รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ตอน "เฟกนิวส์"มลพิษโลกโซเชียล ถล่มรัฐบาลลุงตู่ งอมพระราม
รัฐบาลเรือเหล็กต้องเจอภาวะรับศึกหลายด้าน โดยเฉพาะสงครามการข่าว ในช่วงนี้เจอหนักนับตั้งแต่ควันพิษ PM 2.5 ต่อเนื่องมาถึงไวรัสโคโรนา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกข่าวเท็จหรือ เฟคนิวส์ เล่นงานแทบจะงอมพระราม ทำเอา PM. ตู่ ทนไม่ไหวเลยสั่งการให้ปราบปรามพวกสร้างและปล่อยเฟคนิวส์อย่างเฉียบขาด
ลำพังการตั้งรับและจัดการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษกับไวรัสโคโรนา หรือปัญหาการเมืองยังพอทำนอง แต่การเจอปัญหาแทรกซ้อนที่กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาด้วยอย่าง “เฟคนิวส์” ทำเอารัฐบาลออกอาการหัวหมุน
เป็นภาวะแทรกซ้อน ที่พันแข้งพันขาทำให้การแก้ไขปัญหาหลักๆไปได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องมาเสียเวลาแก้ข่าว ชี้แจง “เฟคนิวส์” ที่มีอยู่เต็มพรืดไปหมด
หนำซ้ำในความเป็นจริง กว่ารัฐบาลจะออกมาชี้แจง คนทั้งประเทศหลงเชื่อ “เฟคนิวส์” กันไปหมดแล้ว การออกมาให้ข้อเท็จจริง กลายเป็นเหมือนการแก้ตัว
ที่ผ่านมาการทำงานเรื่องประชาสัมพันธ์และข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปในลักษณะ “ตั้งรับ” รับชนิดว่า “รับจนหลังแอ่น” เลยทีเดียว
ไม่มีการทำงาน “เชิงรุก” รอเป็นฝ่ายตั้งรับ และรับแบบไม่ทันท่วงที ไม่รวดเร็ว ไม่สดใหม่ เรียกว่า ใช้โชเชียลมีเดียได้อย่างไม่เต็มศักยภาพ ทั้งที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ กฎหมาย บุคลากร และงบประมาณให้เลือกใช้เต็มที่
การตั้งรับ ที่เสมือนเป็นการตามไล่ล่าไล่เช็ด ก็ถูก “เฟคนิวส์” ที่เกลื่อนกลาดในโซเชียลมีเดีย ถล่มกลับกลบทับไปในทันใด สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ล้มเหลวในเชิงการข่าว ไม่ทันกาลในยุคข้อมูลข่าวสาร
ปัญหา PM 2.5 และไวรัสโคโรนา เป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนรัฐบาลให้เห็นความสำคัญของการมีทีมงานไซเบอร์ ที่ต้องมีประสิทธิภาพแล้ว
ตามคิวที่ 2-3 วันนี้ รัฐบาลค่อนข้างออกแอ็กชั่นแรงกับ “เฟคนิวส์” ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ออกมาแย้มว่า กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมาตรการป้องกัน หลังประสานขอความร่วมมือกับเฟซบุ๊กเพื่อแก้ปัญหานี้
เป็นความร่วมมือ ที่สืบเนื่องมาจากการที่ “เสี่ยบี” พาคณะกระทรวงดีอีเอส ไปโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกามาเกือบ 10 วัน เพื่อเชิญชวนบริษัเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐ เข้ามาลงทุนในโครงการดิจิทัลพาร์ค ที่กระทรวงดีอีเอส กำลังผลักดัน ซึ่งก็ได้พบกับบริษัท “กูเกิ้ล – เฟซบุ๊ก” ด้วย
หนึ่งในหัวข้อหารือระหว่าง “พุทธิพงษ์” กับผู้บริหารกูเกิ้ล คือ ขอให้กูเกิ้ลช่วยดูแลข้อมูลที่ไม่ถูกต้องที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย รวมถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องบน Google Map
นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กูเกิ้ลช่วยให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวปลอม และคลิปไม่เหมาะสมทางยูทูป ซึ่งทิศทางเป็นไปในทางบวก
ขณะที่การเข้าพบผู้บริหาร “เฟซบุ๊ก” คณะของไทยก็ได้ขอความร่วมมือให้ช่วยแก้ไขปัญหาข่าวปลอมกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนเฟซบุ๊ก รวมถึงการสร้างขั้นตอนในการทํางานร่วมกันอย่างชัดเจน และ timeline ของกระบวนการแจ้งลบบัญชีผู้ใช้งานปลอมหรือข้อมูลเท็จได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถอธิบายให้ประชาชนรับทราบได้
เป็นการชวนมาลงทุน และอาศัยขอความร่วมมือไปในตัวในสิ่งที่รัฐบาลไทยอยากได้ ซึ่งให้หลังคณะของ “พุทธิพงษ์” กลับมา ก็ขยับเรื่องนี้ทันที ด้วยการเปิดเผยว่า กำลังจะมีมาตรการออกมา
ขณะที่ “บิ๊กตู่” เอง ดูเหมือนจะได้รับรายงานเรื่องมาตรการดังกล่าวแล้ว จึงมีบทเข้มๆ ออกมาเตือนเหล่านักเลงคีย์บอร์ด เกรียนคีย์บอร์ด และพวกที่ผลิตเฟคนิวส์ออกมาว่า ตรวจสอบได้ และจะดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด
ท่าทีรัฐบาลค่อนข้างเชื่อมั่นกับมาตรการนี้ ขณะที่ “พุทธิพงษ์” ออกมาเปิดเผยตัวเลขว่า ตอนนี้ที่ขึ้นบัญชีปลอมมีประมาณ 140 แอคเคาท์ แต่ไม่การันตีว่า จะเจอตัวหรือไม่
แม้เป็นเรื่องที่ดีที่เอกชนยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย แต่ไม่ได้หมายความว่า หลังจากนี้จำนวนเฟคนิวส์จะลดลง อย่าลืมว่า จำนวนแอคเคาท์ปลอมนั้นมีมากมายมหาศาล
เฟซบุ๊กไม่ได้จะไล่ตามจับเหล่านักผลิตเฟคนิวส์ให้กับไทย หากแต่เฟซบุ๊กจะดำเนินการลบให้ หากทางไทยตรวจสอบพบว่า มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นอวตาร
การไล่ลบแอคเคาท์อวตารเป็นแค่วิธีการล้อมคอกปัญหา คือ เกิดก่อนค่อยตามลบ เป็นการวิ่งไล่ปัญหา เหมือน “แมววิ่งไล่จับหนู” ที่ไล่อย่างไรก็ไม่จน
ลบ 1 เกิด 10 ลบ 10 เกิด 100 เฟซบุ๊กอาจเข้าใจปัญหาของไทยที่พบเรื่องการผลิตข่าวปลอม หากแต่อย่าลืมว่า เฟซบุ๊กก็เป็นบริษัทเอกชนที่หวังกำไร ต้องคำนึงถึงลูกค้าและสมาชิก การดำเนินการอาจมี แต่คงไม่สามารถคาดหวังได้ว่า จะช่วยไทยได้อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไม่ได้เผชิญแค่ “เฟคนิวส์” หากแต่พ่ายแพ้ในสงครามทางไซเบอร์แก่คู่แข่งทางการเมือง มันจึงทำให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้
คำว่า เฟคนิวส์ที่เฟซบุ๊กจะช่วยคือ การเผยแพร่ข่าวปลอมที่ไม่มีมูลความจริงและส่งผลกระทบต่อสาธารณชน ไม่รวมถึงการบิดเบือนทางการเมือง หรือการให้สัมภาษณ์ประเด็นการเมืองของนักการเมืองไทย ซึ่งรัฐบาลอาจกำลังเข้าใจผิดว่า มันคือ “เฟคนิวส์”
ดังนั้น มาตรการที่จะเกิดขึ้นอาจครอบคลุมแค่ข้อมูลข่าวสาร ไม่รวมประเด็นการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” ต้องการให้เฟซบุ๊กช่วย
การแก้ไขปัญหาเฟคนิวส์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การปรับโหมดงานประชาสัมพันธ์เข้าสู่ “เชิงรุก” มากกว่า “ตั้งรับ” อย่างที่ทำในปัจจุบัน
การให้ความสำคัญกับแนวร่วมในโลกโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่การผลิตคอนเทนต์ การสร้างความน่าสนใจของเนื้อหา มากกว่าการนำเสนอแบบ “ระบบราชการ” ที่น่าเบื่อ ไม่ทันโลก จะเห็นว่า วันนี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลประสบความสำเร็จในโลกไซเบอร์มาได้ เพราะมีสิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะจัดการเฟคนิวส์ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากแต่เฟคนิวส์จะสร้างความยุ่งยากในการทำงานให้กับรัฐบาลไม่ได้ถ้ามีการตอบโต้ที่รวดเร็ว กว้างขวาง และชัดเจน
มาตรการสกัดข่าวปลอม ต้องไม่ใช่ทำแบบขอไปที หรือมีแค่ศูนย์ต้านเฟคนิวส์ แต่ต้องมีระบบสำรวจตรวจสอบต่อเนื่องทุกนาทีในแต่ละวัน และแก้ได้ทันท่วงที
ถึงตรงนี้รัฐบาลยังต้องเหนื่อยเหมือนเดิม เพราะโลกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารมันรวดเร็ว ทุกคนมีโอกาสสร้างข่าวสารเพียงแค่ในมือมีโทรศัพท์เท่านั้น และปัญหาที่สำคัญคนไทยยังขาดความศรัทธาเชื่อมั่นในรัฐบาล