xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึก...เฟซบุ๊ก!ช่วยหญิงไทยพ้นซ่องนรกแดนกิมจิ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นางเพียงใจ คิม อายุ 37 ปี( อาแท้ ๆ ของเด็กสาววัย 17 ) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ตามลำดับ ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก
เธอมีความใฝ่ฝันเหมือนสาวไทยทั่วไปที่ต้องการเดินทางไปขุดทองยังเมืองนอกเมืองนานำเงินมาจุนเจือครอบครัวและส่งเสียน้อง ๆ เรียนหนังสือสูง ๆ จะได้ไม่ลำบากเฉกเช่นเธอเอง

สมมติว่าเธอชื่อ "หวาน" สาววัย 17 ปี จากเมืองร้อยเอ็ด ด้วยผ่านการศึกษามาน้อย ครอบครัวก็ค่อนข้างลำบาก เส้นทางสายอาชีพให้เธอเลือกจึงลดน้อยลงไปด้วย แต่เธอโชคดีที่มีอาสาว น้องของพ่อเธอ ได้สามีเป็นนักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ เปิดร้านนวดแผนไทยจนร่ำรวยยอยู่ที่กรุงโซล เธอจึงติดต่ออาขอไปทำงานนวดแผนโบราณที่นั่นด้วย

ระหว่างที่รอการดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทางและจองตั๋วเครื่องบินอยู่นั้น เธอก็ถูกส่งตัวไปทำงานที่ร้านรับสอนนวดแผนโบราณที่พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อรอวันจะโบยบินไปเก็บเงินวอนที่เกาหลี

วันที่ 4 พฤษภาคมเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีชายชาวเกาหลีใต้ และสาวชาวไทยเดินทางมารับตัวเธอที่พัทยา ก่อนพาขึ้นเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไป กระทั่งถึงกรุงโซลตอน 6 โมงเช้าของวันที่ 5 พฤษภาคม

เมื่อไปถึงสนามบินก็มีอาของเธอและชาวเกาหลีอีกกลุ่มมารับถึงสนามบิน เมื่อเท้าเหยียบพื้นแดนกิมจิเธอก็ถูกยึดหนังสือเดินทางทันที

ต่อมาพวกนั้นก็พาหวานไปพักยังอพาร์ทเม้นท์ใจกลางกรุงโซล เมื่อเก็บข้าวของเสร็จก็พามายังร้าน “อยุธยา” ซึ่งเป็นร้านนวดแผนไทยหรูหรา ห่างจากที่พักเพียงไม่กี่ก้าว

วันแรกเธอก็ถูกบังคับให้รับแขก 2 คน พวกนั้นอ้างว่าเพื่อแลกกับหนี้สินค่าเดินทาง ค่าดำเนินการขอหนังสือเดินทาง ค่าที่พักและค่าอาหาร รวม 5 หมื่นบาท โดยคิดค่าบริการจากแขกครั้งละ 6 หมื่น - 1 แสนวอน หรือประมาณ 2-3 พันบาท โดยเธอได้ค่าส่วนแบ่งเพียง 5 พันวอน หรือประมาณ 150 บาท เท่านั้น

วันต่อมาหวานต้องถูกบังคับให้ทำงานรองรับความกลัดมันของแขกเกาหลีประมาณวันละ 4-5 คน บางคืนเธอถึงกับสะอื้นไห้เมื่อเจอนักเที่ยวกามวิตถาร ระหว่างที่ถูกบังคับค้ากามอยู่นั้นเธอทราบว่ามีหญิงไทยอีกหลายรายที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเธอ แต่เธอก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เนื่องจากพวกนั้นกันไม่ให้หญิงไทยในร้านได้เจอหน้ากัน

โศกนาฏกรรมที่เธอได้พบเจอเกินทนรับไหวสำหรับเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง เธอคิดถึงบ้านเกิด คิดถึงพ่อแม่พี่น้องและ คิดถึงเพื่อน ๆ ที่เมืองไทย เธอขอร้องให้พวกมาเฟียที่คอยติดตามควบคุมตัวเธอตลอดเวลาที่อยู่ในกรุงโซลปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่เป็นผล พวกนั้นอ้างว่าเธอต้องทำงานใช้หนี้ที่ติดค้างอยู่ให้หมดเสียก่อนถึงจะกลับเมืองไทยได้

เธอจึงร้องขออ้อนวอนอาสาวแท้ ๆ ให้ช่วยเหลือ เนื่องจากสามีชาวเกาหลีของอาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่ที่ร้านอยุธยาด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

แต่แล้วชีวิตมืดมนในต่างบ้านต่างเมืองก็พบแสงสว่างเล็ก ๆ บนโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เมื่อเธอโพสต์เฟซบุ๊กบอกเล่าเรื่องราวโหดร้ายที่เธอไปเจอด้วยตัวเองที่เกาหลีใต้ โดยการใช้สัญญาณไวไฟ ที่รัฐบาลที่นั่นบริการให้กับประชาชนฟรี ๆ

“ช่วยด้วย หนูถูกหลอกไปค้าบริการทางเพศที่ ร้านอยุธยา ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ต้องทำงานรับแขกวันละ 20 ชั่วโมง”

จากนั้นก็มีหญิงสาวใจดีคนหนึ่งชื่อ “นุ่น” ทำงานอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ธานินทร์ จินดามณี รอง ผกก.สส.สภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร มาพบเจอข้อความขอความช่วยเหลือ

ตอนแรก “นุ่น” และ พ.ต.ท.ธานินทร์ ไม่ค่อยเชื่อใจหวานมากนัก จึงใช้ให้เธอกดเช็คอินสถานที่ให้ดู ปรากฏว่าเธออยู่ที่เกาหลีใต้จริง จากนั้นก็ขอข้อมูลต่าง ๆ เช่นที่ตั้งของร้าน ภาพแขกที่มาใช้บริการ แล้วทั้งสองรับปากว่าจะหาช่องทางช่วยเหลือเธอออกมาจากซ่องนรกเกาหลีนั่นให้ได้

หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พม.จึงส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อน พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านกฎหมาย จะส่งเรื่องให้ พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ผบก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.ประคัลภ์ แสงส่องฟ้า รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 ปคม.และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กก. 1 บก.ป. สืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว
อย่างละเอียดอีกครั้ง กระทั่งพบว่าคดีมีมูลจึงรีบรายงานให้เจ้าหน้าที่กงสุลไทยในเกาหลีใต้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงโซล เข้าช่วยเหลือ น.ส.หวาน พ้นนรกในเมืองศิวิไลซ์ได้สำเร็จ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ส่งตัวเธอกลับบ้านเกิด ทันทีที่เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 4 ทุ่มของวันที่18 พฤษภาคม เธอถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อเจอหน้าแม่ ตำรวจ ปคคม.และเจ้าหน้าที่ พม. ไปรอรับ

พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กก. 1 บก.ป. เดินทางไปศาลอาญารัชดาฯ เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นางเพียงใจ พันธุ์ปลาโด ซึ่งเป็นอาแท้ ๆ ของ น.ส.หวาน ชายชาวเกาหลี และหญิงไทยที่นำตัว น.ส.หวาน ขึ้นเครื่องไปกรุงโซล

จากนั้นบ่ายวันที่ 22 พฤษภาคม ศาลอาญาก็ได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นางเพียงใจ คิม หรือพันธุ์ปลาโด อายุ 37 ปี อาแท้ของ น.ส.หวาน และผู้ที่พาน.ส.หวานขึ้นเครื่องไปเกาหลี 2 รายคือ นายชุน ซอง กึม หรือเอ็ม อายุ 36 ปี และ น.ส.ทิพย์วรรณ เต็มเปา อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ตามลำดับ ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก

พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า หลังจากนี้ทางเราก็จะทำเรื่องเสนอต่อ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด,กองการต่างประเทศ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตำรวจสากลประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นทราบว่า นางเพียงใจ ได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม.แล้วว่า จะเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดี โดยขณะนี้ยังอยู่ในต่างประเทศ หากเดินทางกลับมาเมื่อใดก็จะประสานกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เพื่อรับตัวที่ สนามบินสุวรรณภูมิ

ส่วนชาวเกาหลีที่ทำหน้าที่ดูแลร้าน เก็บเงินค่าบริการทางเพศจากแขก และมาเฟียที่ควบคุม น.ส.หวานประมาณ 7 ราย ทางเราจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้ว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งต้องดูข้อกฎหมายการค้ามนุษย์ของประเทศของเขาก่อน

“คดีนี้ต้องยกย่อง น.ส.หวานที่มีปฏิญาณไหวพริบดีมาก ที่ใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เช่นเฟซบุ๊ก โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือให้กับตัวเองได้ ซึ่งอยากให้วัยรุ่นไทย ดูกรณีของเธอเป็นตัวอย่าง” ผบก.ปคม.กล่าว

นอกจากกรณีของ น.ส.หวาน แล้วยังพบว่ามีหญิงไทยอีก 1 ราย ซึ่งถูกหลอกลวงให้เดินทางไปยังกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แต่กลับถูกบังคับให้ค้าประเวณี เช่นเดียวกัน แต่เหตุเกิดที่ร้านชื่อวัดโพธิ์ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยจะให้ผู้เสียหายได้ตรวจสอบรูปของผู้ต้องสงสัยว่า เป็นขบวนการค้ามนุษย์กลุ่มเดียวกันหรือไม่ รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกันในการร่วมกระทำความผิดหรือไม่อย่างไร

พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า อยากฝากเตือนหญิงไทยที่จะไปขุดทองต่างประเทศว่า จากการรวบรวมข้อมูลของตำรวจพบว่าพฤติกรรมของพวกค้ามนุษย์นั้นร้อยทั้งร้อยจะใช้เทคนิคโน้มน้าวเก่ง โดยอ้างว่า งานสบาย รายได้ดี และจะออกค่าดำเนินการทำหนังสือเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับให้ก่อน ค่อยไปหักลบกลบหนี้กันเมื่อได้ทำงานแล้ว เมื่อหญิงสาวหลงเชื่อเดินทางไปถึงประเทศต้นทางก็จะถูกยึดหนังสือเดินทาง และบังคับค้าประเวณี อ้างว่าใช้หนี้
พร้อมทั้งข่มขู่ต่าง ๆ นานา เช่นกรณีของ น.ส.หวาน พวกมาเฟียขู่เธอว่า อย่าหนีไปขอความช่วยเหลือกับตำรวจที่นี่ให้เสียเวลาเลย เพราะตำรวจในกรุงโซลเป็นพรรคพวกของเขาหมด

“ทั้งนี้หากต้องการจะไปทำงานต่างประเทศต้องตรวจสอบที่กรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ว่ามีตำแหน่งใดบ้าง เงินเดือนเท่าไหร่ มีตำแหน่งว่างแน่นอนหรือไม่ แค่นี้ก็ไม่ถูกหลอกแล้วครับ” ผบก.ปคม. กล่าวเตือน

ถือเป็นการรอดพ้นจากขบวนการค้ามนุษย์มาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งนี้หากเธอไม่รู้จักโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ไม่รู้จักใช้เฟซบุ๊กให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า เธอจะตกอยู่ในขุมนรกซ่องเกาหลีใต้อีกนานแค่ไหน.
น.ส.ทิพย์วรรณ เต็มเปา อายุ 26 ปี  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556
นางเพียงใจ คิม อายุ 37 ปี( อาแท้ ๆ ของเด็กสาววัย 17 )  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556
ภาพภายในซอยร้านอยุธยาที่เธอโพสต์ในเฟสขอความช่วยเหลือ
นางเพียงใจ คิม อายุ 37 ปี( อาแท้ ๆ ของเด็กสาววัย 17 ) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ตามลำดับ ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก
กำลังโหลดความคิดเห็น