สน.พระอาทิตย์/สามยอด
ถึงแม้จะมีความพยายามทำคดีการอุ้มฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจด้านการเงิน และเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ คู่ปรับคนสำคัญในระบอบทักษิณเพื่อจะให้ดูเหมือนว่าตรงไปตรงมาโปรงใส่ ขนาดยอมให้ญาติและทีมทนายความของนายเอกยุทธเข้าร่วมสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียดทุกขั้น ทุกตอน
แต่ดูเหมือนความคลางแคลงใจตำรวจว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่อย่างไร ก็ยังไม่สามารถทำให้สังคมคล้อยตามมูลเหตุการสังหารมาจากการชิงทรัพย์อย่างเดียว
ไม่ใช่ฆาตกรรมอำพราง!!!
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมไม่เชื่อว่าคดีนี้เป็นเพียงการชิงทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่เพราะพยานหลักฐานต่างๆไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของตำรวจที่เกี่ยวข้องต่างหากที่สร้างความสับสนและคลุมเครือ บางครั้งเกิดข้อสงสัย อะไรจริงอะไรเท็จกันแน่ จนไม่น่าเชื่อถือ
โดยเฉพาะการจับกุมคนขับรถผู้ต้องหาฆ่าเอกยุทธ ช่วงแรกพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. บอกผู้สื่อข่าวตำรวจสามารถจับกุมคนขับรถได้แล้ว แต่พอนักข่าวไปสัมภาษณ์พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างผบช.น. ก็ปฎิเสธการจับกุม ก่อนที่รุ่งขึ้นอีกวันก็มีข่าวชุดสืบสวนนครบาลจับกุมคนขับรถได้จริงๆและนำตัวมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
เช่นเดียวกับช่วงที่นำคนขับรถมาแถลงข่าว สันติภาพ เพ็งด้วง ก็เล่าการหายตัวไปของเอกยุทธเป็นคุ้งเป็นแควต่อหน้าตำรวจและสื่อมวลชน แต่พอตกเย็นก็มีข่าวสันติภาพยอมรับสารภาพเป็นผู้ลงมือฆ่าเอกยุทธนำศพไปฝั่งที่จังหวัดพัทลุง เพื่อต้องการชิงทรัพย์เงินสด 5 ล้านบาท
พฤติกรรมตำรวจที่สร้างความสับสน จนทำให้สังคมไม่เชื่อถือต่อการทำงาน ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม จะโทษลูกน้องอย่างเดียวก็คงไม่ถูก โดยเฉพาะภาพการถูกชักจูงจากระบอบทักษิณ เพราะหากหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กล้ากระดิก สังคมจึงต้องเพ่งเล็งว่าเมื่อเกิดเหตุกับคู่ปรับระบอบทักษิณคนสำคัญที่ออกมาขยับข้อมูลสู่สาธารณะทีไรก็สะเทือนทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้พี่ หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้น้อง ว่าก็น่าจะมีตำรวจอยู่ในกลุ่มก๊วนที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่างานถนัดของคนสีกากี
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำหน้าที่แม่ทัพสีกากี นับตั้งแต่พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เข้ารับตำแหน่งผบ.ตร.ปลายปี 2555 ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงครหาได้รับการสนับสนุนจากพ.ต.ท.ทักษิณให้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 กรมปทุมวัน จนสามารถข้ามอาวุโสพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. รุ่นพี่ขึ้นมาเป็นผู้นำตำรวจ จะถูกจับตาการเอนเอียงในการทำหน้าที่เข้าข้างระบบทักษิณหรือไม่
แต่ดูเหมือนพล.ต.อ.อดุลย์ ก็สามารถยืนหยัดฝ่าฟันกระแสข้อสงสัย ข้อครหา แสดงให้สังคมเห็นความเป็นตำรวจอาชีพ ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างดีพอสมควร แม้บางช่วงบางตอนจะถูกหยิบยกเรื่องค้างคาในลิ้นชักผู้นำตำรวจเกี่ยวกับเรื่องการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ นักโทษหนีคดีตามคำพิพากษาศาลมาสอบถาม แต่พล.ต.อ.อดุลย์ก็สามารถผ่องถ่ายโยนเผือกร้อนออกจากมือได้อย่างเนียนๆ
กระทั้ง ผบ.อดุลย์ มาตกม้าตาย เผยธาตุแท้ตัวเองก็ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไปที่เอนอิงหลังพิงระบอบทักษิณเช่นกัน เพราะยอมฉีกกฎ ฉีกเกณฑ์ ที่ตัวเองเป็นถึงหัวหน้าหน่วยงาน หรี่ตาให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับระบอบทักษิณเติบโตยิ่งกว่าเทวดา จนสร้างความระส่ำระส่ายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆที่ได้รับรู้รับทราบ
เมื่อพล.ต.อ.อดุลย์ เสนอวงประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) แต่งตั้งข้าราชการตำรวจนอกวาระแต่งตั้งประจำปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายให้ กรรมการ ก.ตร.อนุมัติ แต่งตั้งพ.ต.ท.วทัญญู วิทยผโลทัย ผู้ช่วยนายเวร(สบ.3) เทียบเท่า รองผกก. ของพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ขึ้นเป็น ผู้ช่วยนายเวร(สบ.4) เทียบเท่า ผกก. ของ ผบ.ตร. หรือเป็นผู้ช่วยนายเวรตัวเอง
โดยขอยกเว้นหลักเกณฑ์การดำรงตำแหน่งระดับ รอง ผกก.ยังไม่ครบ 3 ปี คือดำรงตำแหน่งปัจจุบันเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2555 หรือเป็น รองผกก. แค่เพียง 1 ปี4 เดือนเท่านั้นก็สามารรถขึ้นเป็น ผกก.ได้
พ.ต.ท.วทัญญู หรือที่รู้จักกันในชื่อสารวัตรหนุ่ย เป็นตำรวจหน้าขาวๆที่คอยอารักขานายกฯยิ่งลักษณ์อย่างใกล้ชิด และเคยเป็นอดีตทีมรักษาความปลอดภัยให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ สมัยเป็น นายกรัฐมนตรี มีความใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรอย่างมาก
การแต่งตั้ง พ.ต.ท.วทัญญู ขึ้นเป็น ผู้ช่วยนายเวร ผบ.ตร. เทียบเท่า ผกก. ของพล.ต.อ.อดุลย์ จะไม่มีข้อครหาว่าพล.ต.อ.อดุลย์ยอมสยบระบอบทักษิณเลย ถ้าพ.ต.ท.วทัญญูขยับขึ้นตามกฎตามเกณฑ์ หรือตามการแต่งตั้งปกติ แต่การเสนอแต่งตั้งครั้งนี้กลับแหวกฝูงออกมาเหมือนมีความจำเป็นเร่งด่วน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ก็แหกกฎ แหกกติกาให้กับลูกน้องพ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้วเที่ยวหนึ่ง เมื่อเซ็นอนุมัติยกเว้นหลักเกณฑ์ให้พ.ต.ท.วทัญญู เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตร ผกก.รุ่น 92 ที่มีกำหนดเรียนตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.2556 เป็นต้นมา และสิ้นสุดหลักสูตรวันที่ 7 มิถุนายน 2556 ที่วิทยาลัยการตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
ตามกฎกติกาผู้ที่มีสิทธิเข้าเรียนอบรมโรงเรียน ผกก. ต้องครองตำแหน่ง รองผกก.มาไม่น้อยกว่า 2 ปี บวกคะแนน 21 แต้ม (เป็นอย่างน้อย) คะแนนมาจาก ความประพฤติ 10 แต้ม วุฒิ ป.ตรี 6 แต้ม ป.โท 7 แต้ม 2 ขั้น 1 แต้ม ครั้งขั้น ครั้งแต้ม
แค่คุณสมบัติแรก พ.ต.ท.วทัญญูก็ไม่เข้าข่ายได้สิทธิเข้าเรียนแล้ว เพราะเพิ่งครองตำแหน่ง ผู้ช่วยนายเวร หรือเทียบเท่า รองผกก. เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2555นับถึงวันที่เริ่มเรียนวันที่ 18 ก.พ.2556 ก็ดำรงตำแหน่งไปเพียง 1 ปี 10 วัน ไม่ถึง 2 ปี ตามกฎ ระเบียบ กติกา ที่กำหนดไว้
การแหกกฎ แหกระเบียบ แหกกติกา ครั้งนั้น อาจจะให้ รองผกก. ที่อยู่ในข่ายเข้ารับการอบรมโรงเรียน ผกก. บางคนเสียสิทธิ เสียโอกาสไปบ้าง แต่การแหกกฎ แหกกติกา ยกเว้นหักเกณฑ์แต่งตั้ง พ.ต.ท.วทัญญู ขึ้นเป็น ผู้ช่วยนายเวร ผบ.ตร. ของพล.ต.อ.อดุลย์ ครั้งนี้สร้างความหดหู่ เสียขวัญให้กับตำรวจทั้งประเทศ และตอกย้ำภาพพจน์สีกากีอิงระบอบทักษิณให้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะคนที่เป็นถึงหลักของสตช.เปลี่ยนกฎรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวเสียแล้ว
ชาวบ้านคงต้องวังเวง...เอวัง!