โฆษก ศอฉ.ยันการชุมนุมเสื้อแดง ส่อเค้ารุนแรง โดยแกนนำ นปช.ปลุกระดมมวลชนแดง ให้จุดไฟเผาสถานที่สำคัญ และบุกยึดสถานที่ราชการ ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิตและทหารบาดเจ็บหลายราย รบ.จึงจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อกระชับต้องกระชับพื้นที่ โดยมีกฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล เน้นจากมาตรการเบาไปหาหนัก
วันนี้ (5 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคดีชันสูตรการตาย คดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นายพัน คำกอง ชาวจังหวัดยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์
โดยวันนี้ อัยการนำตัว พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ผอ.กองปฏิบัติการจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก และโฆษกกองทัพบก เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อช่วงปี 2553 ขณะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองมีความขัดแย้งกัน เนื่องมีกลุ่มความคิดแปลกแยกทางการเมือง และมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม นปช.โดยก่อนวันที่ 12 มี.ค.ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมกันที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ถ.ราชดำเนินนอก ช่วงแรกดูเหมือนการชุมนุมจะเป็นไปด้วยความสงบ แต่การชุมนุมในระยะหลัง มีความรุนแรงมากขึ้น มีการปิดถนน และสถานที่ราชการสำคัญ ต่อมารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงได้ประกาศแต่งตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอ.รส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.เป็นรอง ผอ.ศอ.รส.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและบังคับบัญชา หน่วยงานทางด้านความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่พลเรือนในหลายๆ หน่วยงาน และมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ทหารจะออกปฏิบัติงานพร้อมกับตำรวจ ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
พ.อ.สรรเสริญ เบิกความต่อว่า ขณะนั้นสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยช่วงวันที่ 6-7 เม.ย.2553 ได้มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ซึ่งทราบจากข่าวโทรทัศน์ ว่า มี นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา และทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้แย่งเอาปืนประจำตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบภายในอาคารรัฐสภาด้วย
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เห็นว่า สถานการณ์มีความตึงเครียด มีการแย่งปืนของเจ้าหน้าที่ เกรงว่า สถานการณ์จะทวีความรุนแรงบานปลายมากยิ่งขึ้น จึงประกาศ พระราชกำหนดการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังจากนั้น จึงแปลสภาพหน่วยงาน ศอ.รส.เป็น ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เพื่อให้สอดคล้องกับ การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มอบหมายให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอฉ.และหัวหน้าผู้รับผิดชอบอีกตำแหน่งด้วย
ซึ่งมีการประชุมกันทุกวัน เพื่อประเมินข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ และหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนตนเองได้รับมอบหมายให้เป็นโฆษก ศอฉ.มีหน้าที่นำมติของที่ประชุม ศอฉ.ไปชี้แจงให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบว่า ขณะนี้สถานการณ์มีความรุนแรงมากแค่ไหน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยมีกฎการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล เน้นจากมาตรการเบาไปหาหนัก และการใช้อาวุธ มี 2 ลักษณะ คือ 1.กระสุนซ้อมรบ หรือกระสุนลูกแบงค์ เพื่อปฏิบัติการจิตวิทยาข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุม ปกติจะไม่มีลูกไฟออกจากปากกระบอกปืน แต่มีบางกรณีซึ่งมีลูกไฟออกจากปากกระบอกปืน แต่จะปรากฏประกายไฟน้อยมาก 2.กระสุนยาง ซึ่งใช้กับปืนลูกซอง จะใช้ยิงในระยะห่างประมาณ 30 เมตร จะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการใช้กระสุนจริง ที่จะใช้วิธียิงขึ้นฟ้า หรือยิงเฉียงไปในทิศทางที่ปลอดภัย ซึ่งกระสุนจะไปไกลประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การใช้กระสุนจริง ก็ต่อเมื่อเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมประทุษร้ายต่อประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถหยุดยั้งด้วยวิธีการอื่นได้อีก โดยจะยิงไปยังจุดหรืออวัยวะของร่างกายส่วนที่ไม่สำคัญ
พ.อ.สรรเสริญ เบิกความอีกว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งเพิ่มเติมขอคืนพื้นที่ โดยออกเป็นมติที่ประชุมของ ศอฉ.จากนั้นได้สั่งการทางวิทยุราชการทหารไปยังหน่วยกำลังต่างๆ ตามสายบังคับบัญชา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานบริเวณสะพานผ่านฟ้า และพื้นที่ใกล้เคียงโดยปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง โดยช่วงแรกสถานการณ์ไม่มีความรุนแรง กระทั่งก่อนเวลาประมาณ 17.00 น.ทาง ศอฉ.ได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยยุติปฏิบัติหน้าที่และถอนกำลัง เนื่องจากเห็นเวลาใกล้จะมืดค่ำ เกรงจะมีกลุ่มอื่นสวมรอยก่อเหตตุรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ วันเดียวกันเวลา 15.00 น.ในบริเวณสะพานปื่นเกล้าและถนนดินสอ กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้แย่งอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่
ต่อมาภายหลัง ศอฉ.มีคำสั่งให้ถอนกำลังแล้ว ปรากฏว่า ช่วงค่ำ เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณแยกคอกหัว ถูกกลุ่ม นปช.ปิดล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ไม่สามารถออกมาได้ ขณะเดียวกัน ก็มีเหตุการณ์ชายชุดดำที่แฝงกายอยู่ภายในกลุ่มคนเสื้อแดง ยิงระเบิดเอ็ม 79 และระเบิดขว้างเข้าใส่ ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือ เสธ.เปา อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 เสียชีวิตและทหารบาดเจ็บอีกหลายราย
หลังเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 10 เม.ย.2553 ปรากฏว่า อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่สูญหายไป และแจ้งความไว้ที่ สน.บางยี่ขัน ประกอบด้วย อาวุธปืน ทาโว่ 12 กระบอก และปืนลูกซอง 35 กระบอก ต่อมาทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้นำอาวุธปืนที่แย่งจากเจ้าหน้าที่ไปโชว์บนเวทีการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า และต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถยึดคืนมาได้บางส่วนจากที่โรงแรมสวัสดี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 มีกลุ่มคนยิงปืนเอ็ม 79 เข้าในแฟลตตำรวจและสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มีผู้บาดเจ็บหลายราย จึงมีคำสั่งให้กระชับพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังไปกดดัน และเข้าไปได้แค่ถนนราชดำริ แยกเฉลิมเผ่า และแยกชิดลม และหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เข้าไปยังแยกราชประสงค์ ซึ่งกลุ่ม นปช.ชุมนุมอยู่
โดยเป็นวิธีการสร้างความกดดันและกระชับวงล้อมเข้ามา เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง และมีจุดประสงค์เพื่อจะเข้าไปควบคุมพื้นที่สวนลุมพินี ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทราบว่ามีการซุกซ่อน และยิงระเบิดเอ็ม 79 มาจากบริเวณนั้น ส่วนเหตุการณ์ยิงสกัดรถตู้ที่บริเวณถนนราชปรารภนั้น ตนเองไม่ทราบ เนื่องจากปฏิบัติงานอยู่ในส่วนกลาง ไม่ได้ออกไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ทราบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งควบคุมดูแล ตั้งแต่บริเวณถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนพญาไท ถนนราชวิถี และถนนเพชรบุรี ทั้งนี้ ศาลนัดไต่สวนพยานอีกครั้ง ในพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.