“ไทยสร้างไทย” เซ็งรัฐบาลจัดการความเสี่ยงโควิดจากอินเดียล่าช้า ชี้เบรกใบอนุญาตเข้าไทยมีผล 1 พ.ค.ไม่ทันสถานการณ์ หวั่นมีช่องโหว่ให้คนอินเดียทะลักเข้ามาก่อนประตูปิด ระบุ “สายพันธุ์เบงกอล” รุนแรง
วันนี้ (26 เม.ย.64) น.ส.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ คณะกรรมการนโยบาย พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ออกมาชี้แจ้งว่า ไม่มีเศรษฐีอินเดียเช่าเครื่องบินเหมาลำส่วนตัวเข้ามาในประเทศไทยตามที่เป็นข่าวว่า ความจริงมีชาวอินเดียเดินทางเข้ามาในไทยผ่านเที่ยวบินอื่นถึง 602 คน แล้ว เมื่อวันที่ 1-20 เม.ย.64 โดยพบว่ามีผู้ติดเชื้อ 7 คน จากสายการบินอินเดียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ AI 0332 ในวันที่ 17 เม.ย. ทั้งที่สถานการณ์ในอินเดียทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มาสักพักแล้ว และรัฐบาลไทยยังจัดการปัญหาขาดแคลนเตียงในประเทศและเร่งจัดหาวัคซีนไม่ได้ นอกจากนี้ นโยบายชะลอการยื่นขอใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ (Certificate of Entry: COE) ของชาวต่างชาติที่ประสงค์เดินทางมาจากประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ออกไปก่อน ที่จะมีผลในวันที่ 1 พ.ค.64 ถือว่าล่าช้ามาก
“ผู้ป่วยรายใหม่ในอินเดียเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา มากกว่า 300,000 รายต่อวัน ซึ่งทำลายสถิติเดิมของตัวเองและสถิติโลกเรื่อยๆ และไวรัสโควิดสายพันธุ์เบงกอลกลายพันธุ์จนรุนแรงมากถึงขั้นที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนสามารถป้องกันได้หรือไม่ การประกาศแบบนี้ เกรงว่าอาจทำให้ผู้เดินทางทะลักเข้ามาก่อนประตูจะปิด เนื่องจากระบบสาธารณสุขของอินเดียไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้แล้ว” น.ส.ธิดารัตน์ ระบุ
น.ส.ธิดารัตน์ กล่าวต่อว่า แม้ ศบค. แจ้งว่าจะพยายามควบคุมไม่ให้ผู้ที่ติดเชื้อเล็ดลอดออกมาจากโรงพยาบาลได้ แต่หากพิจารณาจากการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งล้มเหลวหลายครั้ง ถือว่าความเสี่ยงยังมีอยู่ แม้แต่หลายประเทศที่ไม่ได้ประสบวิกฤตรุนแรงเหมือนไทยยังไม่ยอมรับความเสี่ยงเลย โดยได้ประกาศระงับไม่ให้เที่ยวบินจากอินเดียเดินทางเข้าแล้ว และบางแห่งถึงกับไม่ให้ผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากอินเดียมาแวะเปลี่ยนเครื่องด้วยซ้ำ เช่น อิหร่าน คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฮ่องกง สิงคโปร์ แคนาดา และออสเตรเลีย เป็นต้น
“ประเทศไทยเผชิญปัญหาโควิด-19 นานกว่าประเทศอื่นในโลก เพราะพบผู้ติดเชื้อเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ได้รับวัคซีนช้ากว่าหลายประเทศที่เจอผู้ติดเชื้อทีหลัง และตอนนี้ยังมีสัดส่วนการได้รับวัคซีนน้อยมาก รัฐบาลควรจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่นและการระบาดในประเทศได้แล้ว ครั้งนี้เป็นการระบาดระลอกที่ 3 รัฐบาลควรออกนโยบายให้ทันท่วงที เป็นไปตามมาตรฐานการจัดการภาวะฉุกเฉินจากโรคติดต่อ และมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้” น.ส.ธิดารัตน์ กล่าว.