รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ตอน "เสี่ยหนู"อนุทินนำทัพ ฝ่าวิกฤตสู้ไวรัสอู่ฮั่น
ปัญหาไวรัสมรณะ “โคโรน่า” ที่แพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน กระจายไปหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศไทย ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ยอดผู้ป่วยสะสมเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำเอาคนไทยหวั่นวิตกอย่างหนัก
คนไทยตกอยู่ในอาการขวัญผวาอย่างแรง เนื่องจากกลัวเชื้อโรคแล้ว ยังไม่มีความเชื่อมั่นกับมาตรการของรัฐบาลไทย ทั้งที่การป้องกันของไทยติดอันดับ6 ของโลก เพราะมีข่าวเท็จ หรือเฟคนิวส์ แพร่สะพัดในโลกโชเชี่ยล เต็มไปหมด เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
แต่วันนี้สถานการณ์น่าจะคลี่คลายหายวิตกกันแล้ว เมื่อ ทางการแพทย์ไทยได้พิสูจน์ออกมาว่า สามารถหยุดไวรัสโคโรน่าอู่ฮั่นได้จริง ไม่ใช่ราคาคุย โดยทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ค้นพบสูตรยาต้านเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ชะงัก ใช้ยาฆ่าเชื้อโรคได้ภายในเวลา48 ชั่วโมงหรือ2วัน
นี่เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ จากผลงานของแพทย์ไทยที่ล้ำหน้าชาติอื่น และเป็นผลจากการทำงานที่ผู้รับผิดชอบปัญหาทุกส่วนที่ระดมความคิดและช่วยกันทุ่มเทอย่างหนัก
ทั้งการสกัดกั้นเชื้อโรคเข้าประเทศ ระดมกำลังตรวจคนเข้าประเทศทุกด่วนทุกสนามบินทั่วประเทศ และด้านการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ แพทย์ทุกสถาบันก็พร้อมใจกันรักษาคนป่วยและค้นหาวิธีรักษา
จึงพบความสำเร็จกับการรักษาคนไข้ที่มีอาการเพียบหนัก แต่กลับรอดตายราวปาฏิหาริย์ ทำให้เห็นว่าหมอไทยเก่งไม่แพ้ใคร
ขณะที่ตอนนี้บ้านอื่นเมืองอื่น คนป่วยติดเชื้อแล้วมีเปอร์เซ็นต์ตายมากกว่ารอด ที่ฟิลิปปินส์ก็ตายไปแล้ว เมืองจีนต้นตอเชื้อโรคก็ตายไปหลายร้อยคน แต่เมืองไทยคนไข้กินยาแค่สองวัน ใช้เงินวันละร้อยกว่าบาท ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
การแก้ไข้สถานการณ์เลวร้ายจากวิกฤติเชื้อโคโรน่าอู่ฮั่นครั้งนี้ ฝ่ายการเมือง ในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก ก็ควรจะได้รับคำชื่นชมอย่างมากด้วย เพราะได้ตื่นตัวเตรียมรับมือกับปัญหาตั้งแต่วิกฤตเพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น
คงจำกันได้ เมื่อกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่าน ขณะนั้น เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เอาตัวเองออกมาประกาศรับมือกับไวรัสโคโรน่าทันที
โดยเสี่ยหนู ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เรียกประชุมสามกระทรวงที่อยู่ในอำนาจของพรรคภูมิใจไทยคือ กระทรวงสาธารณสุข ท่องเที่ยวและการกีฬา และคมนาคม
หลังจากนั้น ก็มีการตั้งวอร์รูมสู้กับเชื้อไวรัสอู่ฮั่น โดยอนุทินเป็นแม่ทัพเข้าสู้ตายในทุกสมรภูมิปัญหา
ต่อมา ทุกปัญหาก็ได้รับการจัดการแก้ไข โดยสังคมได้รับรู้ผ่านการทำงานของเสี่ยหนู อนุทิน ไม่ว่าการป้องกันการแพร่ระบาดเข้าไทยของเชื้อไวรัสอู่ฮั่นก็เอาอยู่ การสำรวจตรวจสอบคัดกรองคนติดเชื้อก็มีประสิทธิภาพ
การรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลหลายแห่ง ให้ความสำคัญกับทุกชีวิตและเป็นไปอย่างเข้มข้น ซึ่งก็สามารถยื้อชีวิตคนไข้จากมือมัจจุราชได้สำเร็จทุกราย
รวมทั้งเรื่องการประสานงานนำคนไทยจากจีนกลับเมืองไทย ซึ่งใช้บริการสายการบินแอร์ เอเซีย คงจะผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
นอกจากงานในหน้าที่รัฐมนตรี เสี่ยหนู ยังทำหน้าที่หัวหมู่ทะลวงฟันเปิดหน้าชนกับบรรดาFake news “เฟคนิวส์”ด้วยตัวเอง ทั้งการออกข่าวจริงสู้ข่าวเท็จด้วยตัวเอง ด่าทอกับพวกนักเลงคีย์บอร์ดที่สร้างข่าวเท็จก็ทำ
แถมยังเปิดเพจ ไลฟ์สด ผ่านเฟสบุ๊ก สื่อสารกับแฟนคลับทุกคืน เพื่อชี้แจงสถานการณ์ความเป็นจริงของไวรัสอู่ฮั่น ก็มีคนติดตามไม่น้อย และได้ผลลัพธ์เีในการทำความเข้าใจกับสังคม
จึงต้องยอมรับว่า วิกฤตโรคระบาดค่อยๆดีขึ้นทั้งการข่าว และการทำงานของแพทย์ ก็เพราะการทำงานที่จริงจังของ เสี่ยหนู อนุทิน ที่ตอนนี้เขากลายเป็นไอดอลของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไปแล้ว
และอีกด้านหนึ่งก็เปรียบเหมือนหนูช่วยราชสีห์ ช่วยทำให้รัฐบาลรอดจากการเพลี่ยงพล้ำในสถานการณ์นี้
ว่ากันตามจริง หน่วยงานรัฐที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลทำงานล้มเหลวกับเรื่องไวรัสอู่ฮั่น เพราะตั้งรับก็ไม่เข้าท่า ทำงานเชิงรุกก็ไม่แหลมคม จึงเปิดช่องให้พวกมือบอนปล่อยข่าวเท็จกันอย่างเมามัน ซ้ำเติมวิกฤตตามใจชอบ ประชาชนก็ตื่นตูมตามติดไวรัลเฟคนิวส์เป็นไข้ใจกันไปทั้งเมือง
ถ้าหากไม่ได้เสี่ยหนู เอาจริงเองจังกับการรับมือกับปัญหา รัฐบาลคงจะโดนถล่มเละยิ่งกว่านี้ และสังคมจะโกลาหลกับข่าวไวรัสอู่ฮั่น ทำให้สถานการณ์ก็จะบานปลายเข้าทางฝ่ายการเมือง
เพราะมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็น “ลบ” บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเท็จ ออกมามาก ซึ่งเป็นเกมการเมือง ส่วนใหญ่พบว่าข่าวถูกผลิตมาจากกลุ่มการเมือง และสื่อในเครือข่ายพวกนี้ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
จากข่าวที่ออกมา ประเด็นข่าวอันหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือความพยายามเปรียบเทียบการทำงานระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” และรัฐบาลพรรคไทยรักไทย กับยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะว่า ยุคนั้นมีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ทั้งที่มาตรการต่างๆ แทบจะเป็นแบบเดียวกัน
นอกจากประเด็นเนื้อหา ปลุกผีทักษิณ แล้ว รูปแบบและวิธีการก็เป็นลักษณะเดียวกับการใช้โซเชียลมีเดียที่เคยรุกไล่รัฐบาลมาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นประเด็น ไวรัสโคโรน่าอู่ฮั่น
เพราะในช่วงคาบเกี่ยวกันรัฐบาลเพิ่งจะถูกเฟคนิวส์เล่นงานในเรื่องของค่าละอองฝุ่นพิษ PM 2.5 ก่อนที่กระแสไวรัสโคโรน่า จะมาแรง กลุ่มคนๆ เดียวกัน จึงเปลี่ยนมาตีเรื่องนี้ เป้าโจมตีเน้นไปที่ความล้มเหลว และดิสเครดิตของรัฐบาลเช่นเดิม
สะท้อนว่า การเมืองไทยเป็นการเมืองป่วย ติดเชื้อความรุนแรง ไร้มนุษยธรรม และดื้อยารักษาไม่หาย ที่เล่นกันทุกเรื่อง ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งเรื่องความเป็น/ตาย ของผู้คน ก็ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีกัน