ศาลฎีกายกคำร้อง “อังคณา นีละไพจิตร” เมียทนายสมชาย ขอสืบพยานเพิ่ม คดีจำคุก 3 ปี “พ.ต.ต.เงิน ทองสุก” อดีตตำรวจอุ้มทนายสมชาย ปี 47
วันนี้ (21 พ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคำร้อง ของนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ในส่วนที่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อขอให้ศาลสืบพยานเพิ่มเติมในชั้นศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำที่ ด.1952/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 42 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 38 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และพ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 45 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. จำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการอุ้มหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร เมื่อปี 2546
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2547 สรุปว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2547 จำเลยทั้งห้ากับพวก ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมชาย ผู้เสียหายซึ่งหายตัวไป และลักทรัพย์เอารถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภง 6768-กรุงเทพฯ, นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน, ปากกายี่ห้อมองบลังค์ 1 ด้าม และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 903,460 บาท โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชากตัวนายสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้ง 5 แล้วจับตัวพาไป จนถึงขณะนี้ไม่ทราบว่านายสมชายจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อมาวันที่ 16 มี.ค. 2547 พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ของนายสมชาย ผู้เสียหายที่ถูกจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันปล้นทรัพย์ไปดังกล่าวเป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 8 เม.ย. 2547 จำเลยที่ 1-4 เข้ามอบตัว และวันที่ 30 เม.ย. 2547 จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2549 ให้จำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี และยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด แต่ พ.ต.ต.เงินไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยนายประกันอ้างว่าจำเลยที่ 1 หายสาบสูญไป จึงถูกออกหมายจับ พร้อมสั่งปรับนายประกันเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท
ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ระหว่างการสืบพยานในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ โจทก์ไม่ได้นำพยานเข้าสืบตั้งแต่แรก จึงไม่รับพยานหลักฐานเพิ่มเติม ให้ยกคำร้อง
นางอังคณา กล่าวภายหลังฟังคำสั่งศาลว่า ในคดีนี้ตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาสืบพยานเพิ่มเติม แต่ศาลเห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกพยานได้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์จึงมีคำสั่งยกคำร้อง นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฏีกาในอีก 3 ประเด็น คือ 1. ขอให้ศาลรับฎีกา 2. ขอให้ตนและครอบครัวเข้าเป็นโจทก์ร่วม และ 3. ขอให้ศาลฎีการับฟังหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของพวกจำเลย ที่ครอบครัวได้ยื่นอุทธรณ์ไป ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ไม่รับพิจารณา โดยคำร้องดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งตนเชื่อว่าศาลน่าจะรับฏีกาไว้พิจารณา
นางอังคณากล่าวอีกว่า คดีนี้แม้ว่าศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องและทางอัยการจะมีความเห็นไม่ยื่นฎีกา แต่ทางแต่ทางครอบครัวเห็นว่าควรจะต้องยื่นฎีกาต่อ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการต่อสู้คดีอุ้มหายตัวไป โดยส่วนตนไม่เชื่อว่า พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 หายสาบสูญไปจริงๆตามที่ทนายความจำเลยกล่าวอ้างและขอให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบ แต่ตนเชื่อว่า พ.ต.ต.เงิน น่าจะยังอยู่ โดยตนได้รับทราบข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่า พ.ต.ต.เงินหลบหนีอยู่ตามแนวชายแดน จึงขอให้ดีเอสไอตามสืบสวนด้วยว่า พ.ต.ต.เงินหายไปจริงหรือไม่