รอง ผบ.ตร.สั่งทุกหน่วยเฝ้าระวังการลักลอบลำเลียงข้าวจากต่างประเทศ มาสวมสิทธิ์ จัดกำลังสายตรวจเฝ้าระวังคลังข้าวกลาง เผย คดีทุจริตจำนำข้าวมี 30 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท
วันนี้ (31 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติงานอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี พล.ต.ท.อำนาจ อันอาตม์งาม ผบช.สยศ.และ พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ผบช.ประจำ สนง.ผบ.ตร.เข้าร่วมประชุม
พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าวในที่ประชุมว่า วันที่ 1 พ.ย.จะมีการลงพื้นที่ตรวจนับข้าวสารที่คลังกลาง ทั้งนี้ จากปัญหาการรับจำนำข้าวที่ผ่านมา จึงขอให้ทุกจังหวัดส่งสายตรวจไปเฝ้าคลังกลาง เพื่อป้องกันการลักลอบนำข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์ ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับการลักลอบนำข้าวมาจากประเทศลาว ได้ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.เชียงราย โดยเป็นรายย่อยประมาณ 10 ราย จึงขอให้ บก.ทล.ตระเวนตามพื้นที่ตอนในต่างๆ ตรวจตราการขนส่งข้าวบนรถบรรทุก และขอให้ บช.ภ.1-8 และ บช.ตชด.รวมถึง สตม.ทำแผน
สำหรับการตั้งด่านตรวจสกัดการลำเลียงลักลอบนำข้าวเข้ามาตามแนวชายแดน หรือทางทะเล ให้ประสานกับกรมการค้าภายใน หรือการค้าของแต่ละจังหวัด ส่วนพื้นที่ใดที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ก็ให้ประสานไปยังทางเจ้าหน้าที่ทหารแทน พร้อมกับหาข่าวว่า มีการลักลอบนำข้าวเข้ามาทางจุดใด และในช่วงเวลานั้นประเทศใดอยู่ระหว่างฤดูการเก็บเกี่ยวบ้าง หากพบว่ามีการลักลอบว่ามีการนำข้าวเข้ามา จะต้องมีการสืบย้อนหลังว่า เพื่อหาผู้ที่รับผิดชอบต่อไป ขณะเดียวกัน ให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย อยู่ประจำโรงสีอย่างต่อเนื่อง
“ครั้งนี้สิ่งที่ค้างคาใจ คือ เกษตรกรที่เคยมาขึ้นทะเบียนตามโครงการประกันราคาข้าวกว่า 3.2 ล้านราย แต่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนมาทำโครงการรับจำนำข้าว กลับเหลือเกษตรเพียงแค่ 1.2 ล้านราย จึงต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเอกซเรย์พื้นที่อย่างจริงจัง ว่า พื้นที่นามีจำนวนจริงๆ เท่าไหร่ ไม่ใช่ดูแค่เอกสารของชาวนาเท่านั้น” รอง ผบ.ตร.ระบุ
พล.ต.อ.วรพงษ์ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า ภาพรวมจากการตรวจนับคลังกลางเก็บข้าวสารเมื่อครั้งก่อน ไม่พบปัญหาและจำนวนข้าวยังครบตามบัญชี แต่พบเพียงแค่การทุจริตรายย่อย อย่างโรงสีร่วมมือกับเกษตรกร หรือโรงสีสวมสิทธิ์เท่านั้น โดยขณะนี้มีทั้งหมด 30 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 313,801,002.85 บาท ทั้งนี้ เป็นห่วงกรณีเมื่อจำนวนข้าวครบตามบัญชีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าข้าวดังกล่าวเป็นไปตามคุณภาพที่รัฐบาลกำหนดหรือไม่ ฉะนั้น ต้องดำเนินการสุ่มตรวจจากผู้ชำนาญ ที่จะเป็นพยานในชั้นศาลได้ด้วย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มีการสุ่มตรวจพบคุณภาพข้าวต่ำกว่ามาตรฐาน ที่เป็นกระสอบเก่าของปี 53 แต่ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากได้รับการชี้แจงมาว่า กระสอบเดิมชำรุด จึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้กระสอบดังกล่าว
“ขณะนี้มีเบาแสะว่าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรไม่ตรงกับข้อมูลจริง เช่น เกษตรกรมีนา 10 ไร่ แต่มีการแจ้งจำนวนขึ้นทะเบียน 30 ไร่ เพื่อให้ช่องว่างตรงนี้ในการนำข้าวมาสวมสิทธิ์ ซึ่งประเด็นนี้พบที่ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี กว่า 10 ราย ที่เป็นขบวนการสวมสิทธิ์ข้าวรายย่อย” พล.ต.อ.วรพงษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีการทุจริตโครงการจำนำข้าวมีทั้งหมด 30 คดี ผู้ต้องหา 73 ราย ผู้เสียหาย 766 คน มูลค่าความเสียหายทั้งหมด 313,801,002.85 บาท โดยคดีทั้งหมดศาลได้ตัดสินไปแล้ว 2 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของอัยการ 9 คดี ส่งให้ ป.ป.ท.4 คดี ส่งให้ ป.ป.ช.7 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวน 12 คดี
ทั้งนี้ คดีที่ศาลตัดสินทั้ง 2 คดี คดีแรกเกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.วังตะเคียน จ.ปราจีนบุรี ข้อหาเป็นผู้ครอบครองข้าวเปลือกตั้งแต่ 15 ตันขึ้นไป โดยไม่จัดทำบัญชีคุมสินค้า ตาม พ.ร.บ.สินค้าและบริการ 2542 ผู้ต้องหา 1 ราย ซึ่งคดีนี้ศาลตัดสินลงโทษปรับจำนวนเงิน 32,500 บาท ส่วนอีกคดีเกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ในข้อหาขนย้ายข้าวเปลือก ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมปริมาณเกินกว่า 5 เมตริกตัน เข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ต้องหา 1 ราย โดยศาลจังหวัดนางรอง พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 55 ว่าผิดตามฟ้อง รับลดกึ่ง จำคุก 1 ปี ปรับ 12,000 บาท โทษจำรอ 2 ปี