“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ตอน ไทย เสี่ยงหายนะ โควิดอินเดียมาอีก
เชื้อมรณะ ไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยยังระบาดหนัก ยังไม่มีวี่แววจะเบาลง หลายวันแล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุเฉียด 3 พันคน ซึ่งแนวโน้มคนติดโควิด คาดว่ามีโอกาส จะพุ่งสูงขึ้นในระหว่างสองสัปดาห์นี้
ตามการประเมิน ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาที่ประชาชนกลับภูมิลำเนาและไปท่องเที่ยว น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เชื้อแพร่กระจายมากที่สุด ดังนั้น ต้องนับไป 14 วันนับจากหมดหยุดยาวว่า ตัวเลขจะพุ่งไปได้อีกแค่ไหน ซึ่งตามกรอบเวลาคือ กลางเดือนพฤษภาคมนี้
นับวันมีแต่สถานการณ์จะเลวร้ายลง ตัวเลขผู้เสียชีวิตตายเป็นรายวัน โดยเฉพาะวันเดียวทำลายสถิติตาย11 ราย ปัญหาน่าห่วงว่ารัฐบาลจะเอาไม่อยู่ ต่อไปคาดว่าโควิดจะฉุดคร่าชีวิตคนไทยเป็นใบไม้ร่วง
เนื่องจากคนไข้อาการเพียบหนัก ต้องอยู่ห้องไอซียู และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ อีกหลักพัน แต่น่าอนาถ ไม่มีโรงพยาบาลรับรักษา ไม่มีจำนวนเตียงให้คนป่วย ขาดหมอ และบุคลากรทางการแพทย์ไม่พอรับคนป่วย
ต้องบอกว่า ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะ “วิกฤติ” อย่างหนักในสงครามโควิด ครั้งนี้ อาจจะเรียกได้ว่า ประสบการณ์การควบคุมโควิดรอบแรกระบาดที่สะกดไว้ได้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่กลับทำให้รัฐบาลประมาทเสียด้วยซ้ำ คนไทยจึงต้องระทมทุกข์ในวันนี้
ประชาชนคนไทยส่ออาการสิ้นหวังเป็นที่สุดกับรัฐบาล เสียงก่นด่าสาดใส่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ ที่ล้มเหลวในการบริหารจัดการต่อสู้กับโรคโควิดทั้งระบบ
ประเทศไทย มีพื้นฐานสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมและบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล อสม. ที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลยในรอบนี้ เพราะนโยบายและมาตรการป้องกันโรคโควิดหละหลวมและประมาท
วัคซีนที่รัฐบาลบอกว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องเร่งรีบฉีด ขอให้ประชาชนป้องกันด้วยหน้ากากอนามัยก็เพียงพอแล้ว แต่ที่ไหนได้ ทั้งที่คนใส่หน้ากากอนามัยแต่ไม่มีวัคซีนคุ้มกันให้ ก็เลยไม่มีด่านสกัดคัดกรองอีกชั้น ทำให้มีคนติดเชื้อง่อมพระรามทั้งประเทศ นี่ก็เพราะผู้นำชะล่าใจเกินไป
โดยพลเอก ประยุทธ์คงไม่คิดว่า โควิดที่เป็นเชื้อโรคมันกลายพันธุ์ได้ คราวนี้ก็เป็นเชื้อพันธุ์อังกฤษ ที่มีฤทธิ์ติดต่อเร็ว แฝงไปด้วยความรุนแรง แบบไม่ให้รู้ตัว เป็นภัยเงียบที่ค่อยๆคืบคลาน มารู้ตัวก็ต้องล้มหมอนนอนเสื่อกันระนาว และถึงตายได้ง่าย
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อการกอบกู้สถานการณ์ โควิดระบาดรอบนี้แพงมาก รัฐบาลที่พยายามแก้ปัญหาตามหลังสถานการณ์ที่เลวร้ายลงทุกที ด้วยการเปิดดีลหาซื้อวัคซีนมาอย่างรีบเร่ง
โดยนาย อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโร่ไปขอซื้อยี่ห้อ ไฟเซอร์ของสหรัฐอเมริกา และบิ๊กตู่ก็ดิวกับปูตินโดยตรงซื้อสปุ๊กนิค วีของรัสเซีย มาได้ แต่ทั้งสองดิวเป็นการซื้อแบบกราบกราน ราคาไม่เกี่ยง เพียงขอให้ได้สัญญามาโชว์คนไทย ได้อุ่นใจ แก้ไขวิกฤติศรัทธาของรัฐบาล
แต่การได้วัคซีนมาแล้ว จะทันเยียวยาความรู้สึกของประชาชน ทันการณ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ และเรื่องนี้เป็นการแก้ปัญหาตรงจุดจริงๆหรือไม่ ก็ไม่แน่เนื่องจากตอนนี้คนไทยวิตกหนัก กลัวติดเชื้อแล้วจะไม่มีที่รักษา กลัวถูกปล่อยจมน้ำตายเหมือนกรณีอาม่า และอัพ กุลทรัพย์ วัฒนผล อดีตนักกีฬาอีสปอร์ต ที่ไม่มีที่รักษาจนต้องเสียชีวิตอย่างน่าเวทนา
ดังนั้น เฉพาะหน้านี้ รัฐบาลต้องเร่งจัดการหาที่รักษาพยาบาลคนป่วยให้พอสถานเดียวต่างหาก ไม่ใช่การหาวัคซีนมาสร้างข่าวปลอบโยนความรู้สึกของสังคม
เพราะ แม้ว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะได้วัคซีนมากี่ร้อยล้านโดส แต่มันคงสายเกินไปหรือไม่ ถ้าคนไทยต้องล้มตายเป็นเบือเพราะติดโควิดแล้วเสี่ยงตายเพราะติดเชื้อโควิดตามยถากรรม โดยไม่ได้รับการเหลียวแลรักษาโรคตามที่ควรจะมี และควรจะได้จากรัฐ
จากความเคลื่อนไหวรัฐบาล ดูเหมือนการจัดการเรื่องเพิ่มสถานที่รับรักษาคนป่วย รัฐบาลยังไม่มีทีท่าจะเดินหน้าอย่างไร ซึ่งจะคนป่วยเพิ่มขึ้น เป็นวันหลายสามสี่พันคน จะเข้าสู่ภาวะการณ์ที่วิกฤตแบบดูไม่จืดแน่
ปัญหาเก่ายังแก้ไม่ได้ แต่ปัญหาใหม่ส่อว่าจะเข้ามาอีก จากการที่รัฐบาลเปิดประเทศรับคนอินเดียที่หนีเชื้อโควิด-19 จากประเทศอินเดียเข้ามาไทย ซึ่งสรุปว่า รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์จะไม่ตัดรอน ห้ามคนอินเดียมา ที่ข่าวว่าพวกที่มาส่วนใหญ่เป็นพวกเศรษฐี แต่เข้ามาแล้วจะให้กักตัวสามสัปดาห์
น่าเป็นห่วง อาจจะก่อเกิดเป็นปัญหาใหม่ เป็นเรื่องใหญ่เข้ามาซ้ำเติมไทยอีก เพราะโควิดที่ระบาดหนักในรอบนี้ที่อินเดีย ทำให้คนอินเดียตายเป็นเบือ จนไม่มีที่เผาศพ เป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่รุนแรงแม้แต่วัคซีนยังขยาด
ถ้าเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย เล็ดรอดติดต่อคนไทย และระบาดกระจายไปทั่วเหมือนสายพันธุ์อังกฤษที่ต้นตอจากคลัสเตอร์ทองหล่อ จะไม่ทำให้ประเทศไทยอ่วมหนักไปยิ่งกว่านี้หรือ เพราะระบบการรักษาของเรายังตามยถากรรมอยู่ วัคซีนก็ฉีดไปแล้ว แค่จิ๊บจ๊อย แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรเท่านั้น
ภายใต้การบริหารจัดการปัญหาโควิด แบบที่เป็นอยู่นี้ เจอโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ คนไทยยังเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังจะให้เสี่ยงหายนะกับสายพันธุ์อินเดียอีก จะโหดร้ายกับชีวิตประชาชนคนไทยเกินไปหรือเปล่า?