ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กางไทม์ไลน์การเมืองไทย “ปีชวด” มีแนวโน้มอุณหภูมิเดือดกว่าปีนี้
หลังมีหลายสิ่งบ่งชี้ว่า มวลชนกำลังจะลงถนนอีกครั้ง เมื่อ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตัดสินใจทิ้งเกมในสภา บ่ายหน้าหามวลชนเป็นแบ๊คอัพ
เผาหัวประเดิมจุด “แฟลชม็อบ” เช็กกระแสโซเชียลมีเดียว่า แปรเปลี่ยนเป็นประชาชนตัวเป็น ไม่ใช่ไอดีอวตาร ว่ามีกี่มากน้อยไปแล้วเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา พร้อมโหมประโคมเชิญชวนให้แฟนนานุแฟนเข้าร่วมอีเวนท์ “วิ่ง ไล่ ลุง” วันที่ 12 มกราคม ปีหน้า ราวกับเป็นผู้จัดเอง
เป็นการก่อฟืน เลี้ยงอารมณ์มวลชน หากสถานการณ์วันใดวันหนึ่งเกิดสุกงอม จากเงื่อนไขบางประการ เฉกเช่นในวันที่ กปปส. เป่านกหวีด เรียกมวลชนออกมาตะเพิดรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังประเมินผิดรุนแรง ดันทุรังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย จนประชาชนพร้อมใจกันฮือเข้ากรุง
แต่วันนี้เงื่อนไข “เรียกแขก” อย่างวันนั้นยังไม่มี แต่สิ่งที่ทำได้คือ ปูทาง การเคลื่อนไหวบนภาคถนนเอาไว้ก่อน รอเงื่อนไขจากความผิดพลาดของรัฐบาล ที่อาจ “สะดุดขาตัวเอง” จนประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ หยิบลงกองไฟที่ก่อฟืนทิ้งเอาไว้แล้ว
สถานการณ์จะเดินไปถึงจุดนั้นหรือไม่ ต้องดูที่บรรยากาศตั้งแต่ต้นปีที่ 7 พรรคฝ่ายค้าน กาปฏิทินเอาไว้ว่า จะเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี ประมาณปลายเดือนมกราคม 2563
เบื้องต้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ปล่อยรายชื่อ 4 เสนาบดี ออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว ประกอบด้วย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม - “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี - “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ “ทูตดอน” ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ
เน้นหนักไปที่การบริหารงานล้มเหลวใน “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1” แต่ดูแล้วไม่ได้มีแค่นี้ เพราะระดับบิ๊กๆ ที่เป็น “สายล่อฟ้า” ไม่มีชื่อ ถือเป็น “ไม้เด็ด” ที่ไม่ยอมปล่อยออกมาให้รัฐบาลมีเวลาทำการบ้านก่อน
ต้องดูว่า 7 พรรคฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ได้สมราคากับที่ตีฆ้องร้องเป่าและโหมโรงหรือไม่ หรือจะบ้อท่า ทำได้แค่ขุดของเก่า เล่าเรื่องเดิม เน้นสำนวนโวหาร หลอก ด่า จิก กัด ได้แต่สะใจ แต่ไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานให้กับ “รัฐบาลประยุทธ์” ได้
แต่หากเซอร์ไพร์ส ปล่อยของ จัดหนักรัฐมนตรีในรัฐบาลคนใดคนหนึ่งได้สำเร็จ โดยเฉพาะประเด็นทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ไม่ต้องถึงขั้นมีใบเสร็จ แต่มีมูลน่าเชื่อถือ แบบนี้เรื่องยาว เพราะแม้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะจบ แต่การตรวจสอบจะเริ่มนับหนึ่ง
หนัก - เบา อยู่ที่การทุจริตคอร์รัปชั่นน่าเกลียดขนาดไหน หากโจ๋งครึ่มแบบทุจริตโครงการรับจำนำข้าว อย่างนี้เรื่องยาว 7 พรรคฝ่ายค้าน “กัดไม่ปล่อย” เล่นกับกระแสแน่
หนังตัวอย่างมีให้เห็นแล้วคือ กรณีปมถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบของ “บิ๊กตู่” กว่าจะสร่างซาไปได้ ตีกินกันไปเป็นเดือนๆ
ถ้าแบบกล่าวหาทั่วไป ดับได้ด้วยการส่งไปตรวจสอบ ศึกซักฟอกจะจบฤดูกาล รัฐบาลสามารถเดินเครื่องต่อไปได้โดยไม่ต้องระแวงหน้าระแวงหลัง
แต่ก็มีประเด็นแทรกที่ต้องจับตา โดยเฉพาะชะตากรรมของ “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ทั้งนัดหมายฟังคำพิพากษาคดีล้มล้างการปกครองในวันที่ 21 มกราคม 63 หรือกรณี “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” ปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ที่ประเด็นหลังค่อนข้างมีน้ำหนักให้ฟันได้ง่ายๆ
แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่า หากมีการยุบ “ค่ายสีส้ม” จริง อาจจะนำไปสู่ “จลาจลกลางเมือง” แต่ประเมินจาก “แฟลชม็อบ” หนก่อน ที่เหล็กกำลังร้อน กกต.เพิ่งยื่นถึงมือศาลรัฐธรรมนูญใหม่ๆ ที่ในโลกโซเชียลมีเดีย อินพ่อฟ้ากันชนิดโพสต์ “ร่างกายต้องการปะทะแก๊สน้ำตา” ถือว่า จุดไฟลำบาก
“ธนาธร” อาจป๊อปปูล่า “อนาคตใหม่” อาจมีแนวร่วมเป็นคนรุ่นใหม่เยอะ แต่คดีเงินกู้ 191 ล้านบาท เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของหัวหน้าและลูกพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นประโยชน์ของสาธารณะ
กลายเป็นเรื่อง “ส่วนตัว-ส่วนพรรค” เชื้อไม่เพียงพอต่อการจะเรียกให้คนออกมาถนนเพื่อตายแทนได้
ขณะเดียวกัน รายวิชา “ม็อบยุค 4.0” แม้จะเผยแพร่ข่าวได้เร็ว ใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวประโคมโหมโรง แต่เวลาเอาคนลงถนนไม่เหมือนกับการโพสต์ แฮชแท็ก และแชร์ ในโลกออนไลน์เพียงแค่ดีดนิ้วมือ
ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยจมอยู่ในวังวนปลุกคนลงถนนมานานเป็นสิบๆ ปี ที่ผ่านมาประชาชนถูกดำเนินคดี บาดเจ็บล้มตายกันไม่รู้เท่าไหร่ แต่ผลลัพธ์กับเป็นแกนนำม็อบที่นอกจากจะไม่เป็นอะไรแม้แต่รอยข่วน ยังได้ดิบได้ดี เป็นรัฐมนตรี กับรวยอู้ฟู่กันมานักต่อนัก
ประชาชนเริ่มตื่นรู้ว่า รักชอบ เกลียดชังฝ่ายไหน แต่จะไม่ยอมไปตายแทนใคร เต็มที่ออกมาแสดงออกวูบวาบ เหมือนกับ “แฟลชม็อบ” ของ “เสี่ยเอก” แต่ให้ไปนอนบนดิน กินบนถนน แบบอดีต คงมีไม่มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว
คนในประเทศเริ่มมองเห็นว่า ม็อบการเมืองคือ ส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่ หลายขวบปีที่ต้องติดหล่มลูปเดิมๆ ทำให้เพื่อนบ้านต่างทยอยแซงหน้า
ม็อบยิ่งยืดเยื้อเท่าไร ความเสียหายยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ได้แค่ความสะใจ แต่ประเทศเสียหายย่อยยับ ตลกร้ายกว่า แม้จะประสบความสำเร็จในการขับไล่ฝ่ายตรงข้ามออกจากอำนาจไปได้ แต่หลายครั้งพิสูจน์แล้วว่า สิ่งใหม่ที่มาแทนที่คือ อีกขั้วอำนาจหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ได้คนดี ไม่ทุจริตคดโกง ตามอุดมคติ
เอ็งชั่ว ข้าเลว แค่สลับข้าง สุดท้ายกลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของนักการเมือง เมื่อทำลายอีกฝั่งได้ ก็ไม่เห็นหัวประชาชนที่ออกมาบาดเจ็บล้มตายแทน
ที่สำคัญ การทำม็อบไม่เหมือนทำกิจกรรม การเผด็จศึกฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐไม่ใช่ของกล้วยๆ ขนาด กปปส.มีเงื่อนไขเรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ที่กระตุ้นความรู้สึกของคนทั่วประเทศให้เลือดขึ้นหน้า ยังต้องลากไปครึ่งค่อนปี
ครั้นจะพูดว่าสำเร็จก็ไม่เชิงนัก เพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นอำนาจวาสนา เพราะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจออกมาดับสงครามการเมืองด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
นอกจากนี้ การทำม็อบต้องใช้ “ทุนทรัพย์” ไม่น้อย ยิ่งยืดเยื้อยิ่งหมดตัว มวลชนเริ่มหดหาย และยิ่งนานประเทศยิ่งวิกฤต ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วทำได้เลย
หากรัฐบาลไม่กระทำการอันเกินกว่าประชาชนจะรับไหว ทุจริตคอร์รัปชั่นทั่วทุกระแหง ปฏิบัติสองมาตรฐานระหว่างพวกพ้องตัวเองกับคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง ต่อให้เศรษฐกิจจะชะลอตัว ฝืดเคือง ก็ยากที่จะจุดม็อบติดได้ในยุคนี้
มวลชนอีกฝั่งอาจไม่ชอบ “บิ๊กตู่” แต่หากต้องให้เลือกระหว่าง “บิ๊กตู่” กับลูปเดิมอย่าง “ม็อบ” ตัวเลือกแรกอาจเป็นคำตอบมากกว่า
การที่ “ธนาธร” พยายามจะฝืน เพื่อพาสถานการณ์ไปสู่ความวุ่นวายอีกครั้งของประเทศ หลังจากว่างเว้นมาตั้งแต่ปี 2557 ถือว่า สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก และอาจกลายเป็น “ดาบสองคม” แก่ตัวเอง
เพราะในสถานการณ์ที่บ้านเมืองยังเดินต่อไปได้ ไม่ได้ขัดแย้งรุนแรงเมื่อเทียบกับปฐมเหตุเมื่อในอดีต การทำม็อบในช่วงที่ประเทศไม่ได้ถึงทางตัน มีโอกาสจะถูกกระแสตีกลับ
การชุมนุมจะเป็นการซ้ำเติมประเทศที่กำลังเผชิญจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก หรือเป็นช่วงเปราะบางที่ทุกฝ่ายต้องประคับประคองกันไปให้รอดได้ เหมือนเป็นการซ้ำเติมให้สภาวะที่ “ทรง” ไปสู่จุดที่ “ทรุด” เร็วขึ้น
นานาประเทศจะขาดความเชื่อมั่น นักลงทุนจะเตลิดออกไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองไทย ซึ่งกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ในช่วง 6-7 ปี ที่ผ่านมา ทุกฝ่ายเลือดตาแทบกระเด็น
การพาถอยกลับไป โดยการชุมนุมยืดเยื้อรังแต่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในประเทศ และหากลงท้ายด้วยความล้มเหลว จากที่ต้องการเป็น “พระเอก” ประเทศไทยอาจจะได้ตัวร้ายตัวใหม่ชื่อ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”
หันไปดูม็อบ 4.0 เกาะฮ่องกง ที่มี “ตี๋หว่อง” โจชัว หว่อง น้องเลิฟของ “เฮียทอน” เป็นแกนนำดูก็ได้ ต้องยอมรับว่า ประชาชนชาวฮ่องกง ตื่นตัวพอสมควรกับการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองเพื่อแยกออกจากจีนครั้งนี้
แต่ปัจจุบันแกนนำม็อบที่เขตบริหารพิเศษแห่งนี้กำลังกลายเป็นคนที่ทำลายประเทศด้วยน้ำมือตนเอง เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว พังพินาศไปขนาดไหนแล้ว
นอกจากไม่ชนะแล้ว ยังทำให้ประเทศเสียศูนย์ ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม
การชุมนุมของ “ธนาธร” นั้น ลำพังถ้าต้องมีการปิดถนนที่สร้างความหายทางเศรษฐกิจแล้ว หากเกิดเหตุความรุนแรง มีการสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่หวังดี เหมือนกับสารพัดม็อบในประเทศไทยที่ต้องเจอมา จะทำให้ควบคุมได้ยากมาก
และถ้าถึงวันนั้น สถานะของ “ธนาธร” อาจจะตกที่นั่งลำบากมากกว่าเดิม เพราะเป็นการต่อสู้ที่ไม่ชอบธรรมมาตั้งแต่แรก โดยเริ่มจากการปกป้องผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง และอาศัยเรื่องอื่นมาผสมปนเปกัน
ความวุ่นวายจากการชุมนุม อันส่งผลกระทบต่อประเทศในหลายด้าน ซึ่งจะเกิดขึ้นตามลำดับ จะทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกถึงสิ่งที่คนมักไม่ให้ความสำคัญไปอย่าง “เรื่องความสงบเรียบร้อย” อันเกิดขึ้นในยุคที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของ “บิ๊กตู่” ซึ่งหลายคนมองข้าม จะถูกนึกถึง วันนี้คนอาจไม่ปลื้มกับฝีมือการบริหารงานของ “บิ๊กตู่” และทีมงานบน “เรือเหล็ก” เพราะคิดว่า น่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่หากต้องเลือกระหว่างสถานการณ์ที่พอเดินไปได้ กับ “ม็อบ” ที่จะทำให้ประเทศชะงักงัน ประชาชนย่อมเลือกสิ่งที่ปกติสุขมากกว่า
ซึ่งพื้นฐานสำคัญ คือ เสถียรภาพของประเทศ อันต้องมาจากความสงบเรียบร้อยก่อนมาเป็นอันดับแรก เมื่อถึงวันนั้นวันที่ประเทศกลับวังวนเดิม ประเด็นนี้จะถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบอย่างแน่นอน
ลืมไม่ได้ด้วยว่า ความสำเร็จในการเลือกตั้งของ “ค่ายพลังประชารัฐ” ส่วนหนึ่งมาจากความเข้มขลังของแคมเปญ “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่”
หากเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อใด “ธนาธร” ในภาพ “พระเอก” จะค่อยๆ เปลี่ยนไป อันมาจากการนำพาประเทศ “ติดหล่ม” อีกครั้ง เพราะยุทธวิธีการเมืองแบบเก่า ซึ่งย้อนแย้งและสวนทางกับภาพลักษณ์ที่พรรคอนาคตใหม่นำเสนอว่า เป็น “คนรุ่นใหม่”
ไม่ใช่แค่นั้นการทำม็อบนั้น เดิมพันสูง “คนแพ้” มีสิทธิ์ติดคุก เฉกเช่นเมื่อครั้งที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งสุดท้ายกระทำไม่สำเร็จ บรรดาแกนนำ โดยเฉพาะ “สามเกลอ” ทั้ง “นายหัว” วีระกานต์ มุสิกพงศ์ - “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ - “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องติดคุกติดตะราง และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่จนถึงทุกวันนี้
วันเวลาผ่านไป จากวันที่เป็นแกนนำ มีกองเชียร์แฟนคลับมากมาย สุดท้ายวันนี้แต่ละคนไม่ได้เหมือนกับวันนั้นอีกเลย สภาพทั้ง 3 คน กลายเป็นแค่อดีตแกนนำที่เริ่มหมดยุค
โทษคุกสำหรับแกนนำอาจจะยังดีด้วยซ้ำ เพราะหากร้ายแรงสุด “ธนาธร” อาจอยู่ประเทศไม่ได้
ในขณะที่ “บิ๊กตู่” ที่หลายคนค่อนแคะเรื่องการบริหารประเทศ ก็อาจได้รับแรงสวิงกลับมา เพราะประชาชนจะโหยหาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเล็งเห็นแล้วว่า มีความสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน
“ม็อบสีส้ม” อาจทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ชายสองคนสวนทางกัน ระหว่าง “เฮียทอน” กับ “ลุงตู่”
คนหนึ่งเคยเป็นความหวังใหม่ของประเทศ แต่หนีไม่พ้นวัฏจักรการเมืองแบบเดิมๆ ในขณะที่คนหนึ่งถูกมองว่า หัวโบราณล้าสมัย กลับทำให้ประเทศสงบสุข ขับเคลื่อนได้เต็มที่
สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยแบบนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกมันสุ่มเสี่ยงอย่างมากกับการที่จะทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง หรือล้มฟุ่บไปอีกครั้ง และอาจสาหัสกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา
อย่าลืมว่า ณ จุดนี้ แม้เศรษฐกิจในประเทศจะซบเซา แต่ถ้าเทียบกับชาติอื่นที่ถูกผลกระทบจากสงครามการค้าโลกแล้ว ไทยค่อนข้างมีรากฐานที่มั่นคงพอสมควร
ส่วนหนึ่งเพราะ “ความสงบ” ที่เป็น “ต้นทุน”
ดังนั้นเกมป่วนนอกสภา “ธนาธร” อาจจะทำให้ “บิ๊กตู่” ดูดีขึ้นมาก็ได้.