“คุณหญิงสุดารัตน์” แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ยกเคส ตปท.ระดมฉีดวัคซีนสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ซัดมีแต่ไทยที่ “ผู้นำ” มโน “วัคซีนทิพย์” จนพลาดสั่งวัคซีนน้อย พาประเทศเข้าหายนะ ย้ำ 4 ข้อเสนอพาประเทศพ้นวิกฤตก่อนสิ้นปี 64 วอนนายกฯเปิดใจรับข้อเสนอแนะ ลุยยุทธการสยบโควิด-19
วันนี้ (23 เม.ย. 64) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำกลุ่มสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ ว่า แทบจะทุกประเทศทั่วโลก ผู้นำประเทศของต่างรู้ดีว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนให้ปลอดภัยจากโรคโควิด-19 อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ภูมิคุ้มกันหมู่ จะทำให้ประชาชนทุกคน ทำมาหากินกันได้ตามปกติ ดังนั้นรัฐบาลทั้งหลายจึงมุ่งเน้นการใช้เงินในการจัดหาวัคซีนเป็นหลัก มากกว่าการเอาเงินภาษีประชาชน มาแจกคืนให้ประชาชน หรือแปลความว่า รัฐบาลทั้งหลายให้ความสำคัญกับภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืน เพราะนอกจากประชาชนจะต้องปลอดภัยจากโรคระบาดแล้ว และประชาชนจะต้องไม่อดตายอีกด้วย
“เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เราจึงเห็นทุกประเทศทั่วโลก ต่างกระหายวัคซีน ทุกประเทศต่างเสาะแสวงหาวัคซีนหลากหลายยี่ห้อ เพื่อมาฉีดให้ประชาชน โดยภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันทุกวิถีทาง เพื่อประสานและจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อบริการกับประชาชนให้ครบทั้งประเทศ” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุด้วยว่า ในโลกยุคโควิด ประเทศไหนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ถึง 70% ก็พร้อมทันทีสำหรับการเปิดประเทศ เพราะการเปิดประเทศเร็วกว่าคนอื่น ก็คือ “โอกาส” ในการพัฒนาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนให้ล้ำหน้าไปก่อนใครๆ ส่วนประเทศไหนไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ย่อมถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ล้าหลัง ไม่สามารถพัฒนาชีวิต และเศรษฐกิจของประชาชนให้มั่นคงได้
“เท่าที่ฟังมา ก็มีแต่ประเทศไทยเราที่ผู้นำประเทศออกมาพูดเต็มปากว่า เราป้องกันโควิดได้ดี จึงสั่งวัคซีนมาน้อย ใช้วิธีให้หน่วยงานของรัฐ ออกมาจรรโลงจิตใจประชาชนด้วยวัคซีนทิพย์ และโครงการที่ลงท้ายด้วยชนะๆ ทั้งหลาย โดยที่ไม่มีสิ่งใดรองรับว่า สิ่งที่ตัดสินใจกระทำไปนั้นถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ จึงเท่ากับว่า นายกฯอาจกำลังพาประเทศไปสู่หายนะ มากกว่าชัยชนะ” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ
คุณหญิงสุดารัตน์ เสนอแนะด้วยว่า วิธีได้มาซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่ ที่ง่ายและประหยัดที่สุด คือ เราต้องเร่งหาวัคซีนที่ดีมาฉีดให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด รัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางที่สามารถจัดหาวัคซีนโควิด-19 มาให้ได้ และรัฐบาลต้องไม่ปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีนดีๆ มาบริการให้กับคนไทยด้วย โดยขอยืนยันคำเดิม ที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ 4 ประเด็น คือ 1. รัฐบาลต้องยกระดับให้การจัดหาวัคซีน คือ วาระแห่งชาติ ระดมสรรพกำลังทั้งภาครัฐและเอกชน จัดหาวัคซีนมาให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติ 2. รัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนที่โลกให้การยอมรับว่าดี มีข้อมูลทางวิชาการรองรับว่าได้ผล ในลำดับ Top ของโลก ไม่น้อยกว่า 5-6 ยี่ห้อ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกฉีด เพราะวัคซีนแต่ละยี่ห้อ ล้วนมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันไป 3. รัฐบาลต้องปรับแผนการจ่ายวัคซีน เพื่อที่จะฉีดให้คนไทยได้ครบ 50 ล้านคน หรือ 70% ของคนไทยเป็นอย่างน้อย โดยมีเงื่อนเวลาอย่างช้าไม่เกินเดือน ธ.ค. 64 นี้ และ 4. ปลดล็อกการจัดหาวัคซีนของ รพ.เอกชน หรือท้องถิ่นที่มีความสามารถในการจัดหาด้วยตัวเอง โดยใช้กลไกของรัฐเพียงเพื่อกำกับดูแลคุณภาพ และมาตรฐานของวัคซีน และกระบวนการในการฉีดให้ได้มาตรฐานตามที่สาธารณสุขกำหนดเท่านั้น
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุต่อว่า หากรัฐบาลไม่ทำเช่นนี้ อย่าหวังว่าจะเปิดประเทศได้ทันเหมือนประเทศอื่น ยิ่งปล่อยให้เนิ่นช้าไปมากเท่าไร และปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้จ่ายเงินทองสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ประเทศไทยจะไม่สามารถแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างยั่งยืนได้เลย วันนี้ดิฉันขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องใจกว้าง ไม่ตั้งแง่กีดกันเอกชน หรือผู้มีความรู้ความสามารถอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกพ้องตน ดิฉันอยากเห็นภาพการ “Unite Thailand” ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ร่วมมือร่วมแรงกัน ฝ่าฟันวิกฤตของชาติในครั้งนี้ไปให้ได้ อย่าคิดว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของประเทศคนเดียว เพราะถ้าประเทศไทยแพ้ครั้งนี้ พวกเราไม่ว่ารัฐ-เอกชน-ประชาชน ทุกคนคือผู้แพ้ทั้งหมด ข้อเสนอ ข้อท้วงติง ของทุกฝ่าย รวมทั้งของดิฉันด้วย ล้วนเป็นไปด้วยความปรารถนาดี ถ้ารัฐบาลเปิดใจรับฟัง และนำไปแก้ไข งานก็จะสำเร็จ ซึ่งผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนคนไทยและรัฐบาลเองทั้งสิ้น
“อยากให้นายกฯเปิดใจ และเร่งแก้ไขนโยบายผิดพลาดทั้งหมด เพื่อนำพาประเทศ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายสยบโควิดให้ได้ภายในปี 64 ร่วมกันเพื่อประเทศไทย และพี่น้องคนไทยที่รักของเราทุกคน” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ