เธอมีความใฝ่ฝันเหมือนสาวไทยทั่วไปที่ต้องการเดินทางไปขุดทองยังเมืองนอกเมืองนานำเงินมาจุนเจือครอบครัวและส่งเสียน้องๆ เรียนหนังสือสูงๆ จะได้ไม่ลำบากเฉกเช่นเธอเอง
สมมติว่าเธอชื่อ “หวาน” สาววัย 17 ปี จากเมืองร้อยเอ็ด ด้วยผ่านการศึกษามาน้อย ครอบครัวก็ค่อนข้างลำบาก เส้นทางสายอาชีพให้เธอเลือกจึงลดน้อยลงไปด้วย แต่เธอโชคดีที่มีอาสาว น้องของพ่อเธอได้สามีเป็นนักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ เปิดร้านนวดแผนไทยจนร่ำรวยอยู่ที่กรุงโซล เธอจึงติดต่ออาขอไปทำงานนวดแผนโบราณที่นั่นด้วย
ระหว่างที่รอการดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทางและจองตั๋วเครื่องบินอยู่นั้น เธอก็ถูกส่งตัวไปทำงานที่ร้านรับสอนนวดแผนโบราณที่พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อรอวันจะโบยบินไปเก็บเงินวอนที่เกาหลี
วันที่ 4 พฤษภาคมเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีชายชาวเกาหลีใต้และสาวชาวไทยเดินทางมารับตัวเธอที่พัทยา ก่อนพาขึ้นเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไป กระทั่งถึงกรุงโซลตอน 6 โมงเช้าของวันที่ 5 พฤษภาคม
เมื่อไปถึงสนามบินก็มีอาของเธอและชาวเกาหลีอีกกลุ่มมารับถึงสนามบิน เมื่อเท้าเหยียบพื้นแดนกิมจิเธอก็ถูกยึดหนังสือเดินทางทันที
ต่อมาพวกนั้นก็พาหวานไปพักยังอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงโซล เมื่อเก็บข้าวของเสร็จก็พามายังร้าน “อยุธยา” ซึ่งเป็นร้านนวดแผนไทยหรูหรา ห่างจากที่พักเพียงไม่กี่ก้าว
วันแรกเธอก็ถูกบังคับให้รับแขก 2 คน พวกนั้นอ้างว่าเพื่อแลกกับหนี้สินค่าเดินทาง ค่าดำเนินการขอหนังสือเดินทาง ค่าที่พักและค่าอาหาร รวม 5 หมื่นบาท โดยคิดค่าบริการจากแขกครั้งละ 6 หมื่น-1 แสนวอน หรือประมาณ 2-3 พันบาท โดยเธอได้ค่าส่วนแบ่งเพียง 5 พันวอน หรือประมาณ 150 บาทเท่านั้น
วันต่อมาหวานต้องถูกบังคับให้ทำงานรองรับความกลัดมันของแขกเกาหลีประมาณวันละ 4-5 คน บางคืนเธอถึงกับสะอื้นไห้เมื่อเจอนักเที่ยวกามวิตถาร ระหว่างที่ถูกบังคับค้ากามอยู่นั้น เธอทราบว่ามีหญิงไทยอีกหลายรายที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเธอ แต่เธอก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เนื่องจากพวกนั้นกันไม่ให้หญิงไทยในร้านได้เจอหน้ากัน
โศกนาฏกรรมที่เธอได้พบเจอเกินทนรับไหวสำหรับเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง เธอคิดถึงบ้านเกิด คิดถึงพ่อแม่พี่น้องและ คิดถึงเพื่อนๆ ที่เมืองไทย เธอขอร้องให้พวกมาเฟียที่คอยติดตามควบคุมตัวเธอตลอดเวลาที่อยู่ในกรุงโซลปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่เป็นผล พวกนั้นอ้างว่าเธอต้องทำงานใช้หนี้ที่ติดค้างอยู่ให้หมดเสียก่อนถึงจะกลับเมืองไทยได้
เธอจึงร้องขออ้อนวอนอาสาวแท้ๆ ให้ช่วยเหลือ เนื่องจากสามีชาวเกาหลีของอาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่ที่ร้านอยุธยาด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
แต่แล้วชีวิตมืดมนในต่างบ้านต่างเมืองก็พบแสงสว่างเล็กๆ บนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เมื่อเธอโพสต์เฟซบุ๊กบอกเล่าเรื่องราวโหดร้ายที่เธอไปเจอด้วยตัวเองที่เกาหลีใต้ โดยการใช้สัญญาณไว-ไฟที่รัฐบาลที่นั่นบริการให้กับประชาชนฟรี
“ช่วยด้วย หนูถูกหลอกไปค้าบริการทางเพศที่ร้านอยุธยา ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ต้องทำงานรับแขกวันละ 20 ชั่วโมง”
จากนั้นก็มีหญิงสาวใจดีคนหนึ่งชื่อ “นุ่น” ทำงานอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ธานินทร์ จินดามณี รอง ผกก.สส.สภ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร มาพบเจอข้อความขอความช่วยเหลือ
ตอนแรก “นุ่น” และ พ.ต.ท.ธานินทร์ ไม่ค่อยเชื่อใจหวานมากนัก จึงใช้ให้เธอกดเช็คอินสถานที่ให้ดู ปรากฏว่าเธออยู่ที่เกาหลีใต้จริง จากนั้นก็ขอข้อมูลต่างๆ เช่น ที่ตั้งของร้าน ภาพแขกที่มาใช้บริการ แล้วทั้งสองรับปากว่าจะหาช่องทางช่วยเหลือเธอออกมาจากซ่องนรกเกาหลีนั่นให้ได้
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พม.จึงส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อน พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านกฎหมาย จะส่งเรื่องให้ พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ผบก.ปคม.) สืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้ง กระทั่งพบว่าคดีมีมูลจึงรีบรายงานให้เจ้าหน้าที่กงสุลไทยในเกาหลีใต้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงโซล เข้าช่วยเหลือ น.ส.หวาน พ้นนรกในเมืองศิวิไลซ์ได้สำเร็จ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ส่งตัวเธอกลับบ้านเกิด ทันทีที่เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 4 ทุ่มของวันที่ 18 พฤษภาคม เธอถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อเจอหน้าแม่ ตำรวจ ปคม.และเจ้าหน้าที่ พม.ไปรอรับ
พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์ พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป. เดินทางไปศาลอาญารัชดาฯ เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นางเพียงใจ พันธุ์ปลาโด ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของ น.ส.หวาน ชายชาวเกาหลี และหญิงไทยที่นำตัว น.ส.หวาน ขึ้นเครื่องไปกรุงโซล
จากนั้นบ่ายวันที่ 22 พฤษภาคม ศาลอาญาก็ได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นางเพียงใจ คิม หรือพันธุ์ปลาโด อายุ 37 ปี อาแท้ของ น.ส.หวาน และผู้ที่พาน.ส.หวานขึ้นเครื่องไปเกาหลี 2 ราย คือ นายชุน ซอง กึม หรือเอ็ม อายุ 36 ปี และ น.ส.ทิพย์วรรณ เต็มเปา อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 896-898/2556 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ตามลำดับ ในข้อหา ร่วมกันค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเด็ก
พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า หลังจากนี้จะทำเรื่องเสนอต่อสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด,กองการต่างประเทศ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตำรวจสากลประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นทราบว่า นางเพียงใจได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม.แล้วว่าจะเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดี โดยขณะนี้ยังอยู่ในต่างประเทศ หากเดินทางกลับมาเมื่อใดก็จะประสานกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เพื่อรับตัวที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนชาวเกาหลีที่ทำหน้าที่ดูแลร้าน เก็บเงินค่าบริการทางเพศจากแขก และมาเฟียที่ควบคุม น.ส.หวานประมาณ 7 ราย ก็จะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้ว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง
“คดีนี้ต้องยกย่อง น.ส.หวานที่มีปฏิญาณไหวพริบดีมาก ที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่นเฟซบุ๊ก โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือให้กับตัวเองได้ ซึ่งอยากให้วัยรุ่นไทย ดูกรณีของเธอเป็นตัวอย่าง” ผบก.ปคม.กล่าว
นอกจากกรณีของ น.ส.หวานแล้วยังพบว่ามีหญิงไทยอีก 1 ราย ซึ่งถูกหลอกลวงให้เดินทางไปยังกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แต่กลับถูกบังคับให้ค้าประเวณี เช่นเดียวกัน แต่เหตุเกิดที่ร้านชื่อวัดโพธิ์ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยจะให้ผู้เสียหายได้ตรวจสอบรูปของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นขบวนการค้ามนุษย์กลุ่มเดียวกันหรือไม่ รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกันในการร่วมกระทำความผิดหรือไม่อย่างไร
ถือเป็นการรอดพ้นจากขบวนการค้ามนุษย์มาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งนี้หากเธอไม่รู้จักโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่รู้จักใช้เฟซบุ๊กให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอจะตกอยู่ในขุมนรกซ่องเกาหลีใต้อีกนานแค่ไหน.