“สุดารัตน์” ตอก “ประยุทธ์” ไร้ประสิทธิภาพบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ย้ำเวลานี้ “ภูมิคุ้นกันหมู่” สำคัญ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมคนไทย 70% ภายในปีนี้ เพื่อเปิดประเทศ-ฟื้นเศรษฐกิจ แนะไม่ควรใช้ รพ.สนามที่ไม่พร้อม แล้วไปเช่า รร.ที่ไร้นักท่องเที่ยวดูแลผู้ติดเชื้อ กระตุก “บิ๊กตู่” หยุดโทษประชาชน ต้องทบทวนการทำงานตัวเองมากกว่า
วันที่ 15 เม.ย. 64 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงปัญหาการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งมากกว่า 1,500 คนต่อวัน ผู้นำประเทศทั่วโลกเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาด ทำให้เปิดประเทศได้ และฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด เพราะผู้นำแต่ละประเทศได้มองเห็นตรงกันว่าวัคซีนไม่ใช่เพียงเครื่องมือหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเท่านั้น แต่วัคซีนจะข่วยปั๊มหัวใจของเศรษฐกิจอีกด้วย รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงขวนขวายทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้กับประชาชนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป รวมทั้งในเอเชีย
“หันกลับมาดูที่ประเทศไทย ผู้นำของเราเข้าใจปัญหา และเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาวัคซีนให้กับคนไทยหรือไม่ รวมทั้งได้พยายามและเอาจริงเอาจังกับการจัดหาวัคซีนให้ได้เร็วและมากพอหรือไม่” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ
คุณหญิงสุดารัตน์ ในฐานะอดีต รมว.สาธารณสุข ยังระบุอีกว่า ในฐานะที่เคยรับผิดชอบบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่อย่างโรคซาร์ส และโรคหวัดนก มีข้อห่วงใยต่อการรับมือกับปัญหโควิด-19 ของรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องของการจัดหาวัคซีนที่ช้า ไม่เพียงพอ และมีตัวเลือกเพียง 2 ชนิด ตนเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยต้องปรับแผนการจัดการวัคซีนใหม่ ต้องเร่งฉีดให้กับคนไทยอย่างน้อย 70% หรือ 50 ล้านคนให้จบภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสามารถเปิดประเทศ เปิดการค้าขายได้ในสิ้นปีนี้ให้ทันกับประเทศอื่นๆ ที่เขามีแผนงานการฉีดวัคซีน และกำหนดการเปิดประเทศที่ชัดเจนกันแล้ว
แกนนำพรรคไทยสร้างไทยยังได้เสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ อย่างจริงจังใน 2 ประเด็น คือ 1. เร่งเจรจาจัดหาซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก 40 ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เราต้องฉีดให้ประชาชนอย่างน้อย 50 ล้านคน และให้จัดซื้อจากผู้ผลิตหลากหลาย เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกมากกว่า 2 เจ้า ที่รัฐบาลสั่งซื้อไปแล้ว และมีปัญหาทั้งเรื่องประสิทธิภาพและผลข้างเคียงทั้ง 2 เจ้า และ 2. เร่งวางแผนการฉีดให้ประชาชนให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าในปัจจุบันที่เรามีอัตราการฉีดต่อวันน้อยมาก เราได้วัคซีนล๊อตแรก ตั้งแต่ 28 ก.พ.จำนวน 945,000 โดส ถึงวันนี้ผ่านไป 40 กว่าวัน เพิ่งฉีดได้แค่ 300,000 กว่าโดส หรือแค่ 1 ใน 3 ของวัคซีนที่เข้ามา เฉลี่ยฉีดได้เพียง 7,500 โดส/วัน แต่รัฐบาลบอกว่าฉีดได้ 20,000 โดส/วัน จนทำให้คนไทยได้รับวัคซีนช้าเป็นลำดับบ๊วยของอาเซียน
“ถ้ารัฐบาลฉีดได้ 20,000 โดส/วัน เราต้องใช้เวลาถึง 3,150 วัน กว่าจะฉีดได้ครบ 63 ล้านโดสที่สั่งไปแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งวางแผนการฉีด และกระจายวัคซีนให้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ
Powered by embed facebookvideo & Youtube embed code
คุณหญิงสุดารัตน์ยังย้อนไปด้วยว่า เคยเสนอตั้งแต่ มี.ค.ปีที่แล้ว ในการจัดการ “Endgame COVID” ด้วยการปูพรมตรวจเชิงรุก ให้คนเข้าถึงการตรวจได้ง่ายและฟรี แต่จนป่านนี้รัฐบาลก็ยังไม่ทำ ในการระบาดรอบใหม่นี้ยิ่งต้องตรวจเชิงรุกให้มากที่สุด เพราะเชื้อแพร่เร็ว ติดกันง่าย จะได้เร่งนำคนติดเชื้อที่มีอาการเข้าโรงพยาบาลรักษา คนไม่มีอาการให้ไปดูอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลไปจัดทำโรงพยาบาลสนาม ส่วนใหญ่ไม่มีสภาพเหมาะสมที่จะพักอาศัย แถมอาจจะทำให้ติดเชื้อมากขึ้น จึงเสนอให้รัฐบาลไปเช่าโรงแรมที่ว่างอยู่เต็มไปหมด จัดเป็นสถานที่พักดูอาการของผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ โดยจัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปจัดการบริหาร
แกนนำพรรคไทยสร้างไทยระบุต่อว่า การระบาดรอบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวมาปีกว่าแล้ว งบประมาณก็มีมากมายทั้งงบประจำ และเงินกู้ แต่การบริหารจัดการยังมีปัญหาอยู่เช่นเดิม ตั้งแต่เริ่มการระบาด ก็หาหน้ากากไม่เจอตอนนี้นำ้ยาตรวจไม่พอ เตียงไม่พอ วัคซีนช้า ไม่เพียงพอ และตัวเลือกน้อย ทั้งหมดคือการไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งสิ้น
“นายกฯ ต้องหยุดโทษประชาชน และกลับไปทบทวนการทำงานของตัวเองเสียใหม่ คนไทยอดทนอย่างสุดๆ แล้ว
คำถามคือจะต้องให้ประชาชนทนไปอีกนานแค่ไหน” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ