รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563 ตอน เปิดศึกแย่ง“ส.ส.งูเห่า” แผนยื้อเก้าอี้ “รัฐมนตรี”
ไทม์ไลน์การเมืองปีนี้ คึกคักตั้งแต่ต้นปีชวด เริ่มจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหมู่ทะลวงฟันได้รับมอบหมายมาเป็นเทรนเนอร์ กาหัว 4 รัฐมนตรี ที่จะโดนซักฟอก ได้แก่
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ
การอภิปรายคงไม่ได้มีเรื่องใหม่ที่หวือหวาอะไร เนื้อหาซักฟอกน่าจะเป็นหลอกด่ายุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากกว่า จะยุคนี้ เพราะรัฐบาลเพิ่งจะบริหารประเทศ นับตั้งแต่วันถวายสัตย์ปฏิญาณตนมาได้แค่ 4 – 5 เดือน ยังไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย ส่วนใหญ่ที่เป็นประเด็นไม่อยู่ในบัญชีดำของ ร.ต.อ.เฉลิม เลยสักคนเดียว
ประเมินแล้ว ไม่แคล้วเป็นเกม ลวง พราง ของจริงยังไม่เจอ คนที่ถูกปล่อยไม่ใช่เป้าหลัก แต่ถึงเวลาจะดุเดือดสมราคา ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิมหรือไม่ ต้องรอดู
เพราะงวดนี้ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นแค่กุนซือ ก็ไม่ได้เข้าสภามาอภิปรายเอง บรรดาแถวสองแถวสามในพรรคจะเข้าใจและทำให้มันดูเข้มข้นได้หรือไม่ ถือเป็นงานหลัก เพราะหลายเดือนที่ผ่านมา ถือว่า ทำงานได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานฝ่ายค้าน
ดูแล้วศึกซักฟอกหนนี้ เมื่อเนื้อหาไม่น่าจะมีอะไรชวนตื่นเต้น เร้าใจ นอกจากเรื่องเดิมๆ ที่เคยอภิปรายกันในสภาไปจนเก่าก่อนหน้านี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกในรัฐบาลนี้ คงเป็นแค่ศึกน้ำลาย ประดิษฐ์วาทกรรม มาจิกกัดกัน เท่านั้น รัฐบาลคงเอาตัวรอดได้
ซึ่งก่อนหน้าจะถึงศึกซักฟอก ก็มีการโหมโรง โดยเฉพาะกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ที่แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะเล่นใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คนจัดงานกังวลกระแสเริ่มจะตีกลับเพราะเอากิจกรรมการกุศล ไปยุ่งเกี่ยวการเมือง
จึงมีการปรับแผนลดขนาดกิจกรรมไปวิ่งกันในพื้นที่จำกัดอย่างสวนสาธารณะแทน ความเข้มข้นของงานจืงลงไปเยอะ จึงเหลือแค่เป็นสัญลักษณ์ เหมือนกับแฟลชม็อบ สีสันวูบวาบและดับลงไปในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนเป็นงานเผาหัว ก่อนเริ่มศึกครั้งต่อไปเท่านั้น
คาบเกี่ยวศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีคดีการเมืองร้อนๆ คาบเกี่ยวกับความตายของพรรคการเมืองอย่าง “อนาคตใหม่” ในคดีเป็นปฏิปักษ์ ล้มล้างการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่เรียกกันว่า “คดีอิลลูมินาติ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 มกราคม
คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธสืบพยาน และนัดอ่านคำพิพากษาในคดีนี้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีมติรับคำร้องคดีธนาธร ปล่อยเงินกู้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นให้ยุบพรรค วันที่ 21 มกราคมนี้ ชะตากรรมพรรคสีส้มน่าจะยังไม่ขาด
เพราะว่ากันตามเนื้อผ้า แม้หลายคนในพรรคอนาคตใหม่จะถูกมองว่า มีความคิดไปไกลจริง แต่ก็เป็นเพียงแนวคิด ไม่ใช่การกระทำ ดังนั้นจึงไม่น่ามีความผิด และคดีคงไม่ถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ โอกาสรอดดาบนี้ค่อนข้างมีสูง
“ของจริง” น่าจะเป็นคดีธนาธรปล่อยกู้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท ที่น้ำหนัก กฎหมาย เข้าข่ายให้ยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคได้ มากกว่า
คดีเงินกู้ 191 ล้านบาท น่าจะมีการไต่สวนพยานหลักฐานกันสักพัก เพราะเป็นคดีใหญ่ที่มีข้อกฎหมายต้องถกเถียง อีกทั้งข้อเท็จจริงมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่หลายปม ต้องขบให้แตกจึงจะวินิจฉัยได้
คดีนี้จะมีผลต่อการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 ด้วย เพราะหากพรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค จะมีผลต่อกระดานการเมืองไทยค่อนข้างมาก ในฐานะพรรคอันดับ 3
นับขุมกำลังที่จะยังอยู่กับพรรคสีส้มแบรนด์ใหม่ที่จะมีขึ้นหลังอนาคตใหม่โดนยุบ จำนวนคาดว่าน่าจะอยู่ราวๆ 40 ชีวิต ส่วนที่เหลือจะถือโอกาสตามรอย 4 ส.ส.ที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ตะเพิด ย้ายขั้วไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล
ที่ต้องจับตาคือ ส.ส.อนาคตใหม่เหล่านี้ ที่สละเรือลำเดิมย้ายขึ้นฝั่งใหม่จะไปอยู่กับใครมากน้อยแค่ไหน เพราะมีผลต่อโควต้ารัฐมนตรี ซึ่งจะมีการจัดสรรแบ่งสัดส่วนกันใหม่
พรรคไหนได้งูเห่าไปมากที่สุด ย่อมมีโอกาสได้โควตารัฐมนตรีเพิ่ม โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ มีหวังกระชากโควต้ารัฐมนตรีกลับมา เพราะมีส.ส.เพิ่มมากขึ้น
แต่นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีพรรคร่วมรัฐบาลสูญเสียโควต้ารัฐมนตรีบางกระทรวงไป เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราส่วนการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย คือ สองพรรคการเมืองที่แกนนำรัฐบาลหวังจะลดอำนาจต่อรองให้น้อยลง เพราะควบคุมกระทรวงสำคัญเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ
ก่อนคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ของพรรคอนาคตใหม่ น่าจะเห็นความเคลื่อนไหวของการพยายามดึงตัว ส.ส.เหล่านี้มาเพิ่มหน้าตักให้ตัวเอง
อย่างช็อตที่ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ลงทุนไปจีบ “จารึก ศรีอ่อน” ส.ส.จันทบุรี ที่นามสกุลเดียวกันแต่ไม่ใช่ญาติให้มาอยู่ค่ายสีฟ้า
ปกติไม่ค่อยเห็นพรรคประชาธิปัตย์ ทำอะไรโจ่งแจ้งแบบนี้ มันจึงสะท้อนให้เห็นว่า ปริมาณ ส.ส.ในมือของพรรคร่วมรัฐบาลมีความสำคัญขนาดไหน
จับตาได้เลยว่า ตั้งแต่ต้นปีจะมีข่าว ส.ส.สีส้ม เชื่อมโยงกับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง