำระอากรอัตราอากรร้อยละ 1 แต่เจ้าพนักงานและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นว่าโจทก์สำแดงสินค้าเป็นเท็จ สินค้าจัดอยู่ในประเภทย่อย 8708.99.99 อัตราอากรร้อยละ 30 โจทก์ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงาน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองเบิกความขอให้ยกฟ้อง
ซึ่งศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษา แก้เป็นว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้วกับให้เรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้า โจทก์และจำเลย ทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์นำเข้าสินค้าโดยมีเจตนาเพื่อใช้กับสินค้าข้อต่อกากบาทโดยต้องนำชิ้นส่วนทั้งสองประกอบเข้าด้วยกัน โรลเลอร์แบริ่งรูปเข็ม 4 ชิ้นต่อข้อต่อกากบาท 1 ชิ้น และนำไปประกอบกับชิ้นส่วนภายในประเทศเพื่อผลิตเป็นข้อต่ออ่อน จึงมีลักษณะเป็นสาระสำคัญของข้อต่ออ่อนและอยู่ในฐานะข้อต่ออ่อนที่ยังไม่ครบสมบูรณ์จัดอยู่ในประเภทย่อย 8708.99 ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ข้อ 1 ข้อ 2 (ก) และ ข้อ 6 ในภาค 1 ท้าย พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 แต่สินค้าที่โจทก์นำเข้าระหว่างวันที่ 16 ธ.ค. 2547 ถึงวันที่ 17 ต.ค. 2548 ตามใบขนสินค้า 18 ฉบับ นับแต่วันนำเข้าดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินในวันที่ 20 ต.ค. 2558 เป็นการแจ้งการประเมินเกินกำหนดอายุความ 10 ปี นับจากวันที่นำของเข้า การประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าจำนวน 18 ฉบับ ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เข้าใจโดยสุจริตว่าสินค้าพิพาทจัดอยู่ในประเภทพิกัดตามที่สำแดง ความรับผิดของโจทก์ ในการชำระค่าอากรขาดไม่ได้เกิดจากการสำแดงเท็จ โจทก์ไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มอากรขาเข้า พิพากษาแก้ให้เพิกถอนการประเมินอากรขาเข้าตามใบขนสินค้า 18 ฉบับ แต่ไม่เพิกถอนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่เรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้า
ส่วนคดีอาญาโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดฐานสำแดงเท็จ จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธ ศาลจังหวัดพัทยาพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง พิพากษายืน