ตม.สุวรรณภูมิ รวบแล้ว! อาแท้ๆ ลวงหลานสาววัย 17 ค้ากามเกาหลีใต้ ขณะเดินทางมาจากกรุงโซล ด้านเจ้าตัวปฏิเสธว่าที่ร้านดังกล่าวไม่มีการค้าประเวณีแต่อย่างใด ด้านตำรวจแจ้ง 5 ข้อหาหนัก ยันมีหลักฐานเอาผิดชัดเจน
วานนี้ (23 พ.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 21.30 น. พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชิตภพ โตเหมือน ผกก.1 ปคม. และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กก. 1 บก.ป. ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ด่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ตม.สุวรรณภูมิ) ว่า ได้ควบคุมตัว นางเพียงใจ หรือคิม พันธุ์ปลาโด อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก โดยควบคุมตัวได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเดินทางกลับจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ มาประเทศไทย ด้วยสายการบิน Eastar Jet เที่ยวบินที่ ZE511 จึงนำกำลังไปรับตัวมาสอบสวน
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก น.ส.เอ ( นามสมมติ) อายุ 17 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊กว่า ถูกผู้ต้องหาซึ่งเป็นอาแท้ๆ ร่วมกับพวกหลอกลวงไปทำงานนวดแผนไทยที่ร้านอยุธยา กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แต่เมื่อไปถึงกลับถูกยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ค้าประเวณี โดยได้ส่วนแบ่ง 5 พันวอน หรือ 150 บาทเท่านั้น ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม. และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ติดต่อเจ้าหน้าที่กงสุลไทยในเกาหลีใต้ ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงโซล เข้าช่วยเหลือ น.ส.เอ ได้สำเร็จ ก่อนนำตัวเหยื่อบินกลับมาถึงเมืองไทยในวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมา พนักงานสอบสวน บก.ปคม.ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญารัชดาฯ ออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นางเพียงใจ และผู้ที่พา น.ส.เอ เดินทางไปเกาหลีใต้ 2 รายคือ นายชุน ซอง กึม หรือเอ็ม อายุ 36 ปี ชาวเกาหลีใต้ และ น.ส.ทิพย์วรรณ เต็มเปา อายุ 26 ปี ในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก กระทั่งจับกุม นางเพียงใจ ได้ดังกล่าว
สอบสวน นางเพียงใจ ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้บังคับให้หลานสาวตัวเองเดินทางไปทำงานที่เกาหลีใต้ ขณะเดียวกัน การที่ไปทำงานนั้นก็ไม่ได้เป็นการค้าประเวณี เป็นเพียงร้านนวดแผนไทยธรรมดา ซึ่งมีผู้หญิงไทยทำงานอยู่ในร้านอีก 3 คน รวมทั้งตน และหลานที่ทำงานอยู่ด้วยก็เป็น 5 คน ตอนที่อยู่ด้วยกันก็กินนอนอยู่ด้วยกันตลอดไม่ได้มีใครมาควบคุม หรือขู่บังคับ ตนมีหลักฐานหลายอย่างที่เป็นกล้องวงจรปิดยืนยันได้ เชื่อว่าที่หลานขอความช่วยเหลือเพราะอยากกลับบ้าน ส่วนตนนั้นหลังทราบเรื่องก็รีบกลับมาทันที เพราะอยากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์
“ขณะที่อยู่ด้วยกันก็กินนอนด้วยกันตลอด ไม่ได้มีการบังคับค้าประเวณี แต่หลานก็ไม่เคยบอกว่าจะอยากกลับบ้าน อาจจะเป็นความคิดของเด็กที่บอกความจริงไปว่าอยากกลับบ้านก็กลัวว่าพ่อแม่จะด่า ทั้งนี้ ฉันอยากขอพิสูจน์ความจริงกับตำรวจว่าไม่ได้นำตัวหลานสาวไปบังคับค้าประเวณีแต่อย่างใด ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คนนั้น ได้พูดคุยกันบ้างหลังจากรู้ว่าถูกออกหมายจับ แต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนสามีนั้นก็ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนร้านตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด” นางเพียงใจกล่าว
ด้าน นายวิชัย พันธุ์ปลาโด อายุ 62 ปี บิดาของ นางเพียงใจ ที่เดินทางมาที่ บก.ปคม. ด้วย กล่าวเพียงว่า ได้คุยกับหลานหลายครั้งหลานก็บอกว่าอยู่สบายดี แต่อากาศหนาว ส่วนจะมีการบังคับกันหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูกสาว
ส่วน พ.ต.ท.ชูศักดิ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การปฏิเสธ ส่วนตนได้แจ้งข้อหาให้แก่ผู้ต้องหารวม 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.สมคบกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ 2.ร่วมกันเป็นธุระจัดหาให้มีการค้าประเวณีโดยการหลอกลวงข่มขู่ 3.ร่วมกันเพื่อสนองความใคร่เป็นธุระจัดหา โดยบุคคลนั้นอายุไม่เกิน 18 ปี 4.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ข่มขืนใจให้ค้าประเวณี และ 5.ร่วมกันบังคับขู่เข็ญให้เด็กยินยอม เพื่อแสวงหาประโยชน์จากเด็ก ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ในวันที่ 24 พ.ค. พล.ต.ต.ชวลิต จะแถลงความคืบหน้าเรื่องนี้อีกครั้ง ในส่วนของรายละเอียดนั้นตนยังบอกไม่ได้ เนื่องจากเป็นคดีค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับโดยกฎหมายว่า ไม่สามารถเปิดเผยคำให้การของเด็กได้ แต่เรามีหลักฐานชัดเจนว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริง